ตอนที่ 1415 ความหวังของไป๋เฉิน

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ตอนที่ 1415 ความหวังของไป๋เฉิน โดย Ink Stone_Fantasy

“นายน้อยกลับมาแล้ว! ในที่สุดท่านก็กลับมา! มีเรื่องแย่แล้ว!”

ทันทีที่กลับมาถึงวังเทวะรัตติกาลฉาย ชายชราคนหนึ่งมากภูมิฐานดั่งนักปราชญ์ตรงเข้ามาหาไป๋เฉินทันทีอย่างร้อนใจ

สีหน้าของไป๋เฉินเปลี่ยนไปอย่างมากและกล่าวว่า “ท่านลุงจี้ เกิดอะไรขึ้น?”

ท่านลุงจี้โศกเศร้าหนักราวกับแทบใจสลายตรงนั้น น้ำตาเอ่อล้นออกมาเปี่ยมแก้มย่นๆ เขากล่าวว่า “นายท่าน…นายท่าน…ใกล้ถึงวาระสุดท้ายแล้ว!”

ยามได้ฟังเช่นนี้ ประดุจสายฟ้าสีครามฟาดผ่ากลางศีรษะของเขาเต็มแรง ในขณะที่สีหน้าการแสดงออกของคนอื่นๆล้วนแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก

ไป๋เฉินคว้าไหล่ลุงจี้และเอ่ยถามว่า “ข้าหายไปแค่ครึ่งปี แต่ไฉนถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้!”

ทันใดนั้นไป๋ชงที่ถูกจับมัดอยู่ด้านหลัง เริ่มระเบิดหัวเราะราวกับคนเสียสติ

“ฮ่าๆๆๆ… สหายเฒ่าคนนี้ในที่สุดก็ใกล้ตายเสียที มันสมควรตายแล้ว! ฮ่าๆๆ…”

บูมมม!

เสียงระเบิดพลังดังกระหึ่มกึกก้อง ไป๋เฉินอัดพลังทั้งหมดไปที่ขาและเตะไป๋ชงด้วยความโกรธจัด จนอีกฝ่ายกระเด็นกลิ้งออกไป

“ไอ้บัดซบ! แกทำอะไรกับเสด็จพ่อ!”

ไป๋ชงโดยถีบสุดแรง ทั่วทั้งปากชโลมไปด้วยเลือดสดล้นทะลัก แต่อาการบาดเจ็บพวกนี้มันหาได้สนใจไม่ แต่อย่างไรก็ตาม มันยังคงหัวเราะดังลั่นไม่หยุดหย่อนขณะกล่าวว่า “ไอ้แก่โง่นั้นบังอาจไม่เลือกข้าขึ้นเป็นนายน้อย ดังนั้นโทษของมันคือความตาย! มันสมควรตายแล้ว ฮ่าๆๆๆ….”

ไป๋เฉินโมโหโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดแทบคลุ้มคลั่ง ความอาฆาตไม่พอใจที่สั่งสมมานานในจิตใจ ทั้งหมดพลันปะทุเดือดทันทีในพริบตา

“แก!!”

ไป๋เฉินยกฝ่ามือขึ้นกลางอากาศเตรียมประหารชีวิตมันในทันใด แต่สุดท้ายจำต้องชะงักไปอย่างจนใจ เขาอยากจะฆ่าพี่ชายคนนี้ด้วยฝ่ามือให้ตายคาที แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถทำได้

 “ฮ่าๆๆๆ! ฆ่าข้า! ฆ่าข้าสิ! ข้าจะบอกอะไรให้เอาบุญ เหล่ายอดฝีมือของวังเทวะพิรุณร่วงโรยกำลังมาถึงแล้ว! หากเจ้าฆ่าข้าตอนนี้ พวกเจ้าทุกคนจักต้องถูกฝังในหลุมพร้อมข้าแน่นอน! ทางออกเดียวที่ยังหลงเหลือคือปล่อยข้าออกไป และมอบตำแหน่งนายน้อยแห่งวังเทวะรัตติกาลฉายให้ข้า!” ไป๋ชงกล่าวขึ้นพร้อมวาจาท่าทีสุดหยิ่งผยอง

เพียงคำกล่าวนี้คำกล่าวเดียวของไป๋ชง หัวใจของทุกคนพลันจมดิ่งลงสู่หุบเหวไร้สิ้นสุด

โม่หยุนกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชังว่า “แกมันไอ้คนทรยศ! ไร้จิตสำนึกทั้งยังไร้ยางอายอย่างแท้จริง! สัตว์นรกอย่างเจ้าหากได้ขึ้นเป็นนายน้อยแห่งวังเทวะรัตติกาลฉาย สักวันทุกอย่างจะพังพินาศลงดด้วยมือของเจ้า! พวกเรานับว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่เลือกเจ้าเป็นนายน้อย!”

“หึ! เจ้าโง่! หากให้ข้าขึ้นเป็นนายน้อยตั้งแต่แรก วังเทวะรัตติกาลฉายจะมาถึงจุดจบอันเลวร้ายเช่นนี้หรือไม่? เหอะ แกมันคนขี้ขลาด! กระทั่งฆ่าข้ายังไม่กล้าด้วยซ้ำ! ฮ่าๆๆๆ…น้องชายที่รักแน่จริงก็ฆ่าข้า! ฆ่าพี่ชายคนนี้! ไอ้ขี้ขลาดอย่างแก…”

โพละ!

น้ำเสียงสุดเย้ยหยันของไป๋ชงหยุดลงทันที พร้อมเลือดสดที่สาดกระเซ็นทั่วทั้งใบหน้าของไป๋เฉิน

สีหน้าของไป๋เฉินเปลี่ยนไปทันที ก่อนหยุดสายตาที่ร่างของเย่หยวนพร้อมมือที่อาบเลือดสดชโลมชุ่ม

หยวนกล่าวที่เพิ่งตบฝ่ามือระเบิดศีรษะไป๋ชงไป เอ่ยปากกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแสว่า “หากเจ้ายังมัวทำตัวเหลวไหลเช่นนี้ เสด็จพ่อของเจ้าได้ตายแน่นอน”

ไป๋เฉินสะดุ้งเฮือกดั่งฟื้นคืนสติขึ้นอีกครั้ง เขาหาได้สนใจรอยเลือดที่สาดกระเซ็นบนใบหน้า พร้อมรีบทะยานไปที่ตัววังทันที

“พวกเจ้าทุกคนยังจะยืนนิ่งเพื่ออันใด? ไม่ตามเขาลองดูสิว่าสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง?”

เย่หยวนหาได้ใส่ใจกับสายตาทุกคู่ที่จับจ้องเขาด้วยความตกตะลึงงันแม้แต่น้อย พวกเขาที่ได้ยินแบบนั้นพลันสั่นกลัวขึ้นสมอง ก่อนรีบเร่งฝีเท้าตามไป๋เฉินเข้าไปในตัววัง โม่หยุนเองก็สะดุ้งเฮือกและรีบรุดตามไปเช่นกัน เห็นเช่นนั้นเย่หยวนค่อยติดตามไป

หลังจากวิ่งเข้ามาสักครู่หนึ่งก็ถึงห้องประมุขวังเทวะรัตติกาลฉายที่กำลังนอนรอความตาย เย่หยวนที่เห็นอีกฝ่ายที่ใกล้ไปปรโลกเต็มที ก็ทราบทันทีว่าเขาถูกวางยาพิษขั้นรุนแรงและได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างแล้ว พิษแล่นเข้าสู่หัวใจไปแล้ว ต่อให้เย่หยวนจะสามารถหลอมโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสองได้ แต่มันก็สายเกินไปเช่นกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่นานหลังจากนั้น ข่าวการสวรรคตของประมุขวังเทวะรัตติกาลฉายก็แพร่กระจายออกไปในบรรดาเหล่าขุนนางชนชั้นสูงภายในวัง

โม่หยุนจัดเตรียมเรือนพักบริเวณเงียบสงบให้เย่หยวน เพื่อให้เขาพักผ่อนตามอัธยาศัย ในขณะเดียวกัน ยามนี้เกิดศึกแย่งชิงบัลลังก์อย่างดุเดือดขึ้นระหว่างเหล่าทายาทภายในวังเทวะรัตติกาลฉาย เหล่าองค์ชายในวังเทวะรัตติกาลฉายมิได้มีแค่ไป๋ชงกับไป๋เฉินแค่สองคนเท่านั้น แต่ไป๋เฉินยังมีพี่ชายอีกหลายคน

ณ ปัจจุบันท่านประมุขวังได้สวรรคตไปแล้ว กลุ่มขุนนางต่างๆเริ่มกระสับกระส่ายก่อเกิดคลื่นใต้น้ำก่อสงครามกันอย่างลับๆ ไป๋เฉินเป็นบุตรชายคนเล็กของประมุขวัง แต่การที่ถูกแต่งตั้งให้ขึ้นเป็นนายน้อยเช่นนี้ แต่แรกเดิมทีก็ถูกขุนนางหลายฝ่ายคัดค้านเช่นกัน เป็นเพียงเพราะไป๋เฉินมีคุณสมบัติผ่านทุกด้าน และสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ยังเป็นความต้องการส่วนตัวของท่านประมุขวัง ดังนั้นยามที่ท่านประมุขวังคนเก่ายังอยู่ จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรไป๋เฉิน แต่ช่างเลวร้ายนัก ไป๋เฉินยังไม่ทันเติบโตโดยสมบูรณ์ ท่านประมุขวังกลับถูกไป๋ชงลอบทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต สิ่งนี้ทำให้กลุ่มขุนนางอื่นมีความหวังขึ้นอีกครั้ง

“โม่หยุน สิ่งเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการต้านรับศึกภายนอก! ไป๋เฉินยังเด็กเกินไปที่จะควบคุมดูแลขุมกำลังและรวมไปถึงกิจการต่างๆของภายในวัง การจะโน้มน้าวใจมวลชนกลับยังไม่มีความสามารถมากพอ! มอบหมายหน้าที่กุมศึกสำคัญเช่นนี้ มิใช่ว่าจะส่งคนไปตายเปล่าหรอกรึ?”

“ถูกต้อง! ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน เราควรเลือกองค์ชายที่มีบารมีและวุฒิภาวะที่สูงกว่า จึงจะสามารถรับมอบหมายภารกิจสำคัญระดับนี้ได้ นี่แหละคือคุณสมบัติของผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขวังคนต่อไป!”

“ขุมกำลังของพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ความแข็งแกร่งของนายน้อยไป๋เฉินยังคงไม่เพียงพอ จะปล่อยให้เขาไปสู้กับพวกนั้นได้อย่างไร?”

กลุ่มคนพวกนี้พยายามสรรหาข้ออ้างโดยใช้เรื่องความเยาว์และด้อยประสบการณ์ของไป๋เฉินมาโต้แย้ง  ยามนี้เผชิญหน้ากับศัตรูร้ายตัวฉกาจ นับเป็นเรื่องดีที่จะใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อบีบให้ไป๋เฉินสละบัลลังก์

โม่หยุนกรนเสียงเย็นชืดคำโตและกล่าวว่า “นายน้อยได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากท่านประมุขวังคนก่อน ดังนั้นผู้สืบทอดตำแหน่งที่แท้จริงก็คือเขาเพียงคนเดียว! ร่างของท่านประมุงวังคนก่อนยังไม่ทันเย็น พวกเจ้าก็คิดออกอุบายให้นายน้อยไป๋เฉินหลุดจากตำแหน่งเสียแล้ว!”

“นี่กลับไม่ถูกต้อง! พวกเขาล้วนเห็นชอบตามท่านประมุขวังคนก่อนทุกประการ แต่ยามนี้กลับเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน จำต้องหารือปรึกษาขึ้นเป็นพิเศษ! นายน้อยไป๋เฉินไม่เพียงไร้ซึ่งประสบการณ์มิอาจโน้มนามมวลชนได้ แต่ระดับพลังของเขาในตอนนี้ก็ยังต่ำเกินไป! แล้วเขาจะขึ้นเป็นประมุขวังได้อย่างไรกัน?” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวคัดค้านทันที

“หากกล่าวถึงบุคคลที่มากประสบการณ์สามารถกุมศึกในคราวนี้ได้ ข้ารู้สึกว่าไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าท่านรองประมุขไป๋ซิ่วอีกแล้ว ในเมื่อไม่มีท่านประมุขวังคอยปกป้องที่แห่งนี้ บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดรองลงมาก็คือเขา ในความเห็นของข้า เขาเหมาะสมที่จะขึ้นกลายเป็นประมุขวังรุ่นต่อไปมากที่สุด! เอาล่ะ เนื่องจากพวกเรายังหาข้อสรุปไม่ได้ เช่นนั้นให้ท่านรองประมุขไป๋ซิ่วรับตำแหน่งผู้ว่าการแทนประมุขชั่วคราวไปก่อน ทุกคนคิดเห็นอย่างไร?”

ทันทีที่ข้อเสนอนี้ดังขึ้น คล้ายไปทำลายสมดุลทั้งหมดให้พังลง ทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่า ไป๋ซิ่วเองจะมีแผนอยู่ในใจแล้วเช่นกันจึงเคลื่อนไหวออกมาแบบนี้ เพียงแต่ว่า เมื่อทุกคนต่างนั่งพินิจดูอย่างละเอียด ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่ารองประมุขไป๋ซิ่วแล้วจริงๆ

ขณะเดียวกันไป๋ซิ่วที่นั่งอยู่บนตำแหน่งอันทรงเกียรติ คู่ดวงตาพลันหรี่แคบลงเล็กน้อยคล้ายว่าดูงุนงงไม่ต่างจากคนอื่นเช่นกัน

ทันใดนั้นเขาพลันแสร้งทำเป็นตกใจและเร่งกล่าวว่า “ไม่มีทาง ไม่มีทาง! นี่เป็นจารีตประเพณีของวังเทวะรัตติกาลฉายตั้งแต่รุ่นบรรพชน มีเพียงท่านประมุขวังเท่านั้นที่สามารถแต่งตั้งนายน้อยขึ้นได้ และมีเพียงนายน้อยเท่านั้นที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขวังได้ในอนาคต แล้วรองประมุขวังอย่างข้าหรือจะไปมีคุณสมบัติ? หากข้าได้รับตำแหน่งนี้จริงๆ เช่นนี้ทุกคนจะไม่รู้สึกรึว่า ข้าวางแผนเพื่อแย่งชิงบัลลังก์? เมื่อเป็นแบบนั้นกลับยากที่จะทำให้เหล่ามวลชนเชื่อใจ! อย่ากล่าวเรื่องนี้ให้ข้าได้ยินอีก! ในเมื่อเรื่องนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เช่นนั้นค่อยหารือกันใหม่ในวันพรุ่งนี้ ส่วนพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรยยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ข้ายังคงเฝ้าจับตาพวกมันอยู่ อืม…สำหรับวันนี้คงพอแต่เพียงเท่านี้”

 ยามนี้ท่านประมุขวังสิ้นบุญล่วงลับไปแล้ว ปัจจุบันก็เหลือแต่ไป๋ซิ่วที่มีชื่อบารมีและเป็นที่เคารพรักสูงสุดแห่งของวังเทวะรัตติกาลฉายทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นเอง เขายังเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งคำกล่าวเช่นนี้ของเขาได้สร้างความประทับใจให้แก่กลุ่มผู้อาวุโสเหล่านี้อย่างมาก

ในไม่ช้าห้องโถงใหญ่ก็เหลือแค่เพียงความว่างเปล่า มีเพียงศิษย์อาจารย์โม่หยุนกับไป๋เฉินเท่านั้นที่ยังนั่งนิ่งไม่ไปไหน พวกไป๋เฉินทั้งสองเสียศูนย์ถูกทำลายความรู้สึกไม่เหลือ พวกเขาไม่เอ่ยกล่าววาจาสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ

ไป๋เฉินมิได้ต้องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งพวกนี้เลย แต่การล่วงลับจากไปของท่านประมุขวังยังคงส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาเป็นอย่างมาก ยามนี้ยังไม่ซึ่งสติสัมปชัญญะนั่งเหม่อลอย

ยามเห็นท่าทีแสนหดหู่ของเขา โม่หยุนอดรู้สึกกระวนกระวายใจมิได้

“นายน้อย! หากท่านยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ตำแหน่งประมุขวังที่ท่านสมควรจะได้รับจะหลุดลอยไป!” โม่หยุนกล่าวขึ้นด้วยความกังวล

ไป๋เฉินเหลียวมองจับจ้องโม่หยุนด้วยแววตาไร้ซึ่งความกังวลและกล่าวว่า “จากที่พวกเขากล่าวไปล้วนถูกต้องแล้ว ข้าไม่เหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนี้เลย”

โม่หยุนสูดหายใจเข้าลึกๆและกล่าวเสียงขรึมว่า “นายน้อยคิดว่าท่านประมุขวังคนก่อนกังวลเรื่องอนาคตของวังเทวะรัตติกาลฉายมากเพียงใด? เพื่อจะให้ท่านขึ้นเป็นนายน้อยอย่างทุกวันนี้ได้ เขาต้องทุ่มเทความพยายามหาลู่ทางแค่ไหนทราบหรือไม่? แล้วเป็นไปได้ไหมว่า นายน้อยจะละทิ้งความพยายามทั้งหมดของเขาเพื่อหนีปัญหาเช่นนี้? วังเทวะรัตติกาลฉายจะล่มสลายในไม่ช้าด้วยน้ำมือของพวกวังเทวะพิรุณร่วงโรย การที่ท่านประมุขวังคนก่อนพยายามผลักดันนายน้อยขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องเห็นอะไรในตัวท่านแน่นอน!”

ทั่วทั้งร่างของไป๋เฉินสั่นสะท้านโดยมิตั้งใจ ในที่สุดดวงตาของเขาก็ฉายแววไสวกลับมาได้สติอีกครั้ง แต่ทันทีทันใดแววไสวในดวงตาพลันดับมอดอีกครั้งในทันที เขากล่าวว่า “แต่…ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ พวกเราไม่เหลือความหวังอะไรอีกต่อไปแล้ว!”

โม่หยุนยิ้มเบื้องลึกในแววตาของเขายังคงทิ้งร่องรอยความหวังเร้นซ่อนอยู่

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า “ผิดแล้ว เรายังเหลือความหวังอยู่!”

ทว่าไป๋เฉินกลับส่ายหัวเจือรู้สึกสับสนอย่างมากเมื่อได้ฟังเช่นนั้น และกล่าวตอบว่า “เหลือความหวัง? ในตอนนี้เหลือเพียงท่านกับข้าแค่สองคน สิ่งใดที่เรียกว่าความหวัง?”

โม่หยุนกล่าวตอบทันทีว่า “นายน้อยลืมไปแล้วรึว่ายังมีอีกคน? ไปหาท่านเย่หยวนเพื่อขอความช่วยเหลือ! เขาคือความหวังสุดท้ายของเราแล้ว!”

……………………………………………