ตอนที่ 544 ภิกษุตาบอดกับสตรีหมอก

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 544 ภิกษุตาบอดกับสตรีหมอก โดย ProjectZyphon

กระบวนท่าสอยจันทรา!

ชั่วเสี้ยววินาทีนั้น ดาบแตกระเบิดแสงเรืองมายาราวธารดาราแล้วขยายออกไปรอบทิศ คมดาบราวจันทราเคลื่อนคล้อยในธารดารา

ดูพร่ามัว แต่เมื่อปรากฏขึ้นเหล่าวิญญาณอาฆาตที่อยู่ใกล้เคียงก็หายไปในชั่วพริบตาราวหิมะละลายในน้ำ กลายเป็นภาพน่าอกสั่นขวัญแขวน

นี่เป็นหนึ่งในวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งหลินสวินสำแดงออกมาในตอนนี้ ยิ่งเสริมด้วยพลานุภาพของดาบแตก ก็ทำให้พลังของกระบวนท่าสอยจันทราสูงขั้นขึ้นอย่างสิ้นเชิง

ศักดิ์สิทธิ์ ล่องลอย แต่ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกทำลาย!

ทว่าดอกบัวเย็นเยือกแปลกประหลาดดอกนั้นเปล่งแสงสีดำราวกับลมหายใจ มันไม่ได้สนใจการโจมตีนี้ แต่ตกกระทบลงบนดาบแตก

อ่อนโยน แช่มช้อย มีกลิ่นอายประหลาดน่าหวาดหวั่น

หลินสวินเพียงรู้สึกว่ามือหนักอึ้ง ความรู้สึกเหมือนถูกภูเขาเทพกดลงบนดาบแตก พลังน่าหวั่นกลัวหาใดเทียบนั้นกดดันจนกล้ามเนื้อและกระดูกทั้งร่างของเขาส่งเสียงเสียดสีไม่อาจแบกรับได้ เลือดลมผันผวน เจ็บปวดจนแทบกระอักเลือด

เปรี้ยง!

ดอกบัวสีดำแปลกประหลาดเบ่งบานบนดาบแตก กลีบดอกเปล่งประกายดำมืดเยียบเย็นราวรัตติกาลนิรันดร์ กลิ่นอายที่กำจายออกมาแทบจะครอบงำจิตวิญญาณไว้ในนั้น

นัยน์ตาหลินสวินปรากฏแววเหม่อลอย จิตใจใกล้จะเสียการควบคุม พลังของดอกบัวนั้นพิสดารและแข็งแกร่งยิ่ง อบอวลบนดาบแตก ทำให้เด็กหนุ่มยากต้านทาน

ในระหว่างที่เหม่อลอยอยู่ หลินสวินก็เห็นว่าในส่วนลึกของกองทัพวิญญาณอาฆาตมีหัวกะโหลกสีดำหัวหนึ่งลอยอยู่ ไฟวิญญาณเรื่อเรือง

ที่น่าประหลาดใจก็คือ บนหัวกะโหลกนั้นมีเงาร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ร่างคลุมด้วยจีวรสีเลือดขาดรุ่งริ่ง มือถือลูกประคำกระดูกขาวที่แตกเป็นลายพร้อย เหมือนภิกษุรูปหนึ่ง แต่กลับดูน่ากลัวแปลกประหลาดอย่างหาใดเทียบ

บนศีรษะล้านเลี่ยนของเขาประทับดอกบัวสีดำที่เบ่งบานดอกหนึ่ง อบอวลไปด้วยแสงน่าพิศวงสะเทือนโลกาประหนึ่งมีชีวิต!

เขาหลับตานั่งนิ่งไม่ขยับ จีวรสีเลือดรุ่งริ่ง ดูประหนึ่งนิพพานแล้ว แต่กลับมีพลังคุกคามน่าสะพรึงเหมือนเจ้าแห่งนรก

นี่คือใครกัน

หลินสวินรู้สึกเหมือนคลื่นพายุน่าหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นในใจ สติสัมปชัญญะพร่าเลือน คิดว่าเกิดภาพหลอน

ในกองทัพวิญญาณอาฆาตกลับมีเงาร่างน่าหวาดหวั่นเหมือนภิกษุเงาหนึ่ง แต่งกายด้วยจีวรย้อมเลือด มือถือลูกประคำกระดูกขาว ศีรษะประทับดอกบัวพิสดาร นั่งขัดสมาธิบนหัวกะโหลกสีดำ!

ภาพนี้น่าหวาดหวั่นไปแล้ว เต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึงแปลกประหลาด!

หลินสวินรู้สึกว่าตนกำลังจะจมลง ใกล้จะประคองตัวเองไว้ไม่อยู่ พลังของดอกบัวดำบนดาบแตกกำลังแผ่ออก ทำให้เขาเหมือนถูกกักขังและกดทับ ประหนึ่งกำลังก้าวสู่ความตาย

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้

ในกองทัพวิญญาณอาฆาตนอกจากราชันที่สวมเกี้ยวประดับบนผมตนหนึ่ง ทำไมถึงยังมีภิกษุที่พิสดารเช่นนี้ได้

เขาเป็นใครกันแน่

หรือจะเป็นราชันอีกคนหนึ่ง

หาไม่แล้วเหตุใดพลังถึงได้น่ากลัวเช่นนี้ ทำให้สิ้นหวังเช่นนี้ ไม่มีทางต้านทานได้เลย…

หลินสวินรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของตนยิ่งรางเลือน ทัศนวิสัยเปลี่ยนเป็นเลื่อนลวง กลิ่นอายความตายอย่างแรงกล้าทิ่มแทงจนเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว

วู้ม!

ในตอนนี้เอง ดาบแตกในมือเขาพลันส่งเสียงคำรามสะท้านขวัญราวเสียงธรรมอันยิ่งใหญ่ แสงดาวแวววับพลุ่งพล่านดุจเปลวเพลิง แผดเผาดอกบัวสีดำที่ติดอยู่บนดาบแตกอย่างเร่าร้อนรุนแรง!

ทันใดนั้นหลินสวินสะท้านไปทั้งร่าง รู้สึกเหมือนได้ทำลายตรวนที่พันธนาการร่างตนไว้ สติพลันฟื้นคืนมา

เขาถึงเพิ่งเห็นตอนนี้ว่าบนดาบแตกที่อยู่ในมือปรากฏสัญลักษณ์ลายมรรคที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้จะแน่นขนัด แต่เห็นได้ชัดว่าเว้าแหว่งและพร่าเลือน ไม่ได้สมบูรณ์

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อสัญลักษณ์ลายมรรคนั้นปรากฏขึ้น ก็ทำให้ดาบแตกมีพลังอันเป็นเอกลักษณ์ที่อธิบายไม่ถูก ชั่วอึดใจก็เผาบัวดำพิสดารนั้นให้เป็นเถ้าถ่าน!

เสียงร้องประหลาดเสียงหนึ่งดังขึ้นโดยพลัน

ก็เห็นว่าลึกเข้าไปในกองทัพวิญญาณอาฆาต เงาร่างภิกษุที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกะโหลกสีดำนั้น ลืมตาที่ปิดสนิทขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

ทว่าที่น่าหวาดหวั่นก็คือ กระบอกตาของเขาเป็นโพรงว่างเปล่าไม่มีดวงตา เหมือนหุบเหวลึกที่ทะลวงผ่านไปยังนรกคู่หนึ่ง ทั้งยังคงมีเลือดไหลออกมา…

ภาพนั้นแปลกประหลาดน่าตกใจถึงที่สุด ทำให้หลินสวินหายใจติดขัด ขนหัวลุกเกรียว แม้ไม่มีนัยน์ตา แต่เมื่อเขา ‘มอง’ มา ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกเทพมารโบราณกาลเพ่งดู เหงื่อกาฬไหลอาบทั่วร่าง ขนาดนิ้วมือยังกระดิกไม่ได้

ส่วนลายมรรคเว้าแหว่งลึกลับที่อยู่บนดาบแตกนั้นก็หายไป กลับสู่ความเงียบงัน ช่วยอะไรหลินสวินไม่ได้เลย

หลินสวินเคยประมือกับสุ่ยเชียนซานผู้เป็นราชันระดับสังสารวัฏที่มาจากสำนักคนเถื่อนวารี ตอนนั้นก็รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นเดียวกับตอนนี้

แต่ว่าเขายังคงรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าเมื่อเทียบกับสุ่ยเชียนซานแล้ว เงาร่างภิกษุที่มีกลิ่นอายลี้ลับมืดมิดนั้นยิ่งน่ากลัวเสียกว่า!

“เป็นเขา…”

เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น ราวกับไม่ได้พูดจามานานมากแล้ว ทำให้เสียงยิ่งอู้อี้คลุมเครือ

ใจหลินสวินเต้นแรง เงาร่างภิกษุนั่นกำลังพูดอยู่!

แต่ว่า ‘เขา’ นี่คือใคร

เด็กหนุ่มดูออกว่ากระบอกตากลวงโบ๋ราวเหวนรกของภิกษุผู้นั้นไม่ได้มองที่ตน แต่เป็นดาบแตกที่อยู่ในมือตน!

หรือว่า ‘เขา’ นี่จะเป็น ‘มัน’ ที่พูดอยู่นี้คือดาบแตกหรือ

“วันคืนไร้สิ้นสุดผ่านไป เขาตายไปนานแล้ว…”

ฉับพลันมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้เย็นยะเยือก มีความเย็นชาเสียดแทงกระดูก ทำให้แก้วหูหลินสวินแทบแตก จิตวิญญาณราวถูกทิ่มแทง มุมปากพลันมีเลือดสดๆ ไหลออกมา

เพียงแค่เสียงเดียว ทั้งยังไม่ได้พุ่งเป้าหลินสวิน กลับทำให้จิตใจของเขาบอบช้ำอย่างหนัก!

ในความเลือนรางหลินสวินเห็นเงาร่างอ้อนแอ้นเงาหนึ่ง ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคุ้นเคย จากนั้นพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ระหว่างทางไม่นานมานี้พวกเขาเคยเห็นศพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเล

ศพนั้นเป็นของผู้แข็งแกร่งเผ่าวิญญาณสามตาบรรพกาล บนร่างมีแต่วิญญาณอาฆาตหนาแน่น ทว่าระหว่างที่หลินสวินไม่ทันได้ใส่ใจ ก็ชำเลืองเห็นว่ามีเค้าร่างอ้อนแอ้นปรากฏขึ้น จากนั้นก็หายไปในชั่วพริบตา

ตอนนั้นหลินสวินยังนึกว่าตาฝาด แต่เวลานี้เมื่อเขาได้เห็นเงาร่างอ้อนแอ้นนั้นอีกครั้ง ร่างนั้นก็ยืนอยู่ข้างเงาร่างภิกษุ!

เพียงแต่เงาร่างนั้นถูกปกคลุมอยู่ในแสงทะมึนพร่าเลือนราวภาพลวงตา ไม่อาจเห็นลักษณะที่ชัดเจนได้

“เป็นเขา!”

เงาร่างภิกษุเหมือนไม่พอใจอยู่บ้าง น้ำเสียงโกรธเคือง

ร่างอรชรอ้อนแอ้นเงียบนิ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดว่า “ไปเถอะ ที่จริงพวกเราล้วนพลาดแล้ว…”

เสียงนั้นกลับมีความผิดหวังและอ้างว้างไร้ที่สิ้นสุด

“พลาดหรือ”

เงาร่างภิกษุส่งเสียงทอดถอนใจ เบ้าตาที่ว่างเปล่าเป็นโพรงนั้นไม่ ‘มอง’ มายังดาบแตกของหลินสวินแล้ว หลับตาลงอีกครั้ง

ต่อมาไม่ว่าจะเป็นเงาร่างงามนั้นหรือเงาร่างของภิกษุ กลับหายไปเหมือนฟองมายาในชั่วพริบตา

ส่วนหลินสวินเพียงรู้สึกว่าทั้งร่างผ่อนคลายขึ้นราวได้ชีวิตใหม่ ความกดดันและอึดอัดในจิตวิญญาณมลายสิ้น

เมื่อมองไปยังกองทัพวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นก็ไม่อาจสัมผัสอะไรได้อีก ราวกับเมื่อครู่เป็นฝันร้ายแปลกประหลาด เงาร่างภิกษุกับร่างอรชรนั้นไม่เคยมีอยู่จริง

หลินสวินหน้าซีดเผือด ทั้งร่างชโลมไปด้วยเหงื่อเย็น เขาแน่ใจว่าเมื่อกี้ต้องไม่ใช่ภาพฝัน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง!

กระทั่งตอนนี้เขาก็ลืมเงาร่างภิกษุพิสดารนั้นไม่ลง เบ้าตาว่างเปล่าไม่มีลูกตา หัวกะโหลกสีดำ จีวรย้อมเลือด ลูกประคำกระดูกขาวลายพร้อย รวมถึงภาพดอกบัวดำแปลกประหลาดบนหัว…

ส่วนเงาร่างอ้อนแอ้นนั้นยิ่งลึกลับกว่า ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยไอทะมึนขมุกขมัว ไม่อาจเห็นหน้าชัดเจน…

พวกเขาเป็นใคร

ทั้งเหตุใดหลังจากปรากฏตัวขึ้นก็หายไป

ในใจหลินสวินเหม่อลอย

ฆ่า!

เพียงแต่ไม่นานเขาก็ไม่อาจใส่ใจสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยกองทัพวิญญาณอาฆาตนั้นกำลังพุ่งโจมตีเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ท่าทางฮึกเหิมน่าหวาดกลัวหาใดเทียบ

แต่หลินสวินเสียความปรารถนาจะต่อสู้ไปแล้ว เงาร่างวูบไหว เคลื่อนตัวเข้าใกล้ยานสำเภา

ทุกอย่างที่ประสบในวันนี้ล้วนพิสดารและคาดเดายากยิ่งนัก เขาต้องสงบใจลงให้ได้

…….

น่านน้ำนี้เดือดพล่าน ไอสังหารปั่นป่วนสภาพอากาศ

ใกล้กับยานสำเภา พวกเซียวหรัน อวิ๋นเช่อ ซูซิงเฟิง จ้าวจิ่งเซวียนยังคงต่อสู้อย่างรุนแรงหาใดเปรียบ

หวูดๆๆ!

ทว่าไม่นานนัก เสียงเขาสัตว์ทุ้มต่ำอึมครึมและน่ากลัวดังขึ้นระลอกหนึ่ง นี่เป็นเหมือนคำบัญชา มองเห็นว่ากองทัพวิญญาณอาฆาตมืดฟ้ามัวดินนั้นเริ่มถอยกลับไปดุจกระแสน้ำ

ถอยทัพกลับแล้ว!

พวกจ้าวจิ่งเซวียนล้วนงงงัน จากนั้นก็พลันโล่งอก สู้กันมาถึงตอนนี้ พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย หว่างคิ้วแต่ละคนล้วนปิดบังความเหนื่อยล้าได้ยาก

ส่วนเหล่าผู้ติดตามของพวกเขาได้รับความเสียหายรุนแรง สิ้นชีพไปถึงครึ่งหนึ่ง ตายอนาถในการต่อสู้เมื่อครู่

ต่อให้เป็นพวกที่ไม่ตายไปก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ละคนเลือดไหลไปทั้งตัว ถูกส่งขึ้นไปบนยานสำเภา

“ศิษย์น้องจ้าว ดูท่าผู้ติดตามข้างกายเจ้าคนนั้นจะประสบเคราะห์เสียแล้ว” ซูซิงเฟิงเอ่ยปากขึ้นโดยพลัน สีหน้าของเขาเจือแววหยอกล้อ ชำเลืองมองจ้าวจิ่งเซวียน

คนอื่นก็ล้วนอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าซูซิงเฟิงจะใส่ใจข้ารับใช้คนหนึ่งข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนเอาตอนนี้

ทันใดนั้นพวกเขาก็เผยสีหน้าครุ่นคิด ราวกับเดาอะไรได้

“ศิษย์พี่ซู ท่านกำลังหัวเราะเยาะข้าหรือ”

จ้าวจิ่งเซวียนนิ่วหน้า น้ำเสียงมีความขุ่นเคือง ไม่มีความใจเย็นและผ่อนคลายอย่างแต่ก่อน

นางรุ่มร้อนใจ การต่อสู้เมื่อครู่นางเห็นหลินสวินถูกวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งตนหนึ่งลอบจู่โจมกับตา แต่ตอนนั้นนางก็ถูกศัตรูพัวพันอยู่ ไม่มีพลังไปช่วยเหลือได้

ไม่คิดเลยว่า ชั่วพริบตาก็ไม่เห็นร่องรอยของหลินสวินแล้ว

จนกระทั่งตอนนี้กองทัพศัตรูล้วนถอยทัพไป แต่กลับไม่เห็นหลินสวิน นี่จะไม่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนกังวลได้อย่างไร

คนอื่นมองว่าหลินสวินเป็นผู้ติดตาม แต่นางรู้ดีว่าฐานะของหลินสวินพิเศษยิ่ง ไม่อาจเทียบกับผู้ติดตามได้เลย หากเขาประสบเคราะห์จริง นางต้องรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแน่

“เอาล่ะ พวกเรากลับขึ้นไปบนยานสำเภาก่อน เรื่องที่ต้องทำตอนนี้ก็คือรอผู้เฒ่าเกาหยางกลับมา”

ซูหรันเอ่ยปากอย่างอ่อนโยน วาจาแม้ไม่ทรงพลัง แต่ผู้อื่นกลับไม่กล้าแย้ง

อีกทั้งเมื่อยกผู้เฒ่าเกาหยางขึ้นมา พวกเขาก็ล้วนหวาดหวั่นในใจ ในศึกเมื่อครู่ ผู้เฒ่าเกาหยางถือเตาเทพหมื่นปักษาไว้ในมือ ต่อกรกับราชันวิญญาณอาฆาตตนหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าในการต่อสู้นี้ผู้เฒ่าเกาหยางจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่…

นี่ทำให้พวกเขารู้สึกหนักใจ ทะเลกลืนวิญญาณกว้างใหญ่ไพศาล อันตรายนับไม่ถ้วน เคราะห์สังหารมากมาย หากไม่มียอดฝีมือระดับผู้เฒ่าเกาหยางสั่งการ เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว

“เอ๋ ศิษย์พี่จ้าว ท่านดูนั่นสิ ผู้ติดตามของท่านยังมีชีวิตอยู่”

ทันใดนั้นเด็กชายชุดหลากสีเหวินเสียงเอ่ยปากพลางชี้ไปยังที่ไกลออกไป

จ้าวจิ่งเซวียนสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาสุกใสมองไปก็เห็นว่าบนผิวน้ำทะเลที่อวลไปด้วยเมฆหมอกสีดำ มีเงาร่างสูงโปร่งเงาหนึ่งเคลื่อนตัวออกมา เมื่อพินิจดู นั่นไม่ใช่หลินสวินหรอกหรือ

พริบตานั้นดวงตาสุกใสของจ้าวจิ่งเซวียนก็เปล่งประกายยินดีล้นปรี่ ความกังวลและความรู้สึกผิดในใจหายวับไป

ทว่าซูซิงเฟิงกลับอึ้งงัน คิ้วขมวดขึ้นอย่างยากสังเกต ตัวตกอยู่ในส่วนลึกของกองทัพศัตรู แต่เจ้าผู้ฝึกปราณตัวน้อยในโลกชั้นล่างคนนี้ยังมีชีวิตรอดกลับมาได้ด้วย?

——