ตอนที่ 559 คำถามสามข้อในการทะลวงระดับก่อกำเนิด

พันธกานต์ปราณอัคคี

ครั้นทุกคนได้ฟังคำของดอกไม้พิสดารกลางอากาศ กระแสเย็นวาบพลันผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวยิ่งกว่าคือ ตันเถียนในร่างเคลื่อนไหวเร็วขึ้นทุกที จวนจะควบคุมไม่ได้อีกแล้ว

“ขะ..ข้าควบคุมมันไม่ได้อีกแล้ว…” ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนเอ่ยพร้อมกัน

ไม่ว่าจะเป็นเข้าสู่สภาวะเสมือนก่อกำเนิดหรือว่าทะลวงระดับก่อกำเนิดได้แล้วโลกดวงดาวล่มสลาย ล้วนเป็นสถานการณ์ที่ทุกคนไม่อยากเห็นทั้งนั้น

ทุกคนทุ่มเทแรงอย่างเต็มที่เพื่อสกัดไม่ให้สุริยันจันทราพบกัน ช่วยส้มโอมือสีทองเก้าดวงใจทำลายดอกไม้พิสดาร จึงจะได้รับโอกาสหยุดพักเพื่อรอถึงเวลาออกจากโลกดวงดาว

ตอนนี้ห่างจากกำหนดครบรอบสิบปีไม่ถึงสองปีแล้ว เมื่อไม่มีปรากฏการณ์สุริยันจันทร์ปรากฏรบกวน พวกเขาก็สามารถสกัดอาการตันเถียนเคลื่อนไหวเองได้โดยชั่วคราว

ใครจะรู้ว่าน้ำค้างบุปผาที่ดอกไม้พิสดารระเบิดออกมาเป็นครั้งสุดท้ายกลับมีผลช่วยเร่งให้ตันเถียนทำงานอย่างไม่อาจควบคุม การทะลวงระดับก่อกำเนิดไม่อาจห้ามได้แล้ว

“จะ เจ้าจะทำอะไร” เสียงของดอกไม้พิสดารพลันสูงขึ้น

เสียงอ่อนเยาว์ของส้มโอมือสีทองเก้าดวงใจดังชัดเจน “ทำลายโลก…”

ท้ายเสียงของมันลากยาวไม่หยุด ทุกคนพลันรู้สึกว่ากลางอากาศเริ่มปริออกราวกับมีระลอกน้ำไหลกระเพื่อมขึ้นมา

ปัง เปรี้ยง เปรี้ยง

สายฟ้าผ่าดังสนั่น ฟ้ามืดมิดชวนให้แตกตื่น

เห็นแสงสีทองบาดตาพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ทะลวงผ่านกลุ่มเมฆจู่โจมสู่แผ่นฟ้า

จู่ๆ แผ่นฟ้าก็เป็นเสมือนเปลือกไข่แตกออก แสงสีฟ้าสาดส่องเข้ามา

“อาโส่ว เจ้าจะเป็นปรปักษ์กับข้าให้ได้ใช่หรือไม่ เจ้าใช้พลังทั้งหมดทำลายโลก นั่นมิใช่ว่าเจ้าจะต้องมีจุดจบเช่นเดียวกับข้าหรอกหรือ!” ดอกไม้พิสดารตวาดเสียงแตกพร่า

“หึๆๆ…” อาโส่วหัวเราะเสียงเบา ทั้งๆ ที่เป็นเสียงของเด็กทารกทว่าฟังแล้วกลับเหมือนเสียงกระเง้ากระงอดของคนรัก “เช่นนี้ไม่ดีหรืออย่าง เดิมทีนายท่านก็…ต้องการให้ข้าคอยพิทักษ์เคียงข้างเจ้าอยู่แล้ว…”

“อย่าพูดถึงเขา อย่าพูดถึงเขา ข้าเกลียดเขา เกลียดเขา!” ในอากาศมีแต่ใบหน้าหญิงสาวบิดเบี้ยวล่องลอยเต็มไปหมด แต่เพียงในชั่วขณะเดียวใบหน้างดงามซีกซ้ายก็เปลี่ยนไป

ใบหน้าซีกซ้ายและขวาเป็นหน้าของคนสองคน ด้านหนึ่งงดงามอ่อนหวาน อีกด้านหนึ่งงดงามคมคาย ดูไปแล้วแปลกพิกลนัก

เสียงของส้มโอมือสีทองเก้าดวงใจอ่อนลง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เป็นเช่นนี้เอง คุณหนูเฟิงหลัน เหตุใดท่านต้องขโมยร่างของอามู่ด้วย”

ใบหน้างดงามครึ่งนั้นบิดเบี้ยว “เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อแก้แค้นเจ้านายของพวกเจ้า พี่ชายที่แสนดีของข้าน่ะสิ!”

“ข้าไม่เข้าใจ ทั้งๆ ท่านกับนายท่านเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันมาก…” ส้มโอมือสีทองรู้สึกได้ว่าลมหายใจเริ่มขาดห้วง ทว่าเพราะปัญหาที่ติดค้างมานับพันปี ถึงได้ยืนหยัดถามออกมา

หญิงสาวแหงนขึ้นฟ้าระเบิดเสียงหัวเราะดัง “เป็นพี่น้องที่ดีต่อกันหรือ ใช่ ดีมาก ดีเหลือเกิน ถึงได้ทำผิดพลาด…ข้าถูกมารดาแท้ๆ ลงทัณฑ์จุดโคมสวรรค์[1]เพื่อยุติความสัมพันธ์พี่น้องต้องห้าม ส่วนเขากลับได้เป็นท่านประมุขน้อยอย่างเปิดเผย!”

เสียงของหญิงสาวค่อยๆ หายไปในสายลม แสงสีทองปกคลุมทั่วฟ้าก็ดับลงเช่นกัน

ทุกคนพลันรู้สึกว่าพันธนาการหายไปแล้ว ไม่ทันได้สนใจบทสนทนาที่ปลุกความตื่นตระหนกในใจนั้นอีก ก็ขี่สมบัติวิเศษบินทะยานพุ่งสู่รอยแตกบนฟ้าแล้ว

เพียงชั่วพริบตา ทุกคนก็พุ่งออกไปทางรอยแยกได้

ไอวิญญาณเข้มข้นด้านนอกทะลักเข้ามาราวกับน้ำทะเล

เดิมทีหากไม่มีการคุ้มกันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจะถูกไอวิญญาณเข้มข้นในเขตแดนวิญญาณว่างเปล่าบีบคั้นจนเส้นชีพจรแตกซ่าน ทว่าทุกคนอยู่สภาวะพิเศษทะลวงสู่ระดับก่อกำเนิดพอดี เพราะพลังวิญญาณในร่างถูกสะกดไว้ต่อเนื่องนานหลายวัน จึงสามารถสกัดการบีบคั้นของโลกภายนอกได้ เข้าสู่สภาวะทะลวงระดับก่อกำเนิดกลางนภาด้วยตนเอง

ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสิบเก้าคนล่องลอยอยู่กลางท้องนภาสีฟ้า แต่ละคนนั่งขัดสมาธิเว้นระยะห่างกัน แผ่แสงวิญญาณออกจากทั่วร่าง ภวังค์สติไม่ถูกภายนอกรบกวน

พวกเขาหารู้ไม่ว่า โลกดวงดาวที่คิดจะว่าจะล่มสลายไม่ได้หายไปไหน ทว่าพุ่งชนกลุ่มดาวดวงหนึ่งด้วยความเร็วสุดขีด

ทว่าผีเสื้อผู้กระพือปีกไหวจนเกิดเป็นแรงกระเพื่อมอย่างอ่อนเบาในครานี้ กลับทำให้แดนวิญญาณสวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในอีกหลายปีให้หลัง

มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าตัวเองเข้าสู่สถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง มีลมปราณไหลเวียนรอบกาย และลำแสงสีทองอร่าม

“ที่นี่คือที่ไหน”

นางเพิ่งเกิดความฉงน น้ำเสียงคนชรายืดยาวก็ส่งมาจากที่ห่างไกล “เจ้ามาแล้ว”

“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินยังไม่ทันครุ่นคิดก็ตอบไปตามธรรมชาติ

“ในเมื่อมาถึงที่นี้ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า มรรคาสวรรค์คือหนใด” เสียงชรานั้นคล้ายถ่ายทอดมาจากโบราณกาล

มั่วชิงเฉินจิตใจอึ้งไปเล็กน้อย พลันนึกได้ว่า นี่คือด่านแรกของการทะลวงระดับก่อกำเนิด ‘ถามมรรคา’

“กำเนิดฟ้าดิน กำเนิดสรรพสิ่ง ปล่อยคือความว่างเปล่า ยับยั้งคือการให้อภัย นี่คือมรรคาสวรรค์” มั่วชิงเฉินตอบกลับอย่างเคารพนบนอบ

คำถามที่สองตามติดมา “ในเมื่อมรรคาสวรรค์สร้างสรรค์สรรพสิ่งและกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เหตุไฉนคล้อยตามคือมนุษย์ ขัดขืนสำเร็จเซียน”

คำถามนี้มั่วชิงเฉินเคยครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งถึงเวลานี้ ในใจก็ได้คำตอบออกมาแล้ว นางตอบโดยไม่ลังเลว่า “สรรพสิ่งล้วนมีมรรคา ไม่มีเกิดจากมี ดังนั้นวันวานเคลื่อนคล้อยตามวิถีจึงเกิดเป็นวันหน้า เมื่อมีกลับสู่ไม่มี ด้วยเหตุนี้วันหน้าย้อนกลับสู่วันวาน ชีวิตจึงกลับสู่วิถีธรรม มนุษย์และมรรคาเป็นหนึ่ง จึงเป็นเซียน”

“เช่นนั้น มรรคาของเจ้าอะไร” เสียงนั้นไม่ยอมให้นางได้หยุดพักเลย คำถามที่สามก็ส่งตามติดมา

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ใบหน้าจริงจังขึ้น เปล่งคำพูดออกมาสองคำ “คืนปฐม”

สิ้นเสียงปราณธรรมชาติกระแสหนึ่งพลันพัดลงมาห้อมล้อมมั่วชิงเฉินเอาไว้ ท่วงทำนองสวรรค์ดังขึ้นมา

คำถามทั้งสามข้อ ผู้บำเพ็ญเพียรหมื่นคนมีหมื่นคำตอบ

มรรคามีสามพัน ขอเพียงคำตอบเป็นสิ่งตนยึดหมั่นและยืนหยัดไม่เปลี่ยนแปลงมาตลอดก็จะไม่ติดอยู่ที่ด่านนี้

สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือ อำนาจอิทธิฤทธิ์ที่สร้างขึ้นในภายหน้าจะเกี่ยวพันกับมรรคาจิตที่ยึดมั่นในเวลานี้เอง ทำให้อิทธิฤทธิ์มีมากมาย

มั่วชิงเฉินสูดปราณธรรมชาติเข้าไปจนหมดเกลี้ยง แก่นทองคำเต้นตุบตับ เกิดเสียงปัง แตกออก

เข้าสู่ด่านที่สองของการทะลวงระดับก่อกำเนิด…สลายแก่นก่อกำเนิด

หลายปีมานี้มั่วชิงเฉินแทบไม่มีโอกาสผ่อนคลายเลย พเนจรท่องไปทั่ว ทั้งยังผ่านประสบการณ์ใหญ่ในชีวิตคนอย่างการบำเพ็ญคู่ สภาวะจิตฝึกฝนจนเพียงพอแล้ว ยิ่งผ่านการขัดเกลาในโลกดวงดาวนี้หลายปี การบำเพ็ญบรรลุถึงขอบเขตเต็มเปี่ยมเต็มที

สภาวะจิตและการบำเพ็ญมากเพียงพอ น้ำค้างบุปผาที่กลืนกินเข้าไปก็เพิ่มโอกาสสำเร็จในการทะลวงระดับก่อกำเนิด ยามที่ดอกไม้พิสดารระเบิดฝนบุปผายิ่งเป็นวัตถุชั้นดีในการชักนำ รากวิญญาณของนางเปลี่ยนเป็นรากวิญญาณเดี่ยวเจ็ดสี แก่นสูญสลายสู่ระดับก่อกำเนิดย่อมราบรื่นเป็นไปตามธรรมชาติ

กระบวนการนี้คล้ายสั้นนัก ทั้งคล้ายยาวนานมาก เทียบกับความเจ็บปวดในตอนก่อแก่นปราณแล้ว ครั้งนี้มั่วชิงเฉินไม่รู้สึกว่าอะไรไม่สบายตัวเลย รอจนแสงในกายค่อยๆ ดับจนหมดลง ก็เห็นทารกตัวน้อยๆ นั่งขัดสมาธิอยู่ในตันเถียน

จะบอกว่าทารกตัวน้อยก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เป็นรูปร่างใหญ่ขนาดเด็กทารก ทว่าหน้าตากลับเป็นเหมือนมั่วชิงเฉินตัวจิ๋ว

เพียงแต่เจ้าตัวจิ๋วนั่งขัดสมาธิดูไปแล้วเป็นระเบียบนัก มุมปากอมกลับยิ้มน้อยๆ เผยลักยิ้มน่ารัก แสดงถึงจนปัญญาทั้งความขี้เล่น

มั่วชิงเฉินหน้าอึ้งทึ่ง ต่างก็บอกว่าหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดแล้ว จิตใจที่แท้จริงปรากฏ จะแสดงนิสัยที่ถูกสะกดไว้ออกมา หรือจะบอกธาตุแท้เดิมของนางเป็นเช่นนี้กัน

ไม่ทันรอให้นางบ่นจบ ความมืดก็เข้าปกคลุมไปทั่วฟ้า

ในขณะที่กำลังสูญสิ้นสติสัมปชัญญะสุดท้ายไป มั่วชิงเฉินคล้ายฉุกคิดได้ นี่น่าจะเป็นด่านสุดท้ายของการทะลวงระดับก่อกำเนิดแล้ว ซ้ำเป็นด่านที่ยากเย็นมากที่สุดอีกด้วย…ใจมารกัดกิน

“ชิงเฉิง เจ้าฟื้นได้เสียที!” เสียงคุ้นหูดังขึ้น

มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น กะพริบปริบๆ สีหน้าแตกตื่น “ศิษย์พี่จื่อซีหรือ”

นางเอ่ยพลางมองไปรอบๆ อย่างุนงง พบว่าบรรยากาศรอบกายคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

“เขาลั่วเถาหรือ” มั่วชิงเฉินฉงนเป็นอย่างยิ่ง มองนักพรตจื่อซีอดถามไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่จื่อซี ทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่ที่…”

มั่วชิงเฉินลังเลไปเล็กน้อย สมองพลันสดใสขึ้นมา “จริงสิ ไม่ใช่ว่าพวกเราอยู่ในโลกดวงดาวหรือ ทำไมกลับมาที่เหยากวงแล้วเล่า”

นักพรตจื่อซีกดมั่วชิงเฉินนั่งลง จับมือนางเอ่ยว่า “ชิงเฉิง ครั้งนี้ที่พวกเราหนีออกมาจากโลกดวงดาวได้ ล้วนเป็นเพราะเจ้าแท้ๆ!”

“ข้าหรือ” มั่วชิงเฉินงุนงง

นักพรตจื่อซีเห็นท่าทางนางก็ลอบถอนหายใจ ตอบว่า “ใช่แล้ว เจ้าใช้ร่างต่างหม้อมิใช่หรือไร พวกเราขัดขวางสุริยันจันทราบรรจบกันได้ ดอกไม้พิสดารถูกทำลาย ส้มโอมือสีทองเก้าดวงใจใช้พลังทั้งหมดทำลายโลกดวงดาว พวกเราจึงหนีออกมาได้ เพราะเจ้าใช้พลังจนหมดสิ้นถึงได้ตกอยู่ในสภาวะสลบไหล หลับไปสามปีแล้ว”

“หลับไปสามปีแล้วหรือ” มั่วชิงเฉินกะพริบตา ภาพรากวิญญาณสูญสลายแล้ว ตันเถียนว่างเปล่าพลันไหลเข้ามาในห้องสมอง สีหน้านางซีดขาวอย่างไม่อาจควบคุมได้

นักพรตจื่อซีจึงรู้ว่านางจำได้แล้ว พลันถอนใจอย่างเสียดาย กุมมือนางแน่นปลอบว่า “ชิงเฉิน เจ้าต้องคิดให้ตกนะ อาจารย์เจ้ากับลั่วหยางกำลังหาทางอยู่ ยังมีพวกเราที่หนีเอาชีวิตรอดมาจากตอนนั้นได้ทั้งหมดต่างทำสัญญาแล้ว จะทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อช่วยเจ้าแก้ปัญหา…”

ถ้อยคำหลังจากนั้นมั่วชิงเฉินไม่ได้ยินอีกแล้ว สมาธิของนางจมดิ่งอยู่ในร่างกาย ตรวจตันเถียนว่างเปล่าไร้สิ่งใดอย่างชัดเจน จากนั้นก็เงยหน้ามองนักพรตจื่อซี ค่อยรู้สึกว่าเวลานี้ไม่สมควรเรียกว่าศิษย์พี่จื่อซีแล้ว แต่สมควรเป็นอาจารย์อาจื่อซีมากกว่า

“อาจารย์อาจื่อซี ข้ารู้แล้ว ท่านกลับไปก่อนเถิด ข้าต้องการความสงบเสียหน่อย”

นักพรตจื่อซีลุกขึ้น “ได้ เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนให้ดี อย่าคิดมากไป อาจารย์เจ้าและลั่วหยางออกไปหาทางแก้ไข รอพวกเขากลับมา บางทีอาจมีหนทางก็ได้ จริงสิ ตู้รั่วศิษย์ของเจ้าออกท่องเที่ยวไปทั่ว เขาลั่วเถากว้างใหญ่นี้มีสาวใช้เพียงสองคนเท่านั้น ข้ายังส่งศิษย์หลายคนมาช่วยจัดการธุระการงานให้ เจ้ามีเรื่องอันใดใช้พวกเขาก็พอแล้ว”

“ขอบคุณอาจารย์อาจื่อซีที่ลำบากแล้ว” มั่วชิงเฉินเสียงสงบนิ่ง มองนักพรตจื่อซีจากไป ค่อยลุกขึ้นมานั่งพิงเตียง จิตใจเหม่อลอย

นางกลายเป็นคนพิการไปแล้วหรือ

มั่วชิงเฉินกัดฟันนั่งตัวตรง โคจรรวบรวมพลังวิญญาณ

พลังวิญญาณในธรรมชาติหลั่งไหลมาเข้าสู่ชีพจร ทว่ากลับหาสะพานเข้าสู่ตันเถียนไม่พบพลันสลายไป

หนึ่งครั้ง สองครั้ง…

ไม่รู้ว่าทดลองกี่ครั้งแล้ว ล้วนตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ยอมแพ้ เจ็บปวดจนยากจะนอนหลับได้ ลุกขึ้นเดินไปถึงประตู

ได้ยินเสียงหญิงสาวไม่คุ้นหูดังขึ้น “เจ้าว่า เหตุใดเจินจวินถึงส่งพวกเรามาปรนนิบัติคนพิการกันนะ เช่นนั้นต่อไปอนาคตคงไม่มีเลยสักนิดน่ะสิ”

อีกเสียงหนึ่งตำหนิว่า “พล่ามเหลวไหลอันใดกัน เจ้าก็ไม่ใช่เด็กใหม่แล้ว หรือไม่รู้ว่าคนที่อยู่ด้านในคือใครกัน ได้ยินว่าจื่อซีเจินจวินหนีเอาชีวิตรอดและสำเร็จระดับก่อกำเนิดได้ ล้วนเป็นเพราะความชอบนาง ผู้บำเพ็ญเพียรที่ออกจากแดนสวรรค์ได้ในครั้งนี้ล้วนกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ทุกคนต่างติดค้างบุญคุณนาง”

“แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า ไม่ใช่ว่าตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น[2]หรืออย่างไร ผู้อื่นสำนึกบุญคุณมากแค่ไหน วันนี้นางไร้รากวิญญาณไปแล้ว อีกร้อยปีข้างหน้าก็แค่กระดูกขาวโพลนเท่านั้น…”

มั่วชิงเฉินเปิดประตูออกไปทันควัน

[1] ลงทัณฑ์ด้วยการถอดเสื้อผ้าของนักโทษออก จากนั้นห่อหุ้มด้วยผ้าจากนั้นแช่น้ำมันข้ามคืน จากนั้นแขวนนักโทษกลับหัว และจุดไฟจากเท้าให้ลุกลามลงมา

[2] ทำเพื่อคนอื่นแต่ตัวเองกลับไม่ได้อะไร