69 เส้าหลินให้กำเนิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ การแนะนำจากเจ้าอาวาส

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 69 เส้าหลินให้กำเนิดบุตรศักดิ์สิทธิ์ การแนะนำจากเจ้าอาวาส

 

 

“ช่างน่าเศร้านัก”

 

“การบ่มเพาะของระดับอรหันต์นั้นแตกต่างจากวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นโดยสิ้นเชิง”

 

“นี่มันก็นานมากแล้ว ข้ายังสัมผัสไม่ได้ถึงคอขวดของระดับชั้นที่สองเลย”

 

ซูฉินที่นั่งไขว้ขาอยู่ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าการบ่มเพาะช่างยากลำบากยิ่งนัก

 

“แต่ก็รู้สึกได้ว่า ตราบใดที่ข้าใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอีกสักหลายสิบเม็ดคงพอจะก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่สองได้”

 

ซูฉินคาดเดาอยู่ในใจ

 

โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำไม่เพียงแต่มีฤทธิ์ยาที่มากมายรอให้ซูฉินดูดซับเท่านั้น แต่ยังทำให้ซูฉินเข้าสู่สภาวะ ‘รู้แจ้งฉับพลัน‘ อยู่ตลอดการออกฤทธิ์ของตัวยา ส่งผลให้ควบคุมพลังฟ้าดินได้ดียิ่งขึ้น

 

“ข้าต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนในการดูดซึมโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดหนึ่ง หากเป็นหลายสิบเม็ดก็ต้องใช้เวลาประมาณร้อยเดือน หรือก็คือไม่ถึงสิบปี?

 

ซูฉินคำนวณอยู่ในใจเงียบๆ เขารู้สึกพอใจขึ้นมาอีกหน่อย

 

การใช้ระยะเวลาสิบปีในการเข้าสู้ขอบเขตนภาชั้นที่สองนั้นเป็นที่น่าพอใจ ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป

 

ถ้าเหล่าอรหันต์ผู้เป็นที่นับหน้าถือตาของวัดเส้าหลินหรือตำนานยุทธจากภายนอกได้ล่วงรู้ความคิดของซูฉินยามนี้ เกรงว่าคงต้องอาเจียนออกมาเป็นเลือดเพราะความโกรธ

 

รู้หรือไม่ว่าเหล่าตำนานยุทธหรืออรหันต์นั้น หากต้องการจะพัฒนาจากระดับนภาชั้นที่หนึ่งไปยังนภาชั้นที่สองโดยไม่มีโอกาสอื่นๆ จากภายนอกเข้ามาช่วย จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็เป็นร้อยปีหรือหลายร้อยปีในการฝึกฝนด้วยตัวของตัวเอง

 

ตำนานยุทธจำนวนมากยังคงติดอยู่กับระดับนภาชั้นที่หนึ่งจนกระทั่งถึงอายุขัยห้าร้อยปี

 

แต่ซูฉินเล่า?

 

แค่สิบปีกลับจะไปถึงระดับนั้นแล้ว แต่เขายังรู้สึก ‘ไม่ได้มีความสุข‘ เท่าใดนัก?

 

หลังจากเวลานั้นซูฉินก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง…

 

ลงชื่อเข้าใช้ กลับมาฝึกฝน…

 

ทำสิ่งเหล่านี้วนเวียนไปเรื่อย

 

สำหรับบางคนชีวิตเช่นนี้สุดแสนจะน่าเบื่อ ทั้งหงอยเหงาและน่าเศร้าด้วยซ้ำ

 

แต่ในใจของซูฉินนั้นเต็มไปด้วยความสนุกสุขสันต์

 

ไม่ว่าสิ่งใดในโลก

 

อำนาจ?

 

ความงาม?

 

ทรัพย์สมบัติ?

 

มันก็แค่สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป

 

จะมีอะไรสบายใจไปกว่าการที่รู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นทุกวันอีกเล่า?

 

และในตอนที่ซูฉินหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนและการลงชื่อเข้าใช้

 

วัดเส้าหลินก็กลับมาสงบเงียบเช่นกัน หลังจากข่าวการตายของจอมมารแพร่ออกไป ผู้คนจำนวนมากในยุทธภพต่างต้องการเข้าเยี่ยมพบซูฉิน

 

แต่ทุกคนก็ถูกปฏิเสธโดยเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน

 

ซูฉินเคยร้องขอเจ้าอาวาสตั้งแต่แรกแล้วว่าหากไม่มีอะไรที่เป็นภัยต่อวัดเส้าหลินอย่าได้รบกวนเขา

 

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป

 

ชั่วพริบตาก็มาถึงวันที่วัดเส้าหลินรับศิษย์ใหม่เข้ามาอีกครั้ง

 

ในฐานะสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพ วัดเส้าหลินจำเป็นต้องรับลูกศิษย์เพิ่มจำนวนหนึ่งทุกๆ ปี เพื่อสืบทอดสำนักต่อไป

 

จำนวนที่รับเพิ่มก็ต้องไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

 

ถ้ามีมากเกินไปการจัดสรรทรัพยากรจะไม่ทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นลานโพธิ์หรือตำหนักอื่นๆ ทรัพยากรด้านการฝึกยุทธและโอสถต่างมีจำนวนจำกัดในแต่ละปี

 

ยิ่งมีศิษย์มากเท่าไร ทรัพยากรที่แจกจ่ายก็จะยิ่งมีสัดส่วนน้อยลง หากเป็นเช่นนั้นอัจฉริยะบางคนอาจจะไม่มีวันได้รุ่งโรจน์

 

แต่จะน้อยเกินไปก็ไม่ได้

 

หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา การสืบทอดมรดกก็อาจจะล้มเหลวได้

 

ไม่ว่าจะเป็นสำนักหรือพรรคใดในยุทธภพ การล้มเหลวในการสืบทอดมรดกของพรรคถือเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงอย่างมาก

 

ในอดีตมีสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพเช่นเส้าหลินหลายต่อหลายแห่งล้มหายตายจากไปเพราะไม่มีผู้สืบทอด

 

 

ที่ลานธรรม

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักที่เหลือต่างมารวมตัวกันที่นี่

 

นอกจากพวกเขาแล้วยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งดูจากขนาดตัวแล้วคงจะอยู่ในช่วงวัยรุ่น

 

ในขณะที่เด็กหนุ่มคนนี้หายใจออกมา ราวกับว่ามีเสียงสวดดังคลอออกมาด้วยตลอด ฟังดูน่าพิศวงเป็นที่ยิ่ง

 

แน่นอนว่าคนธรรมดาไม่สามารถตรวจจับความผิดปกตินี้ได้ มีเพียงยอดยุทธในสามระดับบนที่กายเนื้อถูกชำระด้วยพลังฟ้าดินเท่านั้นจึงจะรับรู้สิ่งนี้ได้

 

“เด็กชายคนนี้คือผู้ถูกเลือกตามประสงค์แห่งองค์ยูไล…”

 

หัวหน้าลานธรรมมองที่เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างใกล้ชิด สายตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจสงสัย

 

เด็กคนนี้ไม่เคยฝึกฝนศาสตร์ทางพุทธใดๆ มาก่อนเลย แต่กลับแสดงปรากฏการณ์พิเศษเช่นนี้ออกมา เป็นเรื่องยากยิ่งที่จะมีคนลักษณะแบบนี้ในรอบร้อยปี

 

“ไม่เลว”

 

“ตอนข้าเห็นทีแรกก็ไม่อาจจะทำใจเชื่อได้ลง”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์พยักหน้าแล้วกล่าวคำ “ด้วยความสามารถที่แสดงออกมานี้ ตราบที่เขาไม่ตกตายไปเสียก่อน ความสำเร็จของเขาในอนาคตย่อมไม่ต่ำกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง”

 

คำกล่าวที่ออกมา

 

ไม่มีหัวหน้าตำหนักคนใดคัดค้าน

 

แม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ยังนั่งนิ่งเห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยได้ทำการประเมินไว้อย่างสูงยิ่ง

 

เด็กอายุเพียงสิบขวบ แต่สรุปว่าความสำเร็จในอนาคตจะต้องไม่ต่ำกว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง?

 

สิ่งนี้หมายความว่าเยี่ยงไร?

 

มันแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่สูงล้ำ

 

แม้ว่าตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง พรสวรรค์ย่อมต้องดี แต่ไม่ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะมีความมั่นใจมากแค่ไหน ตอนที่เขาอายุสิบขวบเขาก็คงไม่กล้าบอกว่าตนจะต้องไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งแน่ๆ หรอก

 

ในด้านการฝึกวิทยายุทธ หากต้องการไปสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง พรสวรรค์ทางยุทธก็เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น มันยังต้องมีโอกาส จิตใจที่สงบนิ่งแน่วแน่ และโชค สิ่งเหล่านี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน

 

แต่ในตอนนี้

 

หัวหน้าตำหนักทั้งหลายรวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกลับระบุว่าอีกฝ่ายสามารถเข้าถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้เพียงดูจากพรสวรรค์เพียงเท่านั้น ทั้งที่อีกฝ่ายยังเป็นเด็กอยู่ด้วยซ้ำ

 

จากสิ่งดังกล่าวสามารถบ่งบอกได้เลยว่าในใจของหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสวางเด็กคนนี้ไว้สูงเพียงใด

 

“เจ้าออกไปก่อนเถิด”

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นสีหน้าของเด็กชายเริ่มซีดขาวก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงกำลังหวาดกลัวอยู่เป็นแน่ จึงได้ให้ศิษย์วัดพาเด็กชายไปพักผ่อน

 

“เอาล่ะ”

 

“ไหนลองกล่าวมา”

 

“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหันไปมองหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ

 

หัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากันเอง จนในที่สุดหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ก็กระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เรียนเจ้าอาวาส ถึงแม้จะมีศิษย์จำนวนมากอยู่ที่ตำหนักยุทธสงฆ์อยู่แล้ว แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้การได้ คงจะดีถ้าให้เขามาอยู่ที่ตำหนักยุทธสงฆ์…”

 

“ไร้สาระ!”

 

ก่อนที่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จะกล่าวจบ หัวหน้าลานอรหันต์ก็กล่าวขัดจังหวะ “ลูกศิษย์เกือบครึ่งที่นมัสการเข้าร่วมวัดเส้าหลินต่างก็อยู่ในตำหนักของเจ้า กลับกันลานอรหันต์ของข้านั้นช่างน่าสังเวชอย่างแท้จริง…”

 

เมื่อหัวหน้าลานอรหันต์กล่าวเช่นนั้นเขาก็หยุดพูด มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรว่า “แต่ว่า หากเขายอมรับที่จะเข้าร่วมกับลานอรหันต์ละก็…”

 

“ตำหนักวินัยสงฆ์ของข้าก็ขาดคนอยู่มากเหมือนกันช่วงนี้…”

 

 

เมื่อเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นหัวหน้าตำหนักทั้งหลายต่างแข่งขันกัน เขาดูแอบตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

 

“ทุกคนจงหยุด”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโบกมือ

 

“ไม่มีใครมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับเด็กคนนั้น…”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมองไปที่กลุ่มคนและในที่สุดก็กล่าวเสริมต่อว่า “แม้แต่ข้าก็เช่นกัน”

 

คำที่กล่าวออกมา

 

ทำให้เหล่าหัวหน้าตำหนักต่างงงงวยกันในทันที

 

ถ้าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติ แล้วใครเล่าจะมีคุณสมบัติ?

 

มีเพียงหัวหน้าลานธรรมเท่านั้นที่กำลังครุ่นคิดบางสิ่ง ก่อนจะกล่าวถามว่า “ท่านเจ้าอาวาส คิดเห็นอย่างไรหากร้องขอให้ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งยอมรับเขาเป็นศิษย์…”

 

“ไม่เลว”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าเล็กน้อย

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ประหลาดใจอยู่เล็กน้อยเมื่อได้ฟัง แต่พอคิดดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลอยู่

 

ด้วยพรสวรรค์ที่เด็กคนนั้นแสดงออกมา แม้ว่าพวกเขาจะรับเข้ามาเป็นศิษย์จริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าจะแนะแนวทางให้อย่างไร

 

 

วันถัดมา

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพาเด็กชายเดินลัดเลาะไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“เจ้าอาวาสขอรับ เราจะไปที่ไหนกันหรือ”

 

เด็กชายกะพริบตา ใบหน้าสับสน

 

“จะไปไหนเช่นนั้นน่ะรึ?”

 

เจ้าอาวาสหยุดยืน เงียบนิ่งไปชั่วขณะประหนึ่งเกรงกลัวอะไรบางอย่าง

 

“ข้าจะพาเจ้าไปพบกับ…”

 

“องค์ยูไล!!!”