2/4

 

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.388 – เลเวล D4

 

หลังผ่านพ้นการต่อสู้ครั้งนี้ ผสานไปกับการได้ดูดซับหัวใจต้นไม้ ความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ในที่สุดก็ยกระดับไปอีกขั้น

 

ความแข็งแกร่งทางกายภาพระดับจักรพรรดิและพลังสมาธิระดับจักรพรรดิ ต่างยกระดับพร้อมกัน ก้าวขึ้นสู่เลเวล D4!

 

นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่สู้กันกับหยานชูว ในที่สุดความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉินเฟิงก็พัฒนาขึ้นอีกครั้ง และหากนับวัน มันเพิ่งผ่านมาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม หากอิงตามเวลาปัจจุบัน ตอนนี้ฉินเฟิงได้ประจำการอยู่ในปราการชาตงครบ 3 เดือนแล้ว

 

และในช่วงเวลาสามเดือน ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นมากมาย

 

โดยเฉพาะตอนนี้ วิกฤตในแนวหน้าของปราการชาตงถดถอย ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

 

ตั้งแต่ฉินเฟิงนำดอกไม้หยาดน้ำตากลับ เป็นเวลานานมากแล้วที่ที่นี่ไม่เกิดการต่อสู้ขึ้น

 

จุดสีแดงบนแผนที่ที่แสดงถึงสัตว์ร้าย ใกล้ๆเมืองแทบไม่มี ปัจจัยด้านความปลอดภัยของปราการชาตงเพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึง

 

จนผู้ใช้พลังเลเวล D ไม่จำเป็นต้องประจำการที่ชาตงอีกต่อไป พวกเขาสามารถออกไปล่าได้ด้วยตัวเอง

 

แม้แต่จำนวนสัตว์ร้ายในทะเลทรายทะเลเหนือ ก็ค่อยๆลดจำนวนลง

 

ถึงผู้ใช้พลังจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ที่พวกเขารู้แน่ๆก็คือ การเปลี่ยนแปลงทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะฉินเฟิง!

 

“ช่วงแรกที่ผมมาที่นี่ ผมได้สังหารประมุขเผ่ากิ้งก่าทรายไป เธอมีความเชี่ยวชาญในด้านรูนมิติ ครอบครองแส้มิติ แม้เป็นเผ่าพันธุ์มีประชากรน้อย แต่ก็มักจะเรียกสัตว์ร้ายที่ทรงพลังออกมาเสมอ”

 

“ต่อมา ผมได้สังหารราชันย์สัตว์ร้ายในทะเลทรายทะเลเหนือไปเก้าตัว”

 

“ดอกไม้หยาดน้ำตาก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญเช่นกัน”

 

“ทำให้ตอนนี้ ผู้ใช้พลังเลเวล D ส่วนใหญ่เลยต้องออกไปล่าเอง ระดับความอันตรายโดยรวมของทะเลทรายทะเลเหนือ ทั้งหมดลดหลั่นลง นั่นคือสาเหตุที่ความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น  แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ อย่าเพิ่งประกาศมันต่อสาธารณะ”

 

ขณะกล่าว สายตาของฉินเฟิงมองลงบนแผนที่ ข้อมูลจากโดรนสำรวจถูกส่งเข้ามา พบว่าช่วงนี้การเคลื่อนไหวของสัตว์ร้ายลดลงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ต้องมอบความดีความชอบให้ผู้ใช้พลังเลเวล D ที่ออกล่ามันไม่หยุด

 

“ท่านนายพล ขอสารภาพว่าฉันประทับใจมากจริงๆ ไม่คิดเลยว่าทะเลทรายทะเลเหนือจะกลายเป็นแบบนี้! ว่าแต่คุณวางแผนจะใช้ที่นี่เป็นพื้นที่เพาะปลูกจริงๆน่ะหรือ?”

 

ซูซิงฝูเป็นผู้ช่วยคนสนิทของฉินเฟิง เขาไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เจ้าตัวอยากเข้าใจทุกสิ่ง จะได้รู้แนวทาง และสามารถพัฒนามันต่อไปได้

 

เมื่อถูกถาม ฉินเฟิงก็เอ่ยปากอธิบายออกไป ซูซิงฝูยิ่งได้รับฟังก็ยิ่งรู้สึกทึ่ง เขานับถือฉินเฟิงจนไม่รู้จะบอกบรรยายได้อย่างไรแล้ว

 

“เข้าใจแล้ว จริงสิ ก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งได้พูดคุยห่านน่วน ได้ยินว่ามีตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณติดต่อเธอมาอีกแล้ว”

 

ฉินเฟิงพอได้ยินคำซูซิงฝู มุมปากเขาผุดยิ้มเยาะทันใด

 

ไอ้เจ้าสองตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เหลือนี่ พอทุกอย่างเป็นไปได้สวยก็เสนอหน้ามาขอความร่วมมือกันเลยสินะ?

 

มันไม่สายเกินไปหน่อยหรอ

 

“คุณไปบอกกับพวกเขา ว่าผมต้องการหุ้น 50% จากเดิมแค่30% ถ้าพวกเขาไม่ให้ ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอีก”

 

ตอนนี้ฉินเฟิงไม่ต้องการเงิน และเงินก็ไม่อาจซื้อเขาได้ง่ายๆ ทั้งยังรู้สึกรังเกียจอีกฝ่าย

 

คนอย่างฉินเฟิง มีหรือจะไม่ล่วงรู้ความคิดของตระกูลโหวและตระกูลตี๋ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาสู้กับหยานชูว สองตระกูลนี้มั่นใจว่าเขาตายแน่ๆ เลยไม่คิดเอ่ยเรื่องสัญญาอีก

 

ดังนั้น เวลานี้หากพวกเขาคิดอ้อนวอนขอร่วมมือ ฉินเฟิงก็จะให้พวกเขาจ่ายมันในราคาที่เหมาะสม!

 

“แบบนั้นเกรงว่าจะไม่สมควร เพราะยังไงเสีย พวกเขายังมีผู้นำตระกูลเลเวล C คอยหนุนหลัง”

 

ฉินเฟิงเผยยิ้มบาง “งั้นก็ให้ผู้นำของพวกเขามาหาผม เพื่อผลประโยชน์นี้ ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าพวกเขาต่อรองยังไง!”

 

แน่นอน ว่ามันไม่มีการต่อรองใดๆ

 

เมื่อซูซิงฝูเข้าพบกับคนจากสองตระกูล การเจรจากลับเป็นไปอย่างราบรื่น นี่มันอยู่เหนือความคาดหมายของเขานัก

 

เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงงับเอาส่วนแบ่งก้อนโต แต่ท้ายที่สุด อีกฝ่ายกลับยอมรับข้อเสนอแต่โดยดี!

 

ซูซิงฝูไม่ได้อยู่ในปราการชาตงตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาเลยไม่รู้ว่าอำนาจของฉินเฟิง มันหยั่งรากลึกแค่ไหน

 

 

เดือนพฤษภาคม หากเป็นชาตงในช่วงปีก่อนๆ นี่คงเป็นฤดูแห้งแล้ง แต่ในวันนี้ รอบๆปราการชาตง มันเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี

 

ทิวทัศน์ดังกล่าว ราวกับเป็นโอเอซิสเล็กๆกลางทะเลทราย!

 

และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น นับเป็นความเปลี่ยนแปลงอันน่าเหลือเชื่อ!

 

สำหรับเรื่องนี้ กระทั่งเกาหยูคังเองก็ยังตกใจ

 

บนอุปกรณ์สื่อสาร เกาหยูคังและฉินเฟิงกำลังสนทนากันผ่านวิดีโอ

 

“นี่คุณวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม? ว่าแต่ดอกไม้ชนิดพิเศษนี้ คุณไปเอามาได้ยังไงกัน? บางทีเจ้าสิ่งนี้ อาจสามารถช่วยพวกเราเปลี่ยนสถานที่อันตราย ให้กลายเป็นสถานชุมชนปลอดภัยก็ได้นะ” เกาหยูคังถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องของดอกไม้หยาดน้ำตา

 

“เรื่องนั้นคงบอกไม่ได้ เพราะผมต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ถ้าคนอื่นๆต้องการ คุณสามารถบอกให้พวกเขาซื้อมันจากผมได้ แต่ราคาต้องไม่ถูกจนเกินไป และจะสามารถขายได้หลังจากเพาะพันธุ์พวกมันไประดับหนึ่งแล้วเท่านั้น” ฉินเฟิงกล่าว

 

ในซีกโลกตะวันตก เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้มีความต้องการถึงขนาดนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว ประชากรของพวกเขาไม่ได้มากมายอะไร ไม่ต้องมีสถานที่ชุมชนมากมาย พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางรอยแยกมิติ เลยเป็นธรรมดาที่จะไม่คิดถึงเรื่องการขยายอาณาเขต

 

อย่างไรก็ตาม โลกซีกตะวันออกมันแตกต่างออกไป ฉินเฟิงอาศัยอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ ที่นี่มีประชากรมากมาย … เรียกได้ว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ!

 

“ฉันไม่สนใจจะทำเรื่องแบบนั้นหรอก อยากหาลูกค้า คุณก็หาเอง ไม่ต้องมาให้ฉันช่วยโฆษณา ”

 

“ผู้การรัฐล้อกันเล่นแล้ว”

 

เกาหยูคังยิ้ม ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ย่อมไม่สนใจเรื่องเหล่านี้

 

“ที่ฉันโทรมาหาคุณ เพราะมีเรื่องอยากจะชักชวน ว่าคุณสนใจมายัง ‘สมรภูมิหลงฉวน’ รึเปล่า? ตอนนี้ระดับความอันตรายของปราการชาตงลดลงแล้ว ทะเลทรายทะเลเหนือภายใต้การดูแลของคุณ ถึงขั้นกลายเป็นสถานชุมชนที่ปลอดภัย ปราการชาตงไม่ต้องการกำลังคนมากมายอีกต่อไปแล้ว”

 

ดวงตาของฉินเฟิงสั่นไหวเล็กน้อย

 

สมรภูมิหลงฉวน?

 

สถานที่นั่น มันตรงกับความต้องการที่ฉินเฟิงตั้งใจจะไปพอดี

 

มองไปยังดวงตาเหม่อลอยของฉินเฟิง เกาหยูคังเร่งกล่าว “แน่นอน ตำแหน่งนายพลชาตงยังคงเป็นของคุณ แม้แต่ตำแหน่งผู้ว่าการ ฉันก็สามารถขอให้เกาฉิงลาออกและมอบเก้าอี้ให้แก่คุณได้ เพราะยังไงเสีย ในอนาคตหากที่นั่นไม่ใช่แนวหน้าอีกต่อไป ต่อให้เกาฉิงหว่านแห คงไม่ได้เหยื่อจากมัน”

 

เกาฉิงเป็นคนตระกูลเดียวกันกับเกาหยูคัง ตราบใดที่เกาหยูคังยังไม่ตาย เกาฉิงสามารถไปที่ไหนก็ได้ที่มีผลประโยชน์

 

“ไม่จำเป็น” ฉินเฟิงปฏิเสธข้อเสนอ ในใจย้อนนึกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจากความทรงจำ และกล่าว “ผมตั้งใจจะไปที่นั่นอยู่แล้ว หลงฉวนฟังดูเป็นสถานที่ๆไม่เลวเหมือนกัน”

 

“ฮ่าฮ่าอย่างงี้นี่เอง แล้วฉันจะรอฟังข่าวดีจากคุณนะ”

 

เกาหยูคังน่ะแข็งแกร่งมาก แต่เขายกระดับขึ้นเร็วเกินไป เลยมีผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ค่อยเยอะ หากได้ฉินเฟิงเป็นผู้ช่วยคงเป็นเรื่องที่ดี

 

แต่แน่นอน ที่ฉินเฟิงบอกว่าจะไป ไม่ใช่เพราะเขาคิดเป็นลูกน้องอีกฝ่าย

 

ในความทรงจำของเขา หลงฉวนในอีกไม่นาน จะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น

 

และเรื่องนี้ ส่งผลให้สถานชุมชนทั้ง 18 แห่งรอบหลงฉวนล่มสลายลง กระทั่งสองเมืองใหญ่ ก็ยังอยู่ในสภาพยับเยิน

 

จนในที่สุด ผู้ใช้พลังเลเวล A ต้องก้าวออกมา ถึงสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้

 

กระทั่งเกาหยูคังที่อยู่ปลายสาย ก็ยังเสียชีวิตในระหว่างการสู้รบนี้

 

ในฐานะผู้การรัฐ ข่าวการตายของเขา จึงแพร่ไปทั่วสี่เมืองทะเลเหนือ  แล้วแบบนี้มันจะไม่ลอยมาถึงหูฉินเฟิงได้อย่างไร?

 

สำหรับคนอื่นๆ เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นคือวิกฤต ทว่าสำหรับฉินเฟิง มันคือโอกาสครั้งใหญ่!

 

 

วันถัดมา ภายในห้องประชุมบนตึกสูงสุดของปราการชาตง

 

กว่า 93 ผู้ใช้พลังเลเวล D ได้มารวมตัวกันที่นี่

 

ฉินเฟิงนั่งอยู่หน้าสุด ไป๋หลีนั่งข้างกายเขา ส่วนที่เหลือ นั่งถัดออกไปตรงข้ามเขา

 

คนเหล่านี้ ต่างกำลังจ้องมองมาทางฉินเฟิงด้วยความกังวล

 

แน่นอน มันเป็นความกังวลที่แตกต่างกันออกไปในหลายๆความหมาย เพราะทุกคนเหมือนจะเข้าใจ ว่าเนื้อหาของการประชุมในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับอะไร

 

“ระดับความปลอดภัยของปราการชาตงได้เปลี่ยนไปแล้ว การออกล่ากับปกป้องเมือง มันไม่เหมือนกัน”

 

“และบางทีอาจจะอีกสักครึ่งปี ทะเลทรายทะเลเหนือจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!”