“ม่อซิวเหยา! หน็อย เจ้าม่อซิวเหยา…” เหลยเจิ้นถิงกัดฟันพลางเอ่ย
“ท่านอ๋อง หรือว่าพวกเราจะ…” แม่ทัพด้านล่างเอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม แล้วจะเอาอย่างนี้หรือ ปล่อยให้ซีหลิงถูกโจมตี และไปโจมตีต้าฉู่ต่ออย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้เห็นๆ แต่แค่ยอมแพ้ต่อการยึดครองดินแดนต้าฉู่แล้วกลับไปใช่ไหม เช่นนี้พวกเขาจะยอมได้อย่างไรเล่า
มีคนลังเล เอ่ย “ซื่อจื่อรักษาการณ์ราชสำนัก บางทีอาจจะรับมือการโจมตีของกองทัพตระกูลม่อได้ก็ได้ เราแบ่งกำลังทหารส่วนหนึ่งกลับไปช่วย…” ในตอนท้ายของประโยคนี้ ตนเองก็รู้สึกอ่อนเพลียจนไม่มีเสียง แม้ว่าความแข็งแกร่งทางทหารของพวกเขาจะดีกว่ากองทัพตระกูลม่ออยู่มาก แต่ถ้าแบ่งครึ่งหนึ่งย้อนกลับไปช่วย พวกเขาจะต้องข้ามการปิดล้อมจากกองกำลังสี่แสนนายของกองทัพตระกูลม่อก่อนด้วย จากนั้นถึงจะเข้าถึงความแข็งแกร่งของม่อซิวเหยาได้ เวลานี้จะเหลือกำลังพลกี่นายยังไม่พูดถึง เพียงแค่คิดว่าคนเหล่านั้นที่เหลืออยู่จะมีประโยชน์แค่ไหน ก็ทำให้เป็นกังวลได้แล้ว
ภายในห้องสงบไปนาน ถึงได้ยินเสียงของเหลยเจิ้นถิงดังขึ้นมา “รองแม่ทัพ ข้าเหลือกำลังทหารสามแสนนาย โจมตีตงฉู่ต่อไป ห้ามบุ่มบ่าม”
ชายวัยกลางคนผู้ช่วยแม่ทัพ ซึ่งเป็นคนที่เหลยเจิ้นถิงไว้เนื้อเชื่อใจเช่นกัน ลุกขึ้นยืนก่อนจะตะโกน “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง ท่านอ๋องโปรดวางใจ” เหลยเจิ้นถิงพยักหน้า “ข้าจะนำทัพคนที่เหลือออกเดินทางไปและถึงซีหลิงให้เร็วที่สุด หวังว่าจะทัน…”
ทุกคนอยากปลอบใจท่านอ๋องว่าไม่ต้องเป็นห่วง ม่อซิวเหยาไม่มีทางตีราชสำนักซีหลิงแตกภายในไม่กี่สิบวันได้ แต่เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของท่านอ๋องของตนแล้ว คำพูดปลอบใจกลับพูดมันออกมาไม่ได้ เหลยเจิ้นถิงโบกมือ ก่อนจะเอ่ย “พวกเจ้าไปเถอะ”
“ข้าน้อยขอลา” เหล่าแม่ทัพทำความเคารพแล้วถอยไป ภายในห้องที่เงียบเหงา เหลยเจิ้นถิงนั่งอยู่ภายใต้ไฟอันมืดครึ้มเพียงผู้เดียว เนิ่นนาน ก่อนจะกวาดเอกสารและแก้วชาโต๊ะลงพื้นด้วยมือข้างเดียว “ม่อซิวเหยา!”
หากคิดถึงผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่งกองทัพตระกูลม่อได้ทำให้ฉากตอนที่ซีหลิงโจมตีต้าฉู่เมื่อหลายปีก่อนเกิดขึ้นอีกครั้ง ระหว่างทางนั้นง่ายดาย ในเวลาเพียงครึ่งเดือนกองกำลังตระกูลม่อสี่แสนนาย ได้เข้ายึดเมืองทั้งสี่ของซีหลิง และก้าวไปสู่เมืองเปี้ยนซึ่งเป็นเมืองหลักของซีหลิง นี่เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในซีหลิง รองจากเมืองหลวงของซีหลิง และความเจริญรุ่งเรืองนั้นสูงกว่าของเมืองอานซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกยึดครองโดยตระกูลมู่หรง เพราะนี่เป็นทางสำคัญเดียวสำหรับพื้นที่ทางตะวันตกจะไปยังเมืองหลี และแม้แต่ไปยังจงหยวนอีกด้วย เห็นได้ชัดในตัวเองว่าที่นี่มีความตระการตาและความเจริญรุ่งเรืองมากมาย ที่สำคัญกว่านั้น แม้ว่าซีหลิงมีพื้นที่กว้างขวาง แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เหมาะสำหรับการปลูกเสบียงอาหาร ครึ่งหนึ่งที่เหลือที่ปลูกเสบียงอาหารก็อยู่ใกล้กับเมืองเปี้ยน นอกจากนี้ยังมีสำนักหลงซาน ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักที่สำคัญของโลก ซึ่งมีชื่อเสียงพอๆ กับสำนักหลีซาน ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองเปี้ยนบนภูเขาหลงซาน
สถานที่สำคัญเช่นนี้ ย่อมต้องดีกว่าที่อื่นอยู่แล้ว เมื่อกองทัพตระกูลม่อมาถึงที่นี่ เหลยเถิงเฟิงซึ่งเดิมอยู่ในพระราชวังก็ได้นำกองกำลังสามแสนนายไปยังเมืองเปี้ยน กองทัพทั้งสองจึงเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกในเมืองเปี้ยน การต่อสู้ครั้งก่อนถือได้ว่าเป็นการบดขยี้กองทัพตระกูลม่อเพียงฝ่ายเดียว เหลยเถิงเฟิงนำกองทหารของเขาวิ่งไปยังเมืองเปี้ยนจนเหนื่อยแทบไม่ไหว กองทัพตระกูลม่อต่อสู้และเดินทัพมากว่ายี่สิบวันติดต่อกัน และเมื่อมาถึงที่นี่พวกเขาก็เหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน ม่อซิวเหยาจึงสั่งให้ตั้งค่ายนอกเมืองเปี้ยน เพื่อพักผ่อนระยะสั้นก่อนเข้าโจมตีเมือง
ในค่ายทหารของกองทัพตระกูลม่อ แม่ทัพทุกคนมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว หลังจากได้รับชัยชนะหลายครั้ง พวกเขาตื่นเต้นและมีความสุขมาก ดังนั้นเมื่อม่อซิวเหยาสั่งชะลอการโจมตี หลายคนจึงระงับอารมณ์ไม่อยู่ แล้วขอออกศึก
ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีนั่งเคียงข้างกันบนตำแหน่งหลักในค่าย โดยพิงพนักแขนข้างหนึ่ง ยิ้มเหมือนไม่ยิ้มให้กับผู้คนที่ทะเลาะกันว่าใครจะโจมตีเมืองก่อน เฟิ่งจือเหยาทรุดตัวลงอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ และยิ้มให้กับการทะเลาะกันของพวกเขา เกาหูพลางมองม่อซิวเหยาแล้วพูดว่า “ท่านอ๋อง พูดอะไรสักหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นจะทะเลาะกันจริงๆ แล้วนะ” เมื่อได้ยินดังนั้นนั้น ผู้คนที่ทะเลาะกันก็หยุดทันที สายตาสิบกว่าคู่มองม่อซิวเหยาอย่างพร้อมเพรียง
ม่อซิวเหยาค่อยๆ พูดอย่างเชื่องช้า “ข้าไม่ได้พูดไปแล้วหรือ ตั้งค่าย พักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยโจมตีเมือง”
อวิ๋นถิงเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “แต่ว่าท่านอ๋อง กองกำลังสามแสนนายของเหลยเถิงเฟิงมาถึงแล้ว พวกเราไม่ควรถือโอกาสสู้ตอนที่ทั้งคนและม้าเหนื่อยจนรับมือไม่ทันหรือ”
ม่อซิวเหยาเหล่มองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเบาๆ “เขาน่ะ ทั้งคนและม้าเหนื่อย แต่พวกเราเหนื่อยยิ่งกว่าพวกเขาอีก ทุกท่านคิดว่าพวกเรารบกันมาอย่างราบรื่นตลอดทางนี้ แล้วคิดว่าซีหลิงโจมตีได้ง่ายจริงๆ หรือ ทุกคนอย่าลืมนะ ว่าช่วงสิบยี่สิบปีมานี้ ระหว่างซีหลิงกับต้าฉู่ ซีหลิงอยู่เหนือกว่ามาตลอด”
นั่นเป็นเพราะม่อซิวเหยาไม่ได้เข้าร่วมสงครามไม่ใช่หรือ มีคนบ่นในใจ
ม่อซิวเหยาพูดขึ้นเรื่อยเปื่อย “ที่เราชนะได้อย่างราบรื่นในช่วงเวลานี้ หนึ่งเป็นเพราะกองกำลังอันแข็งแกร่งของเหลยเจิ้นถิงส่วนหนึ่งได้แยกออกไปโจมตีต้าฉู่แล้ว และพวกเรามาตอนที่เขาไม่ทันตั้งตอน ตั้งรับไม่ทัน แม้ซีหลิงจะรุกรานชายแดนคนอื่นบ่อยครั้ง แต่คนในพื้นที่ไม่ได้ทำสงครามมานานหลายปีแล้ว ข้อเสียของพวกเขากับกองทัพตระกูลม่อคล้ายกันมาก โจมตีเก่ง ตั้งรับไม่เก่ง ข้าบอกทุกคนได้อย่างจริงจังเลยว่า สงครามของพวกเรา จะเริ่มต้นจริงๆ ก็ตั้งแต่เมืองเปี้ยนนี้นี่ละ”
หลี่ว์จิ้นเสียนขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องชื่นชมเหลยเถิงเฟิงเกินไปแล้ว”
“ท่านอ๋องไม่ได้ชื่นชมเหลยเถิงเฟิง” เยี่ยหลีที่เงียบฟังพวกเขามาตลอด เอ่ยปากขึ้น “เมืองเปี้ยนเป็นเมืองใหญ่ของซีหลิง นอกจากเมืองหลวง นี่ถึงจะเป็นที่ซ่อนพยัคฆ์และมังกรที่แท้จริง”
ซ่อนพยัคฆ์มังกรหรือ ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ ว่าซีหลิงมีคนสำคัญอะไร
เยี่ยหลียิ้ม พลางส่ายหัวก่อนจะเอ่ย “ก่อนเจิ้นหนานอ๋อง ซีหลิงมีสามแม่ทัพใหญ่ ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ มีใครเคยได้ยินไหม”
คนที่อยู่ในที่นี้ต่างเป็นแม่ทัพด้านการรบ ย่อมรู้จักเรื่องเมืองใหญ่ๆ เป็นอย่างดี อวิ๋นถิงเอ่ยเสียงต่ำ “รายงานพระชายา แม่ทัพใหญ่ทั้งสามของซีหลิง คือหลงหยาง แม่ทัพเฟิ่งเทียนแห่งซีหลิง จูเยี่ยน แม่ทัพจิ้งเทียนแห่งซีหลิง แล้วก็เฟิงเอ้า แม่ทัพซุ่นเทียนแห่งซีหลิง ว่ากันว่าสามคนนี้เป็นสหายคนสนิทของฮ่องเต้เซวียนเหวิน ฮ่องเต้องค์ก่อนของซีหลิง หลังจากฮ่องเต้เซวียนเหวินขึ้นครองราชย์ พวกเขาก็ขยายอาณาเขต ออกศึกไปทั้งสี่ทิศ ในช่วงรัชสมัยของฮ่องเต้เซวีนเหวิน อาณาเขตของซีหลิงขยายไปทางตะวันตกเกือบหนึ่งในสามของอาณาเขตเดิม แต่จูเยี่ยนเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่เคยต่อสู้กับไท่อ๋อง แพ้หนึ่งชนะหนึ่ง อีกสองคนอยู่ทางตะวันตกและทางเหนือตลอด หลังจากที่ฮ่องเต้แห่งซีหลิงขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็อยู่ภายใต้การควบคุมของน้องชายเจิ้นหนานอ๋อง อย่างไรก็ตามแม่ทัพทั้งสามนี้จงรักภักดีต่อฮ่องเต้เซวียนเหวิน และพวกเขายังภักดีต่อฮ่องเต้แห่งซีหลิงที่ฮ่องเต้เซวียนเหวินเลือกมา จึงไม่ถูกกับเจิ้นหนานอ๋อง ถูกเจิ้นหนานอ๋องปลดอำนาจทางทหารในเวลาไล่เรี่ยกัน นี่มันก็เป็นเรื่อง…เมื่อยี่สิบปีก่อน”
คนอื่นๆ พากันพยักหน้า เรื่องของเมืองหลวงที่พวกเขารู้เหมือนกับที่อวิ๋นถิงพูด คนที่อายุน้อยที่สุดของสามคนนั้นตอนนี้ก็เจ็ดสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ต่อให้ยังอยู่ ก็ไม่อาจได้เข้ามาอยู่ในสนามรบแล้วละ
เยี่ยหลียิ้มเย็น “เสียใจด้วย แม่ทัพสามคนนี้ มีสองคนอยู่ที่เมืองเปี้ยน นั่นก็คือ หลงหยาง แม่ทัพเฟิ่งเทียน และจูเยี่ยน แม่ทัพจิ้งเทียน”
ทุกคนเงียบ