หากเวลานี้มีคนผ่านทางภูเขาด้านนี้ต้องถูกสถานการณ์นี้ทำตกใจสะดุ้งโหยงแน่
แต่ด้านนี้ห่างไกลเกินไปแล้ว ดังนั้นมีเพียงสองฝ่ายที่ประจันหน้ากันนี้เท่านั้น
เจ้ายิ้มหยันตวาดด่าข้า
ข้ายิ้มหยันเสียดสีเจ้า
สรุปก็คืออีกฝั่งหนึ่งไม่ปล่อยฝั่งนี้เด็ดขาด ฝั่งนี้ก็ไม่ปล่อยอีกฝั่งหนึ่งเด็ดขาด
หลิ่วเอ๋อร์ถูกจินสือปาโยนออกไปด้านข้าง นั่งอยู่บนพื้นไร้เรี่ยวแรงจะร้องไห้ตะโกนแล้ว เพียงหลั่งน้ำตา
“ล้วนโทษข้าหลับเหมือนตายเกินไป ล้วนโทษข้าหลับเหมือนตายเกินไป” นางพึมพำพำซ้ำไปมา
พูดจบเงยหน้าขึ้นมองสองฝ่ายที่ยังประจันหน้ากันอยู่ ร้องไห้เสียครึ่งวันนี้สมองของนางก็แจ่มใสแล้ว มองสองฝ่ายที่ยังไม่ตื่นได้สตินี่ โทสะพวยพุ่งออกมา
“พวกเจ้าที่แท้จะตามหาคุณหนูจวินหรือไม่?” นางตะโกน คนก็ทะลึ่งลุกขึ้นมา “รีบไปตามหาคนให้หมด! อยู่ที่นี่โวยวายไร้สาระอะไร!”
ตามหาคน?
ให้ข้าไปตามหาคน?
สาวใช้คนนี้โง่หรือเปล่า?
คนก็ไม่ใช่ถูกพวกเขาจับไป (ซ่อนไว้) แล้วหรือ?
สองฝ่ายล้วนมองไปทางหลิ่วเอ๋อร์
“ล่วงเลยนานปานนี้แล้ว คุณหนูถูกสุนัขป่าคาบไปตอนนี้ก็คงถูกกินหมดแล้ว!” หลิ่วเอ๋อร์ตะโกนเสียงแหลม คว้าฝักดาบบนพื้นที่ไม่รู้ใครโยนทิ้งไว้ขึ้นมา พุ่งเข้ามาตีหัวตีหน้าเหลยจงเหลียนกับจินสือปา “เจ้าพวกไร้ประโยชน์พวกนี้ เจ้าพวกไร้ประโยชน์พวกนี้ คุณหนูเลี้ยงพวกเจ้าเสียข้าสุก! ถ้าคุณหนูเป็นอะไรไป พวกเจ้าคนไหนก็อย่าคิดมีชีวิตอยู่!”
จินสือปานั้นคนธรรมดาสามคนห้าคนก็ประชิดร่างไม่ได้ เหลยจงเหลียนแม้มือพิการไปแล้วแต่เวลาที่ผ่านมานี้ก็ไม่ได้ละทิ้ง วรยุทธ์มือซ้ายฝึกฝนจนยิ่งร้ายกาจขึ้นทุกที นอกจากนี้ตั้งแต่กลับมาจากศึกนั้นที่หรู่หนานก็ไม่มีใครกล้าและสู้กับเขาได้อีก
แต่นาทีนี้เวลานี้หลิ่วเอ๋อร์สาวใช้คนนี้ยกฝักดาบตีมาอย่างไม่มีกระบวนท่าแม้แต่น้อย ทั้งสองคนใครก็ไม่ได้สวนกลับ หลบอย่างไม่ทันรู้ตัว
ผู้คุ้มกันกับคนของสำนักคุ้มภัยคนอื่นยิ่งไม่กล้าขัดขืนหลิ่วเอ๋อร์ ส่วนองครักษ์เสื้อแพรของจินสือปาฝั่งนี้เพราะจินสือปาไม่ได้ส่งสัญญาณจึงไม่กล้าลงมือช่วยเหลือเช่นกัน
บางทีนี่อาจเป็นแผนร้ายอันหนึ่ง
พวกเขายิ่งระแวงจ้องคนอื่นไม่วางตา
เหลยจงเหลียนกับจินสือปาถูกตีอยู่พักหนึ่ง สถานการณ์ประจันหน้าหายไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งมึนงงอยู่บ้าง
“รีบไปหาสิ!” หลิ่วเอ๋อร์ตวาดเสียงแหลมอีกครั้ง
เสียงแหลมปรี๊ดแทบจะฉีกแก้วหูของคนที่นั่น
“หาหา” เหลยจงเหลียนกับจินสือปาตะโกนขึ้นมาไม่ทันรู้ตัว สะบัดมือพร้อมกัน
ผู้คุ้มกันกับคนของสำนักคุ้มภัยที่นั่นรวมถึงองครักษ์เสื้อแพรรีบร้อนแยกย้าย รอจนหาในพงหญ้าตามเส้นทางภูเขาได้ครู่หนึ่งถึงค่อยๆ ได้สติกลับมา
“หาจริงรึ?” ผู้คุ้มกันกับคนของสำนักคุ้มภัยหลายคนเอ่ยถามเสียงเบา
พร้อมกันนั้นก็มองพวกองครักษ์เสื้อแพรที่ตั้งใจมองหาตามทางอย่างจริงจังด้านนั้นทีหนึ่ง รวมถึงเหลยจงเหลียนที่แทบจะเคียงบ่าเคียงไหล่ยืนแหวกพงหญ้าที่หนึ่งอยู่ด้วยกันกับจินสือปา
“นายท่านเหลยบอกแล้ว หา แล้วก็จับตาพวกเขา ไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะไม่ทิ้งเบาะแสร่องรอยไว้เลย” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งถ่ายทอดคำสั่งของเหลยจงเหลียนเสียงเบาแล้วมองไปทางองครักษ์เสื้อแพรด้านนั้น “ไม่แน่พวกเขาอาจฉวยโอกาสทำลายร่องรอย”
พวกผู้คุ้มกันกับคนของสำนักคุ้มภัยเข้าใจแล้ว ไม่เพียงหาต่อ ยังชิดเข้าไปหาองครักษ์เสื้อแพรไม่กี่คนนั้นด้วย
ส่วนองครักษ์เสื้อแพรสี่คนอีกด้านหนึ่งก็เห็นชัดว่าได้รับคำสั่งเช่นกัน มองผู้คุ้มกันกับคนของสำนักคุ้มภัยที่เข้ามาใกล้ยิ้มหยัน
“นายท่านจินบอกว่าพวกเขาอยากเล่นละครก็เล่นละครเป็นเพื่อนพวกเขาหน่อย พวกเขาก็แค่อยากถ่วงเวลาพวกเรา ไม่กลัว เรื่องใดๆ ขอเพียงทำไปแล้วย่อมต้องมีร่องรอย” คนหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงเบา “หา”
หลายคนที่เหลือพยักหน้า หยุดพูด มองผู้คุ้มกันกับคนของสำนักคุ้มภัยที่เข้ามาใกล้
สถานการณ์เกิดเป็นการประจันหน้าที่ชะงักนิ่งอีกครั้ง
“รีบหาเข้าสิ!” เสียงร้องแหลมของหลิ่วเอ๋อร์ดังขึ้น นางยืนอยู่ข้างทาง สะบัดวาดฝักดาบในมือ “ห้ามแอบขี้เกียจ!”
ความชะงักนิ่งถูกทำลายแตก ผู้คนบนทางภูเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกีบเท้าม้ารีบร้อนก็ดังขึ้น ทหารกองแล้วกองเล่าสีหน้าเคร่งเครียดวิ่งมา
“คุณหนูจวินเกิดเรื่องแล้ว!” แม่ทัพที่นำหน้าอยู่ตะโกนขึ้นมา
ก่อนพบองครักษ์เสื้อแพร เหลยจงเหลียนตกลงส่งคนไปแจ้งพวกทหารแล้ว
อย่างไรที่แถบนี้สำหรับพวกเขาแล้วคนแปลกหน้าสถานที่ไม่คุ้น ทำงานสะดวกสู้พวกทหารเหล่านี้ไม่ได้
เหลยจงเหลียนมองจินสือปาข้างตัวทีหนึ่ง
“มีคนใจคิดไม่ดี สะกดรอยพันลี้” เขาเอ่ยขึ้นไม่สะทกสะท้าน “เวลานี้ลงมือก็อยู่ในความคาดคิด”
จินสือปาแค่นเสียงหัวเราะทีหนึ่ง
“มีคนคิดว่าตนฉลาดจะเดินทางลำพังพันลี้ ระวังฉลาดนักจะเสียทีเพราะความฉลาด” เขาเอ่ยขึ้นไม่สะทกสะท้าน
คำพูดนี้ทำไมฟังไม่เข้าใจ?
เหล่าแม่ทัพมองพวกเขา อีกอย่าง บุรุษผู้นี้เป็นใคร? เขามองจินสือปาเพิ่มสองที
แต่ไม่สนแล้ว ผู้คุ้มกันกับคนจากสำนักคุ้มภัยของคุณหนูจวินมากมายปานนั้นเขาก็จำได้ไม่ชัด
“พวกเจ้ากำลังพูดอะไร?” เขาเอ่ย แล้วโบกมืออีก “ข้าบอกว่าคุณหนูจวินเกิดเรื่องแล้ว นี่ชวนให้คนโมโหโทโสจริงๆ โจรพวกนี้ขวัญกล้าเทียมฟ้าเกินไปแล้ว แต่พวกเจ้าวางใจ พวกเราต้องช่วยคุณหนูจวินกลับมาอย่างปลอดภัยได้แน่”
คำพูดนี้ทำไมฟังแล้วไม่เข้าใจ?
เหลยจงเหลียนกับจินสือปามองแม่ทัพคนนี้
“มารดามัน ยังเขียนจดหมายเรียกค่าไถ่ฉบับหนึ่งมาอีก” แม่ทัพเอ่ยด่าต่อ “เสียสติบ้าไปแล้วจริงๆ กระทั่งคุณหนูจวินยังกล้าลักพาตัว”
จดหมายเรียกค่าไถ่? ลักพาตัว?
“เจ้าพูดอะไร? พวกเจ้ารู้ว่าคุณหนูจวินเป็นอย่างไรหรือ?” เหลยจงเหลียนเอ่ยถาม
เขาตอนนี้เพิ่งคิดได้ แม่ทัพคนนี้ประโยคแรกตะโกนว่าคุณหนูจวินเกิดเรื่องแล้ว ไม่ใช่ตั้งคำถามหรืออุทานตกใจ
ตามหลักแล้ว ผู้คุ้มกันที่เดินทางไปตามที่กำชับไม่มีทางเล่าเรื่องฝั่งนี้โดยละเอียด เพียงแต่บอกให้มาสักเที่ยวเท่านั้น แต่แม่ทัพคนนี้กลับบอกออกมาทันทีว่าคุณหนูจวินเกิดเรื่องแล้ว คาดเดาจริงๆ ก็เดาได้ว่าคุณหนูจวินเกิดเรื่องแล้ว แต่เพราะไม่รู้รายละอียด ประโยคแรกถามออกมาอย่างไรก็ต้องเป็นคำถามสิ
ที่แท้เขารู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“ใช่สิ พวกเราได้รับจดหมายเรียกค่าไถ่ฉบับหนึ่ง โจรกลุ่มหนึ่งเขียนว่าพวกเขาลักพาตัวคุณหนูจวินไป ต้องการให้พวกเรารวบรวมเงินไปแลก” แม่ทัพเอ่ย ถือจดหมายฉบับหนึ่งเขย่า
เขาพูดคำนี้ออกมาก็เอาจดหมายออกมาเขย่า เหลยจงเหลียนกับจินสือปาที่เดิมทีตกใจฟื้นกลับมาสงบ
ใส่ร้ายป้ายสีสินะ องครักษ์เสื้อแพรเก่งนักล่ะเรื่องนี้ เหลยจงเหลียนมองจินสือปา
จักจั่นลอกคราบสินะ เล่นมาตลอดทางแล้ว ครั้งนี้เล่นใหญ่จริงๆ จืนสือปามองเหลยจงเหลียน
สองคนสบตากัน ต่างยิ้มหยัน
“ทำอะไรน่ะ!”
เสียงตะโกนของหลิ่วเอ๋อร์ลอยมาจากด้านหลัง
เหลยจงเหลียนกับจินสือปาย่อตัวเอียงหลบไปด้านข้างพร้อมกัน ฝักดาบของหลิ่วเอ๋อร์หวดอากาศ
“แม่นางหลิ่วเอ๋อร์” แม่ทัพรีบร้อนตะโกน ลงจากม้าส่งจดหมายมา
หลิ่วเอ๋อร์ไม่สนใจที่ตีไม่โดนคนไร้ประโยชน์สองคนนี้นัก
โยนฝักดาบทิ้งปุบก็คว้าจดหมาย
“ลักพาตัว! เรียกค่าไถ่!” นางกวาดอ่านจดหมายอย่างรวดเร็ว ตะโกนเสียงแหลม หมุนตัวก็มองไปทางบรรดาผู้คุ้มกัน “รีบไปเอาเงินแลกคนสิ!”
……………………………………….
รถม้าที่ส่ายโคลงเคลงหยุดลง หญ้าที่คลุมอยู่บนร่างถูกแหวกออก คุณหนูจวินอดไม่ได้หลับตาลง ลืมตาอีกครั้งก็มองเห็นใบหน้าสามดวงมองนางอยู่
เมื่อคืนวานไม่มีโอกาสมองหน้าตาพวกเขาชัดๆ ตอนนี้มองเห็นชัดแล้ว ที่แท้เป็นบุรุษอายุสามสิบกว่าปีสองคน เด็กผู้ชายอายุสิบเอ็ดสิบสองปีคนหนึ่ง
ไม่มีโอกาส สี่คำนี้แล่นผ่านไป ในใจคุณหนูจวินก็หนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง
ตั้งแต่นางเกิดใหม่นานปานนี้ เป็นครั้งแรกที่คำว่าไม่มีโอกาสสี่พยางค์นี้ปรากฏขึ้นมา
กระทั่งยามเผชิญหน้าความบ้าคลั่งของลู่อวิ๋นฉีก็แค่ไร้หนทางเท่านั้น
ไร้หนทางกับไม่มีโอกาสแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไร้หนทางคือปัญหาไม่มีทางคลี่คลายโดยได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ความจริงนางสังหารลู่อวิ๋นฉีตายได้ ไม่ใช่ทำไม่ได้
แต่ไม่มีโอกาสคือนางทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่เบิ่งตามองคนเหล่านี้โผล่ออกมาจากความมืดของราตรี กระโดดเบาหวิวดุจหิ่งห้อยมาถึงตรงหน้านาง
ค่ายกลรัดสังหารที่กระทั่งตัวนางเองยังไม่กล้าประมาทดั่งวางตั้งไว้ ตอนที่นางลืมตา กริชเย็นเฉียบก็จ่อลำคอของนางแล้ว พร้อมกันนั้นมือรวมถึงปากของนางก็ถูกมัดไว้
ในปากบนมือของนางล้วนซ่อนอาวุธลับที่โจมตีทีหนึ่งถึงชีวิตเอาไว้ แต่กระทั่งโอกาสพริบตาเดียวนางก็ไม่มี
ถูกคนอุ้มขึ้นมา กระโดดผ่านค่ายกลที่วางไว้ในห้องอย่างว่องไว เด็ดศรลับบนม่านประตูลงมา ข้ามม้าที่หลับสนิท เฉียดผ่านผู้คุ้มกันกับคนของสำนักคุ้มภัยที่ลาดตระเวน ประหนึ่งภูตผีหายไปท่ามกลางราตรี
สติของนางหลับใหลไปตามการโคลงเคลง ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็นอนอยู่บนพื้นรถแล้ว บนร่างไม้ฟืนสะเปสะปะแต่ก็วางอย่างมีแบบแผน เว้นช่องว่างช่องหนึ่งไว้ ด้านบนปูหญ้าเขียวปิดทับไว้
ปิดบังแสงตะวันสว่างไสวและไม่ทำให้คนรู้สึกอึดอัด ตรงกันข้ามกลิ่นของหญ้าเขียวอบอวล ทำให้คนสบายใจไปกับการโคลงเคลงของรถ
ใบหน้าสามดวงนี้ตรงหน้าไม่งดงาม หยาบกระด้างซื่อตรงใสซื่อไร้เดียงสา แต่นาทีนี้เวลานี้ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกพอใจ
“พวกเจ้าเป็นใคร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม