ตอนที่ 292 บอกลา

หยางโปรั้งอยู่ทางนั้นสองวันย่อมต้องรู้เรื่องราว พื้นที่เขตตะวันตกเฉียงใต้เศรษฐกิจล้าหลัง คำพูดของชุยอี้ฝานเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ” เศรษฐกิจล้าหลัง ปัญหามากมายก็ยากที่จะแก้ไข เศรษฐกิจเป็นรากฐาน พูดได้ถูกต้องแล้ว ! “

ชุยอี้ฝานก็พยักหน้าแล้วถอนหายใจ ” เป็นแบบนี้จริงๆ ! “

” ถ้าหากทำการเลียนแบบกลิ่นอายของแคว้นเย่หลางล่ะ ? ถ้าสร้างกลิ่นอายชนเผ่าของชนกลุ่มน้อย ก็นับเป็นจุดสนใจที่ดีมากอันหนึ่งนะ ” หยางโปพลันเอ่ยเสนอ

ชุยอี้ฝานส่ายหน้า ” ฉันก็คิดถึงเรื่องนี้แล้ว แต่ว่าการท่องเที่ยวแบบชนกลุ่มน้อยนั้นมีที่ดังๆ เยอะมากแล้ว พื้นที่จำนวนมากก็ก้าวนำไปก่อนแล้ว แถมยังมีชื่อเสียงมาก ทางพวกเราก็ไม่มีทรัพยากร ถึงขนาดถนนหนทางยังทำได้ไม่ต่อเนื่อง เมื่อเป็นแบบนี้ถ้าอยากจะพัฒนาอย่างจริงจัง ก็ยากลำบากมากจริงๆ ! “

 

หยางโปส่ายหน้าไม่พูดจา เขาก็รู้ว่าในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น ถึงแม้จะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับล่างที่สุดของประเทศ ชุยอี้ฝานก็เผชิญกับแรงกดดันใหญ่หลวง โดยเฉพาะตอนนี้ที่เขายังเด็กขนาดนี้ ย่อมต้องอยากทำผลงานใหญ่สักอย่าง แต่ว่าผลงานใหญ่นั้นยาก ลำบากมากเกินไป !

” คิดให้เยอะ คิดหาวิธีให้มาก วิธียากก็ลำบากกว่าอยู่แล้ว ทัศนียภาพในแถบทางตะวันตกเฉียงใต้ดีขนาดนี้ จะต้องพัฒนาขึ้นมาได้แน่ ! “

ชุยอี้ฝานหัวเราะขึ้นมา ” ใช่แล้ว วิธียากก็ลำบากกว่าอยู่แล้ว นายรู้ไหม หลังจากที่กลุ่มของพวกนายกลับไป พวกเราจู่ๆ ก็ได้ต้อนรับคนญี่ปุ่นอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขามาท่องเที่ยวจริงๆ กลุ่มหนึ่งมีทั้งผู้ชายผู้หญิง มาเที่ยวทางนั้นของพวกเรารอบหนึ่ง ร้องว่าวิวสวยจริงๆ ! นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉันอยากจะสร้างธุรกิจการท่องเที่ยวขึ้นมา… “

 

” คนญี่ปุ่น ? ” หยางโปประหลาดใจมาก เอ่ยขัดชุยอี้ฝาน

” ใช่แล้ว เป็นคนญี่ปุ่น ” ชุยอี้ฝานตื่นเต้นเล็กน้อย ” ฉันคิดถึงปัญหานี้ หมู่บ้านดั้งเดิมของพวกเราทางนั้นยังรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวภายในประเทศอาจจะไม่อยากไป แต่นักท่องเที่ยวนอกประเทศก็อาจจะมีคนมาเยอะมากก็ได้ ! “

” นายโม้แล้วมั้ง ที่รกร้างทางนั้นของพวกนาย ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ขับรถก็ไม่สะดวก นอกจากคนโง่ที่เหมือนกับคนญี่ปุ่นพวกนั้นแล้ว ยังจะมีใครไปอีก ? ” ชุยอี้ผิงยกน้ำชามาเสิร์ฟ แล้วก็เอ่ยเยาะ

” เฮ้ย ว่าไปน่า อาจจะมาจริงๆก็ได้ ! ” ชุยอี้ฝานกล่าว

” คนญี่ปุ่นไปที่ไหนบ้าง พวกเขาไปเที่ยวจริงๆ เหรอ ? ฉันมักจะรู้สึกว่าเจตนาของพวกเขาไม่บริสุทธิ์ ” หยางโปเอ่ยอย่างสงสัยเล็กน้อย

 

” ใครจะรู้ล่ะ ! ” ชุยอี้ฝานส่ายหน้ากล่าว สำหรับเขาแล้วเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือดึงดูดนักลงทุนมาพัฒนาเศรษฐกิจ

ชุยอี้ผิงวางน้ำชาลงบนโต๊ะ ” เอาล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว “

ชุยอี้ผิงกล่าวจบก็นั่งลงแล้วเขาก็เงยหน้ามองหยางโป ” เสี่ยวโป หลายวันนี้อยู่คนเดียวตลอดเลยเหรอ ? นายออกไปไหนมาบ้างไหม ? “

” ไปที่พานเจียหยวนมาน่ะ ” หยางโปตอบ

ชุยอี้ผิงชะงัก ” วันนี้วันที่หกแล้ว พรุ่งนี้คนส่วนมากที่ออกไปก็จะมาทำงานแล้ว เสี่ยวฝานคืนนี้ก็จะขึ้นเครื่องบินกลับไปแล้ว นายว่า นายไปกินมื้อค่ำที่บ้านเดิมกับฉันดีไหม ? “

หยางโปไม่รู้ว่าบ้านเดิมนั้นอยู่ที่ไหน แต่เขาพอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นบ้านคุณปู่ของชุยอี้ฝาน เขาบ่ายเบี่ยงมาตลอด จึงไม่สบายใจเล็กน้อย เวลานี้เขาก็ยังคงไม่อยากไป

 

” ช่างมันเถอะครับ คืนนี้พวกเราสามคนดื่มกันสักแก้ว ! ” หยางโปเอ่ยปฏิเสธ กล่าวจบแล้วก็มองไปทางชุยอี้ฝาน ” คืนนี้ทำไมรีบกลับไปนักล่ะ ? ดื่มกันสักสองแก้วไหม ? “

” ฉันทนกลับไปเริ่มทำงานแทบไม่ไหวแล้ว พวกนายสองคนดื่มเหล้ากันไปก็พอแล้ว ” ชุยอี้ฝานกล่าว

หยางโปไม่ได้บังคับมากนัก จากนั้นก็พูดคุยกันขึ้นมา

ไม่นานเพราะว่าชุยอี้ฝานมีปัญหาเรื่องเวลา ชุยอี้ผิงเลยขับรถไปส่งเขากลับ

หยางโปปฏิเสธคำเชิญมื้อค่ำของชุยอี้ผิง ในที่สุดเขาก็ว่างแล้ว จากนั้นเขาก็คิดจะจัดเก็บข้าวของ การเก็บเกี่ยวหลายวันมานี้เขาห่อของเอาไว้เรียบร้อยแล้วจะเอามันกลับไปที่จินหลิง เมื่อเป็นแบบนี้เขาจำเป็นต้องจัดการข้าวของสักหน่อย ไม่นานก็จะเปิดร้านใหม่ได้อีกครั้ง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หยางโปก็อดใจรอไม่ไหวขึ้นมาแล้ว

 

ผ่านช่วงตรุษจีนไป คนก็เกียจคร้านขึ้นมา ลัวย่าวหัวโทรศัพท์มา บอกว่าเขาคิดจะกลับไปจินหลิงวันมะรืน จากนั้นก็จะไปเตรียมเรื่องเปิดกิจการที่จินหลิง

หยางโปคิดถึงทางหลิ่วมีดเดียวที่ไม่ได้ไปหานานแล้ว เขาจัดเก็บข้าวของได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็ลงไปชั้นล่าง พาเอาอุปกรณ์เข้าไปในร้านของหลิ่วมีดเดียว

หลิ่วมีดเดียวเงยหน้ามองหยางโปราวกับมองคนแปลกหน้า เขาไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไร

หยางโปเห็นหลิ่วมีดเดียวไม่ได้แกะสลักอะไร เพียงแต่อ่านหนังสือภาพเล่มหนึ่ง เขาครุ่นคิดแล้วก็ไม่ได้เอ่ยปาก แต่หยิบอุปกรณ์ออกมาแล้วก็ไม้ท่อนหนึ่ง เริ่มแกะสลักตรงหน้าของหลิ่วมีดเดียว

ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ไม่มีทางที่จะพัฒนาไปได้สักกี่มากน้อย แต่หยางโปนั้นแตกต่าง ไม่กี่วันมานี้ถึงเขาจะแกะสลักไม่มาก แต่เขากลับใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าไม่น้อย

 

ตอนที่เขาแกะสลัก ท่อนไม้ตรงหน้าก็ดูจะประณีตขึ้น เขามองความแตกต่างได้มากขึ้น ตามด้วยเส้นสายแกะสลักภายในท่อนไม้ก็ยิ่งเรียบลื่นมากขึ้น และทำให้ตอนที่หยางโปเคลื่อนไหวมีดในมือ ราวกับช่างฝีมือมากความสามารถ ความเร็วในการกรีดเส้น การกรีดเส้นทุกครั้งล้วนมีขี้ไม้เป็นสาย

หมุน วาด สลัก ปัก ตัด การเคลื่อนไหวทุกอย่าง หยางโปใช้ได้อย่างลื่นไหล ท่วงท่าแบบนี้ดึงดูดความสนใจของหลิ่วมีดเดียวได้อย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งรูปทรงของเจ้าหนูที่ราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งในมือของหยางโปได้วางลงตรงหน้าของหลิ่วมีดเดียว เขาถึงได้มีปฏิกิริยากลับมา ” หลายวันนี้นายแกะสลักอยู่ตลอดเหรอ ? นายฝึกหนัก ? “

หยางโปก้มหน้าแล้วก็พยักหน้า

 

” หยางโป ไม่พูดไม่ได้นะ นายมีพรสวรรค์มาก ตอนที่พรสวรรค์กับความบากบั่นแบบนี้ประสานกันได้ นายจะต้องเป็นช่างแกะสลักที่ประสบความสำเร็จมากอย่างแน่นอน ! ” หลิ่วมีดเดียวถอนหายใจ

หยางโปรีบพยักหน้า ” อื้ม ผมจะทุ่มเทกับการแกะสลักไปตลอด ช่วงเวลานี้พิจารณาดูแล้วก็เหมือนจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับทักษะการแกะสลักไปไม่น้อย ยังมีข้อสงสัยอีกมาก อยากจะขอคำแนะนำอาจารย์อยู่พอดี “

กล่าวจบหยางโปก็เอ่ยปัญหาหลายข้อที่เตรียมมาก่อนหน้าขึ้นมา เขาขอคำแนะนำกับหลิ่วมีดเดียวทีละข้อ

หลิ่วมีดเดียวตอบอย่างละเอียด ด้วยสีหน้าปลื้มปิติ

เนิ่นนาน หยางโปถึงได้เอ่ยถามเสร็จสิ้น หลิ่วมีดเดียวก็มองหยางโปอย่างพอใจ “หยางโป นายมีความสามารถมาก ต่อไปจะต้องเป็นคนใหญ่คนโตได้แน่ แต่นายต้องจำเอาไว้ว่าตอนนี้เทคนิคที่นายเรียนทั้งหมดล้วนเพื่อการสร้างชิ้นงานในท้ายที่สุด ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปอวดอ้างฝีมือ ! “

 

” หลังจากนี้นายจะต้องไปถึงระดับสูงแน่ นายก็จะเข้าใจ การที่เรียบง่ายที่สุดมักจะดีที่สุด เหมือนกับที่พวกเราให้ความสำคัญกับฮั่นแปดมีดมาตลอด ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นวิธีการแกะสลักที่เรียบง่ายมากที่สุดอย่างหนึ่ง ถึงแม้จะดูแล้วจะคิดว่าหยาบกร้าน แต่มันก็มีพร้อมทั้งรูปและจิตวิญญาณ ! “

หยางโปรีบพยักหน้า ” ผมเข้าใจแล้ว “

หยางโปลังเลเล็กน้อยแต่ก็ยังเอ่ยปากว่า ” พรุ่งนี้ผมอาจจะไปจากเมืองหลวงแล้ว “

หลิ่วมีดเดียวชะงัก มองหยางโปอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ” นายเป็นคนที่ไหน ? “

” ผมทำธุรกิจขายของโบราณ ผมต้องกลับไปเปิดร้านที่จินหลิง ” หยางโปตอบ

หลิ่วมีดเดียวจนปัญญาเล็กน้อย ” ไปเถอะ อย่าลืมแกะสลักก็พอแล้ว “