ตอนที่ 557 ใช่ร่างต่างหม้อ

พันธกานต์ปราณอัคคี

“หม้อคืนสภาพจริงกับปลอมหรือ” เสียงอาโส่วมีความสับสนอยู่บ้าง 

 

 

หญิงสาวหัวเราะน่ารัก “คิกๆๆ เป็นข้าเองแหละที่เลอะเลือน เรื่องเช่นนี้เจ้าจะรู้ที่ไหนกันเล่า” 

 

 

เงียบไปสักพัก เสียงของอาโส่วก็เดือดดาลขึ้นมา “เจ้า เจ้าไม่ใช่อามู่!” 

 

 

พอหม้อคืนสภาพระเบิด กลุ่มคนก็แตกตื่นกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายนี้ จนปากอ้าตาค้าง ยิ่งพอได้ยินส้มโอมือกับดอกไม้พิสดารคุยกัน ก็ได้แต่รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นจัดราดใส่ศีรษะ ผิดหวังและท้อแท้ใจเหลือคณา 

 

 

“ทำไมข้าถึงไม่ใช่อามู่ล่ะ สหายรัก ตอนนายน้อยยังอยู่ เราอยู่ด้วยกันมานานหลายปี กระทั่งข้าเป็นใคร เจ้าก็แยกแยะไม่ออกแล้วหรือ” หญิงสาวผู้งดงามเป็นที่สุดยิ้มน่ารัก พร้อมแววตาที่มีความโกรธแค้นวาบผ่าน 

 

 

อาโส่วค่อนข้างสับสน 

 

 

ผู้ที่อยู่ตรงหน้า เป็นอามู่อย่างแน่นอน แต่เหตุใดแววตาของนางกลับมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องล่ะ 

 

 

ใช่แล้ว ตั้งแต่สุริยันจันทร์ปรากฏในปีนั้น อามู่จู่ๆ ก็คลุ้มคลั่ง แว้งกัดนายตัวเอง นางไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว 

 

 

ขณะอาโส่วกำลังถูกความลึกลับเหล่านี้รบกวนจิตใจ หญิงสาวก็ชิงความได้เปรียบ ลงมือกับมันก่อน 

 

 

อาจเป็นเพราะอาโส่วเป็นพืชที่เกิดมาเพื่อกำราบดอกไม้พิสดาร แม้ถูกลอบจู่โจมก็ยังมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลบออกมาได้ 

 

 

หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ราวกับแมวกำลังจับหนู “อาโส่ว ตอนนี้ถือว่าเจ้าหลบพ้นแล้วอย่างไร หม้อคืนสภาพของจริงหายไปแต่แรก ของปลอมก็รับพลังวิญญาณหลายชนิดไม่ไหว ระเบิดเป็นจุณ พอสุริยันจันทรามาบรรจบกัน พลังของข้าก็จะเข้าสู่จุดสมบูรณ์เต็มที่ ถึงตอนนั้น ข้าต้องการเจ้า ต้องการผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแห่งนี้ เพื่อบูชายัญ…พิชิตเคราะห์กรรมและเลื่อนระดับของข้า!” 

 

 

ใบหน้าเล็กๆ ของอาโส่วเปลี่ยนเป็นขึงขังจริงจัง ขณะพูดเสียงเย็นชา “เช่นนั้นข้าก็ต้องทำลายเจ้าก่อนที่สุริยันจันทราจะมาบรรจบกัน!” 

 

 

“ขี้คุยไม่น้อยเหมือนกันนี่ เช่นนั้นก็มาดูสิว่า เจ้าจะทำได้หรือไม่” หญิงสาวหัวเราะเย็นชาตอบ 

 

 

ฟ้าดินสั่นไหว เมฆลมเปลี่ยนสี พืชวิญญาณผู้มาจากสมัยโบราณกาลทั้งสองเริ่มเปิดศึกสงครามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน 

 

 

“พวกเรา…ทำอย่างไรกันดี” โจวจงอวี่แบกโล่ พลางเลียริมฝีปากที่แห้งผาก 

 

 

เมื่อมาถึงจุดเปลี่ยน กลุ่มคนต่างสติแตก จ้องมองดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ที่เดิมทีห่างกันไปแล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันใหม่ 

 

 

เสียงการต่อสู้ระหว่างส้มโอมือเก้าดวงใจกับดอกไม้พิสดารดังมา แรกเริ่มพอจะคาดเดาได้ว่า ฝีมือของส้มโอมือเก้าดวงใจได้เปรียบ แต่พอตะวันจันทราเคลื่อนเข้ามาใกล้กันเรื่อยๆ ดอกไม้พิสดารก็ปิดบังเสียงได้ใจอันกึกก้องกลางอากาศไม่ได้อีก ส่วนเสียงของส้มโอมือเก้าดวงใจกลับอ่อนลงเรื่อยๆ 

 

 

“ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราล้วนต้องจบชีวิต ตกตายกันหมดแน่ ข้ายังไม่อยากตาย!” สื่ออิ่นว่าพลางหว่างคิ้วคลับคล้ายส่องแสง ร่างพลันหายไปต่อหน้าต่อตากลุ่มคน 

 

 

กลุ่มคนต่างอึ้ง มีคนสาปแช่ง “ไอ้เวรตะไล นึกว่าเร้นกายแล้ว จะรอดไปคนเดียวได้เช่นนั้นรึ” 

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นสื่ออิ่นหายวับไปกับตา กระทั่งลมหายใจสักนิดก็ไม่มี ราวกับไม่มีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะเอะใจ 

 

 

เนื่องจากมีเพลิงแก้วใจกระจ่างอยู่ในร่าง อีกทั้งยังเก็บเปลวน้ำแข็งเหมันต์กับไฟหน่อไม้หินได้ นางจึงสังเกตเห็นลักษณะไฟอัศจรรย์ฟ้าดินได้เป็นอย่างดี 

 

 

ตามประสบการณ์ที่เพิ่มพูนขึ้นจากการบำเพ็ญเพียร และมีโอกาสอ่านม้วนคัมภีร์หยกมากขึ้น จึงเข้าใจไฟอัศจรรย์ฟ้าดินไปอีกขั้น 

 

 

ลักษณะเช่นนี้ของสื่ออิ่น เป็นไปได้มากว่าครอบครองหนึ่งในไฟอัศจรรย์ฟ้าดิน…ไฟไร้รูปสี่อย่าง 

 

 

พอคิดถึงจุดนี้ มั่วชิงเฉินก็ส่ายหน้า เช่นนี้ ตนก็อาจถูกลอบจู่โจมอย่างไม่เป็นธรรม 

 

 

ผู้ที่ครอบครองไฟไร้รูปสี่อย่างสามารถเร้นกายระหว่างดินฟ้า โดยต่อให้วิญญาณเซียนมาจุติ ก็ไม่มีทางพบร่องรอยเขา ดาวพิฆาตเพียงหนึ่งเดียวของเขา ก็คือผู้ที่มีไฟหยินหยางย้อนใจอยู่ในร่าง หรือผู้ที่ฝึกวิชาดวงตาหยินหยาง 

 

 

ซึ่งสื่ออิ่นผู้นี้ก็เคราะห์ร้าย หนีไม่พ้นจุดจบเช่นนี้เช่นกัน เพราะหลังจากตะวันจันทรามาบรรจบ ดอกไม้พิสดารเกิดกลายพันธุ์ ดาวทั้งดวงตกอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของนาง เขาก็ไร้ซึ่งที่เร้นกายแล้ว 

 

 

มีผู้บำเพ็ญเพียรนำกระดานดาราออกมา แสดงภาพสื่ออิ่นเร้นกาย สักพัก ร่างพร้อมใบหน้าที่บึ้งตึงของสื่ออิ่นก็ปรากฏให้เห็น 

 

 

ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์โคจรเข้าหากันช้าๆ แต่มั่นคง ตามวงโคจรที่ถูกกำหนด เห็นชัดว่าใกล้จะผ่านจุดเปราะบางมากสุดนั้นเต็มที 

 

 

กลุ่มคนมีสีหน้าดูไม่ได้สุดๆ 

 

 

นักพรตเฉาหยางโน้มตัวเข้าหามั่วชิงเฉิน  

 

 

“สหายมั่ว เจ้ามีจุดไหนที่ไม่เหมือนคนในกลุ่มกันแน่ ลองคิดดูให้ดีๆ” 

 

 

“หรือจะเป็นเพลิงแก้วใจกระจ่าง” นักพรตหว่านซิงรับคำต่อ 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก ก่อนพูดเสียงเย็นชา “สหายทั้งสองกำลังถามข้าหรือ” 

 

 

นักพรตเฉาหยางกับนักพรตหว่านซิงสบตากัน สีหน้าแปรเปลี่ยนจนยากคาดเดา  

 

 

สักพัก นักพรตเฉาหยางก็พูดอย่างอ่อนโยน “มิได้ ข้าน้อยกำลังขอให้เจ้าคิดให้ถ้วนถี่ ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าพวกเรา ที่นี่ก็ยังมีสหายและศิษย์สำนักเดียวกันกับเจ้า พวกเราล้วนเป็นผู้มีอนาคตไกล หรือจะยอมตกตายอยู่ที่นี่กันจริงๆ” 

 

 

มั่วชิงเฉินมองตากลุ่มคน ก่อนหลุบตาลง “ขอข้าคิดดูสักหน่อย” 

 

 

วิธีใช้เพลิงแก้วใจกระจ่าง ไม่ว่าจากปากของท่านปู่ในตอนนั้น หรือจากบันทึกลายมือของท่านบรรพบุรุษหญิงที่กล่าวถึงประโยชน์ของมันในเวลาต่อมา ไม่สามารถนำพานางให้หลุดพ้นจากสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกตรงหน้าอย่างแน่นอน อันนี้ตัดทิ้งไปได้ 

 

 

หรือว่า เกี่ยวข้องกับกระสวยผสมปราณดั้งเดิมที่ตนได้มา 

 

 

ก็ไม่ถูกอีก กระสวยผสมปราณดั้งเดิมเป็นสมบัติโบราณที่ตอบสนองการทดสอบพลังวิญญาณของตนก็จริง แต่ถ้าคิดเคี่ยวกรำฝึกฝน ก็ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปี ไม่มีทางใช้ได้ทันทีในยามที่ภัยพิบัติมาเยือนอย่างแน่นอน  

 

 

รอเดี๋ยว! 

 

 

สมบัติโบราณหรือ 

 

 

พอมั่วชิงเฉินนึกถึงตรงนี้ ใจก็เต้นแรงขึ้นมา 

 

 

ถ้าทุกคนมิได้ปิดบัง สิ่งที่ตนกับคนรอบข้างแตกต่างกันสุดๆ ก็คือกระสวยผสมปราณดั้งเดิมที่ได้จากหอหลังเป่าแล้ว 

 

 

มั่วชิงเฉินพลันเปลี่ยนความคิด 

 

 

จากห้องลับทั้งสี่ห้องในหอหลังเป่า ห้องที่ตนเข้าคือประตูที่มีตัวอักษร ‘หลบหนี’ ในนั้นมีสมบัติวิเศษจำนวนไม่น้อย ถ้าบอกว่าสิ่งที่ตนต่างจากคนรอบข้างคือสามารถใช้สมบัติโบราณ แล้วเหตุใดกระสวยผสมปราณดั้งเดิมถึงได้ตอบสนองต่อพลังวิญญาณที่ตนทะลวงเข้าไปเล่า 

 

 

กระสวยผสมปราณดั้งเดิม…ผสมปราณดั้งเดิม 

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาต่ำ พินิจพิเคราะห์ทีละตัวอักษร 

 

 

กลุ่มคนเห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เคลื่อนใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆ ในใจลุ้นระทึกยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าเร่งรัด 

 

 

โจวจงอวี่เป็นคนใจร้อน รับบรรยากาศเช่นนี้ไม่ได้เป็นที่สุด จึงตะโกนออกมา “ข้าว่าพวกเจ้าอย่าบีบบังคับสหายมั่วอีกเลย ถึงนางโชคดี หนีจากภัยพิบัติได้ ก็ไม่มีความสามารถพาคนอย่างพวกเราไปได้หรอก นอกจากตอนนี้ มีหม้อคืนสภาพของจริงหล่นลงมาจากฟากฟ้า” 

 

 

หม้อคืนสภาพ! 

 

 

มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นทันที ก่อนพึมพำ “ข้าเข้าใจแล้ว…” 

 

 

กลุ่มคนรีบออกันเข้ามา แย่งกันถาม “สหายมั่ว เจ้าเข้าใจอะไร” 

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดตามองกลุ่มคนด้วยดวงตาใสกระจ่าง แวววาวสดใส ชวนหลงใหล 

 

 

“สหายทุกท่าน นี่เป็นการคาดเดาของข้าเพียงผู้เดียว จะสำเร็จหรือไม่ ไม่กล้ารับรอง” 

 

 

“ไอ้หยา สหายมั่ว เจ้าก็พูดมาเถอะ ในเวลานี้ ก็ได้แต่ลองมันทุกวิธีแล้ว!” โจวจงอวี่พูดเสียงดัง 

 

 

มั่วชิงเฉินมองเขาพลางยิ้ม โชคดีด้วยที่ได้คำพูดคำนั้นของเขา ทำให้ตนได้ฉุกคิด ถึงได้คาดเดาอะไรที่กล้ามากเช่นนี้ได้ 

 

 

จึงกวาดตามองกลุ่มคน พลางพูดเน้นทีละคำ “สหายทุกท่าน ขอให้พวกท่านกลับไปยืนประจำตำแหน่งตามรูปแบบค่ายกลเมื่อครู่” 

 

 

สื่ออิ่นหัวเราะเยาะ “สหายมั่ว เจ้านี่พอถึงคราวคับขันก็ทำอะไรมั่วซั่วไปหมด ให้เราไปยืนตามรูปแบบค่ายกล จะทำอะไรได้ หรือหม้อคืนสภาพจะหล่นลงมาจากฟากฟ้าจริงๆ” 

 

 

มั่วชิงเฉินชายตามองเขาอย่างเยือกเย็น “ถ้าสหายสื่อคิดใช้เวลาพูดจาพร่ำเพรื่อ มิสู้รีบกลับไปยืนที่เดิมดีกว่า!” 

 

 

คนอื่นๆ ก็เกิดความคลางแคลงใจเช่นเดียวกัน จึงอดถามไม่ได้ “สหายมั่ว ที่สหายสื่อพูดก็มีเหตุผล ไม่มีหม้อคืนสภาพ เรากลับไปยืนที่เดิมจะมีความหมายอะไร” 

 

 

“ข้าจะเป็นหม้อให้เอง!” มั่วชิงเฉินพูดอย่างแน่วแน่ 

 

 

“อะไรนะ สหายมั่ว เจ้าล้อเล่นใช่ไหม!” กลุ่มคนพูดขึ้นพร้อมกันอย่างตื่นตระหนก 

 

 

“ชิงเฉิน เจ้า…” นักพรตจื่อซีบีบแขนมั่วชิงเฉิน 

 

 

มั่วชิงเฉินส่งสายตาปลอบโยนนางตอบ จากนั้นก็หันมองกลุ่มคนพลางว่า  

 

 

“ในเวลาเช่นนี้ ข้ายังจะล้อเล่นอยู่อีกหรือ แม้ข้าน้อยไม่สามารถรับรองได้ว่าวิธีนี้จะสำเร็จ แต่ตอนนี้ภัยพิบัติมาถึงตัว จึงได้แต่ลองดูสักตั้ง” 

 

 

“สหายชิงเฉิน พวกเรามีวิชาอาคมที่แตกต่างกัน ถ้าร่างกายเจ้ารองรับพลังวิญญาณที่ซับซ้อนมากเกินไป พลังวิญญาณจะระเบิดออก” นักพรตปี้เหลยเม้มริมฝีปาก แววตามีความกังวลใจและสงสัยวาบผ่าน 

 

 

ตน มั่วชิงเฉิน และนักพรตจื่อซี ร่วมต่อสู้ด้วยกันมานานหลายปี แม้ชัดเจนดีว่ามั่วชิงเฉินมีความสามารถไม่ธรรมดา แต่กลับไม่เคยเห็นว่านางสามารถรวบรวมพลังวิญญาณที่แตกต่างไว้ด้วยกัน 

 

 

นักพรตจื่อซีพูดเตือนด้วยคน “สหายปี้เหลยพูดไม่ผิด หรือก็คือ พลังที่สามารถยับยั้งการบรรจบกันของตะวันและจันทราได้ คือพลังจากแหล่งกำเนิดอันบริสุทธิ์ ชิงเฉิน การใช้คนเป็นหม้อ มีก็แต่ในนิทานพันหนึ่งราตรีเท่านั้น…” 

 

 

มั่วชิงเฉินขัดจังหวะนักพรตจื่อซี “แล้วถ้า ข้าอยากลองดูสักตั้งล่ะ” พูดถึงตรงนี้ก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของกลุ่มคน “ข้ามีร่างฮุ่นตุ้น” 

 

 

พอกลุ่มคนได้ยิน สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นทึ่งสุดขีด 

 

 

ร่างฮุ่นตุ้น จัดอยู่ในกลุ่มร่างพิเศษเหมือนกับร่างหยางบริสุทธิ์และร่างหยินบริสุทธิ์ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับพวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ดี ร่างฮุ่นตุ้นเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง เป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิต สามารถรวบรวมสรรพสิ่งไว้ด้วยกัน ถ้าวางไว้ในสิ่งแวดล้อมของการบำเพ็ญเพียรปัจจุบัน ก็จะสูญเสียการใช้งานที่เป็นเอกลักษณ์ไป แม้มีประโยชน์น้อยกว่าร่างอื่นๆ แต่ถ้าทำตามคาถารูปแบบค่ายกลที่หม้อคืนสภาพแสดงให้เห็น โดยใช้ร่างฮุ่นตุ้นแทนหม้อคืนสภาพ ก็อาจสามารถเปลี่ยนพลังวิญญาณ พลังมาร และพลังปีศาจแต่ละชนิดให้เป็นพลังของแหล่งกำเนิดได้จริง 

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราทำตามที่สหายมั่วพูดก็แล้วกัน” นักพรตจื้อจั้นว่า 

 

 

กลุ่มคนเข้าไปยืนประจำตำแหน่งตามรูปแบบค่ายกล แล้ววาดท่าร่ายเวทอย่างต่อเนื่อง พลังวิญญาณ พลังมาร พลังปีศาจต่างสีสัน ทยอยกันเคลื่อนเข้าสู่ร่างของมั่วชิงเฉิน 

 

 

ร่างมั่วชิงเฉินสั่นไปมา แต่กลับไม่รู้สึกไม่สบาย ค่อยๆ ปล่อยจิตวิญญาณให้ว่าง ให้ร่างปล่อยวางจากการต่อต้านของจิตใต้สำนึก ให้พลังแต่ละชนิดโคจรในร่าง สุดท้ายคืนสู่จุดตันเถียน 

 

 

พลังวิญญาณห้าสี พลังมารสีดำกับพลังปีศาจสีเขียวอ่อน บิดรวมกันคล้ายขนมเกลียว แล้วหมุนอย่างแรงตามการชี้นำของคาถา จึงเกิดเป็นฝนกระหน่ำพายุหมุนในจุดตันเถียนของมั่วชิงเฉิน  

 

 

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในร่างทำให้จิตดั้งเดิมทำการปกป้องตัวเองด้วยการเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของทะเลแห่งความตระหนัก มั่วชิงเฉินค่อยๆ สูญเสียการควบคุมร่างไป แต่นางก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า ทั้งๆ ที่จิตดั้งเดิมตัดการเชื่อมต่อกับร่างกายแล้ว กลับรู้สึกว่ามีจิตดั้งเดิมชนิดหนึ่งออกจากร่างไป 

 

 

นางเห็นในร่างเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และยังเห็นความรู้สึกบนใบหน้าของทุกๆ คนด้วย 

 

 

กลุ่มคนรอบตัวนาง ไปยืนอยู่ในจุดสำคัญที่สุดตามสัญลักษณ์ของรูปแบบค่ายกล 

 

 

ทุกคนล้วนใช้แรงทั้งหมดโคจรพลัง และก้าวเดินตามที่คาถากำหนด หมุนรอบร่างของมั่วชิงเฉิน จนสุดท้ายกลายเป็นภาพเสมือนจริง ส่องแสงวิญญาณเจิดจ้า 

 

 

มั่วชิงเฉินได้ยินเสียง เปรี้ยง ดังขึ้นที่ข้างหูอย่างชัดเจน และนางก็เห็นสภาพภายในร่างกายได้ตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องควบคุม  

 

 

รากวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียร งอกอยู่ด้านล่างของจุดตันเถียน ซึ่งพวกมันนี่แหละที่พยุงตันเถียนไว้ แล้วนำวิญญาณจากภายนอกเข้าไปในตันเถียน  

 

 

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมผู้ที่ไม่มีรากวิญญาณถึงบำเพ็ญเพียรไม่ได้ 

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นรากวิญญาณสี่รากซึ่งกำลังพยุงตันเถียน ถูกพายุแสงห้าหกสีปั่นจนแหลกละเอียด ราวกับนางเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่ถูกดึงราก เกิดความรู้สึกเจ็บปวดไปถึงส่วนลึกของวิญญาณ  

 

 

เมื่อเห็นด้านล่างของตันเถียนว่างเปล่า ที่สุดแล้วมั่วชิงเฉินก็รู้สึกลุกลี้ลุกลน 

 

 

นางมีสี่รากวิญญาณ อ่อนด้อยมาก แต่อย่างไรก็ยังแข็งแกร่งกว่าไม่มีเลย ตอนนี้รากวิญญาณของนางถูกปั่นละเอียดแล้ว หรือแต่นี้เป็นต้นไป นางจะกลายเป็นคนพิการที่บำเพ็ญเพียรไม่ได้อีก