ตอนที่ 308 ความคิด
ตอนที่ 308 ความคิด

“เห็นบอกว่า 100-200 หยวนไม่ใช่เหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “ไม่ได้ถึงขั้นหลายร้อยมั้ง”

“100-200 หยวนก็ยังดีนะ แค่ถ่ายรูปไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ถ้าเป็นฉัน ก็ยินดีที่จะทำ วัน ๆ ไม่ต้องให้กินข้าวก็ยังไหว!” หลี่เฟินพูดด้วยน้ำเสียงอิจฉา

พี่สะใภ้รองจ้าวยิ้ม “เธออย่าพูดแบบนี้เลย วัน ๆ ไม่กินข้าว ต่อให้ได้เงินมากกว่านี้ก็ทำไม่ได้ เกิดหิวตายขึ้นมา ได้เงินแล้วจะไปมีประโยชน์อะไร!”

หลี่เฟินก็หัวเราะเช่นกัน “ได้กินข้าวแต่ก็กินไม่อิ่ม ก่อนหน้านี้พวกเราเคยกินอิ่มที่ไหนกันล่ะ ฉันจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ วันนึงได้กินข้าวมื้อเดียวเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้กินสองมื้อ หนึ่งมื้อก็ถือว่ายากแล้ว ดื่มซุปลงท้อง ดื่มจนท้องเกิดเสียงโครกครากเวลาเดิน แต่ก็ยังต้องทำงาน! นี่ไม่ต้องทำงานแค่ถ่ายรูป หิวสักหน่อยจะไปกลัวอะไร! น่าเสียดาย ทำไมฉันถึงไม่เจอเรื่องดี ๆ แบบนี้บ้างนะ! เธอลองไปถามน้องหกดูสิ”

พี่สะใภ้รองจ้าวรีบพูด “พอเถอะ สภาพของฉันแบบนี้ยังจะไปเป็นนางแบบอีก? เธอไม่ได้ยินเหรอ นางแบบต้องรูปร่างหน้าตาดี อีกอย่าง น้องหกก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจด้วย คนที่ตัดสินใจก็คือภรรยาของพี่ภรรยาคนที่สามเขาต่างหากล่ะ”

“แต่มันก็เป็นความสัมพันธ์ทางฝั่งน้องหกอยู่ดี ไม่มีงานนางแบบก็ยังมีงานอื่น ยังไงก็ดีกว่าอยู่ในหุบเขานี้!” หลี่เฟินกล่าว “เฮ้อ ชีวิตของฉันเป็นแบบนี้ ไปในเมืองก็ไปไม่ได้ ฉันหวังว่าลูกสาวของฉันโตขึ้นมาจะไปในเมืองได้ จะได้รับฉันไปเที่ยวให้เพลิดเพลินสักสามสี่วัน”

พี่สะใภ้รองจ้าวพูดด้วยอารมณ์ความรู้สึก “ปีนั้นคนในเมืองก็กินกันไม่อิ่มเลย แถมยังมาแลกข้าวที่หมู่บ้านเราด้วย ฉันจำได้ว่าตอนที่เพิ่งแต่งงานเข้ามา มีคนในเมืองมาขอแลกข้าว มีทั้งคูปองข้าวและเงินสด ตอนนั้นพวกเรายังพูดขบขันว่าคนในเมืองน่าเวทนาอยู่เลย ไม่มีที่ดิน แถมยังไม่มีข้าวให้กินอีก เธอว่านั่นมันอะไรกันล่ะ นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปีเองนะ กลับเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย ฉันเองก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะ พวกเราไม่ใช่คนที่มีดวงจะร่ำรวยอู้ฟู่ แค่เฝ้าที่ดินไม่กี่หมู่ก็พอแล้ว เลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่ ส่วนพวกเราสองคนได้เป็นเหมือนกับพ่อแม่สามีแบบนั้น ร่างกายแข็งแรงสักหน่อยจะได้มีชีวิตต่อไปได้อีกหลายปี แต่ถ้าไม่ไหว เตะขาเล่นได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!”

“นี่ ทำไมเธอถึงคิดแบบนี้ล่ะ!” หลี่เฟินหัวเราะเหอะ ๆ “น้องหกของเธอมีความสามารถขนาดนั้น สามารถส่งน้องชายของแม่หม้ายหม่าที่ไม่เอาการเอางานไปปักกิ่งได้ เขาจะทนดูพี่สะใภ้อย่างเธอแบกรับความจนได้เหรอ?”

พี่สะใภ้รองจ้าวส่ายหน้า “พวกเราไม่ได้มีโชคนั้น แย่งมาไม่ได้หรอก”

ทั้งสองคนพูดคุยอย่างมีความสุขไปพลางถอนวัชพืชไปพลาง ตอนถึงช่วงสิบโมงกว่าสิบเอ็ดโมง เป็นช่วงที่แดดแรงที่สุด ทั้งสองคนจึงกลับไปพักผ่อนเพื่อนอนกลางวัน รอจนกระทั่งช่วงบ่ายตอนที่แสงอาทิตย์ไม่ได้ร้อนผ่าวแล้วค่อยมาใหม่อีกครั้ง และสามารถทำงานต่อได้จนถึงช่วงเย็น เช้าวันรุ่งขึ้นก็ต้องลุกขึ้นไปทำนาตั้งแต่เช้าตรู่ นี่เป็นเวลาทำงานและพักผ่อนสำหรับทุกคนกับการทำงานเกษตรในฤดูร้อน ออกทำงานแต่เช้าและกลับในเวลามืดค่ำ ตอนเที่ยงที่เป็นช่วงที่อากาศร้อนก็กลับไปพัก

หลังพี่สะใภ้รองจ้าวกลับมา อย่างแรกที่ทำคือนำหญ้าใบเขียวไปเติมให้กระต่าย จากนั้นก็เก็บมะเขือยาว พริกและมะเขือเทศในสวนตรงลานบ้าน รวมถึงผักกาดหอม ผักกาดขาว ต้นหอม และเก็บไข่ไก่อีกสองสามฟองจากรังไก่ หล่อนคิดไว้ว่าช่วงเที่ยงจะทำข้าวสวยจากข้าวฟ่าง มะเขือตุ๋นพริก และซุปไข่ไก่มะเขือเทศ เพิ่มด้วยน้ำพริกผักลวกจิ้มอีกจาน

ระหว่างที่พี่สะใภ้รองจ้าวยุ่งอยู่กับการทำอาหาร พี่รองจ้าวก็กลับมาที่บ้านแล้วเช่นกัน และนำจอบไปพรวนดินตรงที่ดินที่ปลูกข้าวฟ่าง

“ตอนเที่ยงกินอะไร?” พี่รองจ้าวปั๊มน้ำหนึ่งกะละมังที่บ่อน้ำ เขาล้างหน้าขณะเอ่ยถาม

พี่สะใภ้รองจ้าวจึงบอกเมนูไป และถามเขาว่าข้าวฟ่างเป็นอย่างไรบ้าง

“ดีมากเลย งอกงามได้ไม่เลว”

พี่รองจ้าวมีความสุขมาก ข้าวฟ่างคือปันส่วนตลอดปีของครอบครัว

รสชาติของความหิวไม่ใช่เรื่องที่ทำให้รู้สึกดีเลย แม้เวลาจะผ่านไปจนถึงตอนนี้ก็ยังสร้างความหวาดกลัวได้อยู่ ดังนั้นในทุกปีไม่ว่าพืชผลจะแลกเป็นเงินได้เท่าไร ต่อให้ฟ้าผ่าเขาก็จะปลูกข้าวฟ่างสิบหมู่ไม่เปลี่ยนแปลง การที่ครอบครัวเก็บปันส่วนในสามปีไม่ได้นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ

“ผักกาดขาวงอกขึ้นมาได้ไม่เลวเลย ฉันว่าถ้าถอนวัชพืชรอบนี้เสร็จแล้วฝนตกก็คงจะดีนะ” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดไปพลางทำอาหารไปพลาง

“ฝนไม่ตกก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นผมค่อยไปดึงน้ำจากแม่น้ำมารดก็ได้”

พี่รองจ้าวล้างหน้าเสร็จก็สะบัดน้ำที่เกาะอยู่บนมือ จากนั้นก็เช็ดน้ำที่อยู่บนหน้า และเดินเข้ามาในบ้านเพื่อย้ายโต๊ะออกมาวางไว้ที่บันไดหิน จากนั้นก็หยิบกาและถ้วยออกมาหนึ่งใบ นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ เขารินน้ำเพื่อดื่มดับกระหาย ระหว่างนั้นก็คุยกับพี่สะใภ้รองจ้าวไปด้วย

พี่สะใภ้รองจ้าวยกผักที่ล้างไว้อย่างดีออกมาวาง จากนั้นก็นำน้ำพริกจิ้มออกมาและเริ่มหุงข้าว

“วันนี้หลี่เฟินไปถอนวัชพืชตรงที่ปลูกผักกาดขาว พวกเราก็เลยคุยกันเรื่องเสี่ยวหม่า” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว

“เสี่ยวหม่า?” พี่รองจ้าวชะงัก “น้องชายของแม่หม้ายหม่าน่ะนะ?”

“เป็นเขานั่นแหละ ตอนนี้เรียกกันแบบนี้ทั้งนั้น” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดในสิ่งที่หลี่เฟินพูดด้วยรอยยิ้ม “หลี่เฟินอิจฉาเสี่ยวหม่าด้วยนะ”

พี่รองจ้าวกลับพูดว่า “อิจฉาอะไร เมืองใหญ่ใช้ชีวิตง่ายแบบนั้นหรือไง!”

“ก็ใช่น่ะสิ มีคนเยอะขนาดนั้น แถมไม่มีที่ดินด้วย จะใช้ชีวิตยังไงกัน”

ตอนนี้พี่สะใภ้จ้าวแอบคล้ายกับสาวชาวนาในยุคโบราณที่จินตนาการถึงชีวิตของฮองเฮาภายในวัง

“นี่ถ้ามีการศึกษาสักหน่อยก็คงดี จะได้เป็นฝ่ายบัญชีช่วยคิดบัญชีให้เขา ไม่มีการศึกษา ก็อยู่บ้านให้มันดี ๆ เถอะ” พี่รองจ้าวกล่าว

พี่สะใภ้รองจ้าวตักข้าวที่หุงขึ้นมาใส่ตะแกรง จากนั้นนำน้ำข้าวเทลงไปในกะละมัง แล้วนำข้าวแห้งนี้เทกลับเข้าไปในหม้อ ปิดหม้อข้าวเพื่อไล่ความชื้น

“เสี่ยวหม่าก็ไม่มีการศึกษาเหมือนกัน หมอนั่นรูปร่างหน้าตาดีก็ได้ไปในเมืองแล้ว แถมยังได้เงินมากขนาดนั้น พระเจ้า ไม่รู้จริง ๆ ว่าคิดอะไรอยู่!”

พี่สะใภ้รองจ้าวพูดไปพลางก็จุดไฟอีกหม้อหนึ่งไปพลาง หล่อนหันมาสับต้นหอมใส่ลงไปในหม้อแล้วเติมน้ำมันลงไปนิดหน่อย กับซอสที่ทำเองอีกนิด จากนั้นจึงนำมะเขือและพริกที่ล้างไว้แล้วมาฉีกด้วยมือแล้วโยนลงไปในหม้อ ผัดไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็เติมน้ำ ปิดฝาหม้อ ตุ๋นไว้สักพักก็รับประทานได้แล้ว

“ที่ดูดีก็เพราะได้มาจากพ่อแม่ ยังจะมีอะไรอีก” พี่รองจ้าวกลับไม่ได้รู้สึกอิจฉาแม้แต่น้อย

พี่สะใภ้รองจ้าวเติมฟืนเข้าไปในเตาไฟ หล่อนผัดอีกสองสามรอบ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กที่อยู่หน้าโต๊ะ หยิบต้นหอมมาหนึ่งหัวจิ้มกับน้ำจิ้มแล้วนำใส่ปาก “ก็ใช่น่ะสิ ไม่มีใครคิดเลยว่าหน้าตาดีแบบนี้จะเข้าไปอยู่ในเมืองได้! อันที่จริงจะพูดยังไงก็เป็นเพราะน้องหกโชคดีนั่นแหละ ได้แต่งงานกับภรรยาดี ๆ ไม่งั้นจะมีญาติอยู่ปักกิ่งได้ไงล่ะ!”

น้ำเสียงของพี่สะใภ้รองจ้าวไม่สามารถปิดซ่อนความอิจฉาได้

อย่ามองว่าหล่อนพูดกับหลี่เฟินแบบนั้น อันที่จริงภายในใจก็คิดแบบเดียวกับหลี่เฟิน หล่อนเองก็หวังจะได้เข้าไปในเมือง ได้ใช้ชีวิตแบบคนในเมืองเช่นกัน

“คุณว่าอนาคตน้องหกจะไปอยู่ปักกิ่งไหม?” พี่สะใภ้รองจ้าวเห็นสามีไม่รู้สึกอะไร จึงเอ่ยถามต่อ

“คงไม่หรอก” พี่รองจ้าวตอบ “เขาไปแล้วฟาร์มกระต่ายจะทำยังไง?”

“จะทำยังไงอะไรล่ะ หาคนมาดูแลก็สิ้นเรื่องแล้ว ขายให้คนอื่นก็ยังได้เลย ไปอยู่ปักกิ่งยังต้องสนใจฟาร์มกระต่ายอีกเหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดราวกับใส่ใจมาก

พี่รองจ้าว “ผมไม่เคยได้ยินเขาพูดว่าอยากไปปักกิ่งเลย อีกอย่าง เขาไปปักกิ่งแล้วจะไปทำอะไร”

“นี่! ดูคุณพูดเข้าสิ น้องหกเองก็หน้าตาไม่แย่ ฉันว่าดูดีกว่าเสี่ยวหม่านั่นอีกนะ! พี่สะใภ้สามของน้องสะใภ้หกตาไม่ถึงเลย ไม่เอาน้องหก แต่ดันไปหาคนนอก!” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดชมจ้าวเหวินเทา “ไปเป็นนายแบบที่ปักกิ่ง หนึ่งเดือนได้ตั้งหลายพัน ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนั้นด้วย ดีกว่าอยู่บ้านอีกนะ!”

พี่รองจ้าวมองพี่สะใภ้รองจ้าวด้วยความสงสัย “คุณไปได้ยินอะไรมาใช่ไหม?”

พี่สะใภ้รองจ้าวส่ายหน้า “ฉันก็พูดไปงั้นแหละ ถ้าน้องหกไปปักกิ่ง อนาคตถ้าลากพวกเราสักหน่อย ไม่ต้องพวกเราหรอก ฉันหมายถึงพวกเถี่ยต้านน่ะ ถ้าไปที่ปักกิ่งได้ แบบนั้นคงดีมากเลยนะ จริงไหม”

นี่ต่างหากล่ะคือความคิดที่แท้จริงของพี่สะใภ้รองจ้าว

……………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อย่าหาความจริงใจอะไรจากคำพูดพี่สะใภ้รองจ้าวเลย ที่พูดอะไรมาแต่ละอย่างคือคิดหาประโยชน์ให้ครอบครัวตัวเองหมดแล้ว

ไหหม่า(海馬)