ภาคที่ 3 บทที่ 22 ชนะใสๆ

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

จ้าวเหิงตกใจจนเป็นลม

เพราะฉะนั้น จะแสร้งทำเป็นสูงส่งไปทำไม ในเมื่อจิตใจยังคงต่ำทราม?

อวี๋หวั่นคล้องแขนเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า “สามี! กลับจวน!”

……

ยามที่ไปถึงจวนคุณชาย อวี๋หวั่นก็พบว่าในลานบ้านเต็มไปด้วยของขวัญมากมาย

อวี๋หวั่นเดินเข้าไปท่ามกลางกองของขวัญเหล่านั้น แล้วเอ่ยถามเถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์ซึ่งกำลังจัดของขวัญอยู่ “นี่เป็นของขวัญที่คนอื่นส่งมา หรือว่าเป็นของที่จวนเราจะนำไปส่ง?”

หลีเอ๋อร์ตอบว่า “เรียนฮูหยินน้อย นี่เป็นของขวัญที่คนอื่นส่งมาเจ้าค่ะ พวกเรากำลังจดรายการ”

อวี๋หวั่นตกใจ “มากมายขนาดนี้เชียว”

จะไปเก็บที่ไหนละเนี่ย!

“เจ้าค่ะ ทางนี้เป็นของที่เสนาบดีกรมโยธาส่งมา ตรงนี้มาจากรองเสนาบดีหลี่ กรมข้าราชการพลเรือน และตรงนี้มาจากไต้ซือหวัง แล้วก็ตรงนี้เจ้าค่ะ มาจากอาจารย์…” หลีเอ๋อร์อธิบายให้อวี๋หวั่นฟังอย่างฉะฉานราวกับเป็นของของตน “แล้วก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งอยู่ในห้องเก็บของข้างประตู ยังไม่ได้หยิบมาเจ้าค่ะ”

อวี๋หวั่นสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ “เป็นของขวัญแสดงความยินดีที่เยี่ยนจิ่วเฉาได้เป็นผู้สำเร็จราชการหรือ?”

หลีเอ๋อร์ครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า “เหมือนจะเป็น…ของขวัญตอบแทนนะเจ้าคะ”

อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจ “ของขวัญตอบแทน? พวกเราให้ของขวัญพวกเขาไปหรือ?”

เมื่อดูจากรายชื่อแล้ว ดูเหมือนว่าขุนนางในราชสำนักทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก็ส่งของขวัญตอบแทนมาให้พวกเขา!

“ให้แล้วขอรับ” อิ่งลิ่วตอบอย่างไม่มีพิรุธ “คุณชายให้ไปตั้งแต่วันที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์แล้วขอรับ”

เป็นไข่ไก่สีแดงสองใบ ยิ่งใหญ่ซะไม่มี!

บรรดาขุนนางต่างกระอักเลือดอยู่ในจวนของตน หากถามว่าสิ่งที่ไร้ยางอายยิ่งกว่าการจับเสือมือเปล่าคืออะไรน่ะหรือ ก็คือเจ้าคุณชายงูพิษที่ใช้ไข่ไก่สีแดงสองฟองแลกกับของขวัญค่าควรเมืองของพวกเขาน่ะสิ!

ไข่ไก่สีแดงเปล่าๆ สองฟอง!!!

เมื่ออวี๋หวั่นได้ยินว่าเยี่ยนจิ่วเฉาส่งของขวัญให้เหล่าขุนนางไปแล้ว ก็ไม่ได้ซักไซ้อีก ทุกคนล้วนส่งมาแต่ของมีราคา แสดงว่าเยี่ยนจิ่วเฉาต้องส่งของที่ไม่ธรรมดาให้พวกเขาอย่างแน่นอน

อวี๋หวั่นจึงพูดว่า “รู้หน้าที่ดีจริงๆ เขารู้สินะว่าการส่งของขวัญให้เช่นนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับขุนนางในราชสำนักแน่นแฟ้นขึ้น”

อิ่งลิ่วบีบกระเป๋าเงินแน่น เขาจำที่อิ่งสือซันเคยสอนได้ขึ้นใจ หากพูดความจริงโดยไม่ดูตาม้าตาเรือจะถูกหักเงินเดือน! แต่…แต่เขาก็ทนไม่ไหว จึงกระซิบว่า “อันที่จริงก็ไม่ใช่ของแพงอะไรขอรับ เป็นเพียง…”

อวี๋หวั่นมองเขาด้วยความสงสัย

สุดท้ายแล้วอิ่งลิ่วก็ต้องยอมทนต่อความอับอาย “เมื่อเทียบกับของขวัญที่ขุนนางให้มา ของคุณชายเทียบไม่ติดเลยขอรับ”

เขาไม่ได้พูดว่าไข่ไก่สีแดงสองฟอง…

อวี๋หวั่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จะว่าไปก็ไม่แปลก อย่างไรเสียคุณชายบ้านเจ้าก็เป็นถึงผู้สำเร็จราชการ เหล่าขุนนางย่อมคิดจะประจบประแจงเขา ต้องเลือกของมีราคามามอบให้อยู่แล้ว…”

ท่านมั่นใจจริงๆ หรือว่าพวกเขาทำเพราะอยากประจบประแจง ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ?

คำพูดนี้ อิ่งลิ่วไม่ได้พูดออกไป

ความจริงนั้นสำคัญ แต่เงินเดือนสำคัญกว่า!

ของที่เหล่าขุนนางส่งมาให้นั้นมีราคาแพง อวี๋หวั่นรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง แต่หากให้ส่งกลับไป พวกเขาก็คงไม่รับ

ถ้าหากขุนนางเหล่านั้นล่วงรู้ความคิดของอวี๋หวั่นละก็ พวกเขาคงจะรีบพูดว่า ‘รับสิ! รับ! พวกเรารับคืน! ได้โปรดส่งของคืนมาเถอะ!’

“ผิงเอ๋อร์” อวี๋หวั่นเรียก

“ฮูหยินน้อย” ผิงเอ๋อร์กำลังยกไหผักดองลงมาจากรถม้า เมื่อได้ยินอวี๋หวั่นเรียก นางก็เดินถือไหผักดองเข้ามา “มีอะไรหรือเจ้าคะ”

อวี๋หวั่นบอกว่า “เจ้าไปห้องครัวเล็กกับข้าหน่อย ข้าจะทำขนมให้พวกเขา”

ในช่วงบ่าย เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ในราชสำนักล้วนได้รับขนมถั่วเขียวซานเย่าซึ่งชายาของผู้สำเร็จราชการลงมือทำเองกับมือ

บ่าวจากจวนคุณชายนำขนมไปส่งตามจวนต่างๆ พร้อมทั้งกำชับว่า “นี่เป็นขนมที่พระชายาบ้านข้าทำด้วยตนเอง”

ความหมายโดยนัยก็คือ กินอย่าให้เหลือ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าโดนแน่

รูปลักษณ์ของขนมนับว่าไม่เลว กลิ่นก็หอมยั่วยวน แม้จะไม่อาจเทียบกับของขวัญที่พวกเขาส่งไป แต่ก็เป็นของที่พระชายาทำเองกับมือ น้ำใจย่อมมีค่าเหนือเงินทองไม่ใช่หรอกหรือ?

ขุนนางในราชสำนักต่างรู้สึกว่าพระชายานั้นมีเหตุมีผลกว่าเยี่ยนจิ่วเฉามาก!

แม้ว่าจะมาจากต่างจวน แต่ท่าทีที่เหล่าขุนนางชั้นสูงมีเมื่อได้รับขนมนั้นไม่ต่างกัน

พวกเขาหยิบขนมขึ้นมาลองชิมด้วยความตั้งใจ…

มารดามันเถอะ!

พวกข้าทำผิดอะไร ทำไมพระชายาต้องลงโทษพวกข้าเช่นนี้ด้วย ของขวัญที่พวกข้าส่งให้ไม่พอรึ!!!

ตกดึก ก็มีของขวัญจากบรรดาขุนนางระดับสูงอีกจำนวนหนึ่งส่งมาถึงจวนคุณชาย

อวี๋หวั่น “…เอ๊ะ?”

……

พรุ่งนี้เยี่ยนจิ่วเฉาจะต้องเข้าท้องพระโรงแต่เช้า อวี๋หวั่นจึงพาเด็กทั้งสามไปส่งที่เรือนของเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องชอบเถี่ยตั้นน้อยเช่นกัน อวี๋หวั่นจึงพาเถี่ยตั้นน้อยไปด้วย

ในเรือนไม่มีเสียงของเด็กดังโหวกเหวก อวี๋หวั่นจึงรีบให้เยี่ยนจิ่วเฉาไปนอน เธอจัดการรายการของขวัญเสร็จ ก็ดับตะเกียงและเข้านอนเช่นกัน

ก่อนข่มตาลงนอน เธอรู้สึกเสียใจที่เข้าใจขุนนางในต้าโจวผิดไป ที่จริงทุกคนล้วนน่าคบหา ทั้งยังชอบเยี่ยนจิ่วเฉากับเธอด้วย! หลังจากที่เธอคลอดลูกเรียบร้อย เธอจะหาวิธีไปขอบคุณพวกเขา อย่างเช่นทำขนมไปให้พวกเขากินอีก

บรรดาขุนนางซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทราต่างรู้สึกเสียวสันหลังวาบพร้อมกัน โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…

ณ จวนจิ้งอ๋อง ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าจวนรัชทายาท

ป้ายหน้าจวนถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว เดิมทีต้องใช้ลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ ทว่าฮ่องเต้ยังคงประชวรอยู่ไม่ใช่หรือ? ขยับไม้ขยับมือไม่ถนัด จึงใช้ลายมือของขุนนางอาวุโสจากสำนักฮั่นหลินแทน และส่งให้ช่างทำเป็นป้ายออกมา

จะว่างามก็งาม แต่ยังขาดบารมีของโอรสสวรรค์

หานจิ้งซูเองก็ได้รับราชโองการ ทั้งยังได้รับอาภรณ์ตำแหน่งไท่จื่อเฟยและตราประทับทอง ช่วงนี้ฮองเฮานั้นยุ่งอยู่กับการดูแลฮ่องเต้ มิได้เหลียวแลพวกนาง แต่นางรู้ดีว่าเมื่อใดที่ฮองเฮามีโอกาส ย่อมต้องเรียกพวกนางเข้าวังเป็นแน่

แม้ว่าหานจิ้งซูจะเรียกฮองเฮาว่าท่านแม่ แต่ฮองเฉาก็ไม่ใช่มารดาบังเกิดเกล้าของเยี่ยนไหวจิ่ง สวี่เสียนเฟยต่างหากที่เป็นมารดาของเยี่ยนไหวจิ่ง ฮองเฮาและสวี่เสี่ยนเฟยไม่ลงรอยกันเหมือนน้ำกับไฟ ทำให้หานจิ้งซูไม่อาจเข้าใกล้ฮองเฮาไปด้วย

ในตอนนี้ นางกลับรู้สึกอิจฉาอวี๋หวั่นขึ้นมา

อวี๋หวั่นเข้าใกล้ผู้ใดดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แม้จะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับสวี่เสียนเฟย ก็ไม่ทำให้ผู้ใดหวาดกลัวหรือสงสัย ทุกคนมักคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาทำสิ่งใดตามใจไร้สาระ แต่อวี๋หวั่นก็พยายามเต็มที่เพื่อสร้างเครือข่ายให้เขา

“ไท่จื่อเฟย กำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” ลวี่เอ้อกระซิบถาม

“ไม่มีอะไร” หานจิ้งซูพยักหน้า

“กังวลเรื่องขององค์รัชทายาทอยู่หรือเจ้าคะ” ลวี่เอ้อถาม

“หืม?” หานจิ้งซูชะงักไป

ลวี่เอ้อพูดว่า “ฝ่าบาทพระราชทานตำแหน่งรัชทายาทให้ แต่กลับยึดอำนาจในการบริหารแผ่นดินเอาไว้ และแต่งตั้งโอรสของเยี่ยนอ๋องให้เป็นผู้สำเร็จราชการซึ่งอยู่เหนือองค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ไม่มากไปหน่อยหรือเจ้าคะ?”

หานจิ้งซูไม่ได้ตักเตือนที่นางวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ลับหลัง ลวี่เอ้อเป็นคนที่หานจิ้งซูพามาจากจวน นางพูดความในใจออกมาก็เพราะนางภักดี

หานจิ้งซูส่ายหน้า “ฝ่าบาททำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว เยี่ยนอ๋องมีพรสวรรค์ในการบริหารกิจการแผ่นดิน ฮ่องเต้ทรงล้มป่วยมานาน ไม่หายสักที ทำให้ราษฎรเสียขวัญกำลังใจ ผู้กล้าขลาดกลัว ในสภาวะเช่นนี้จำต้องมีคนอย่างเยี่ยนอ๋องมาจัดการ”

“เช่นนั้นทำไมไม่มอบตำแหน่งให้เยี่ยนอ๋องไปเลยเล่าเจ้าคะ”  ลวี่เอ้อไม่เข้าใจ

 หานจิ้งซูหัวเราะร่วน “หลังจากที่เยี่ยนอ๋องกลับเมืองหลวงมาก็ไม่ยอมไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าเยี่ยนอ๋องจะ

ยินดีรับตำแหน่งไหมเล่า?”

ความลับของเยี่ยนอ๋องและฝ่าบาทนั้น หานจิ้งซูเคยได้ยินมาบ้าง แต่นางก็ยังไม่ปักใจเชื่อ ทว่าหลังจากที่เยี่ยนอ๋องกลับมายังเมืองหลวง นางก็เริ่มนึกถึงข่าวลือนั้นขึ้นมา

ฝ่าบาททรงรู้สึกติดค้างเยี่ยนอ๋อง เพราะฉะนั้นจึงมีท่าทีโอนอ่อนต่อจวนเยี่ยนอ๋อง และนั่นทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดเยี่ยนจิ่วเฉาจึงได้รับความเอ็นดูเช่นนี้

แต่หากจะบอกว่าฝ่าบาทคิดจะฝากชีวิตความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฎร์ไว้ในมือของเยี่ยนอ๋อง หานจิ้งซูคิดว่าคงไม่ใช่ ในเมื่อพระองค์พระราชทานตำแหน่งรัชทายาทให้เขาแล้ว ก็หมายความว่าในใจของพระองค์ยินดีให้โอรสของตนสืบทอดบัลลังก์

เพียงแต่ในตอนนี้ มีคลื่นใต้น้ำหลายลูกกำลังเคลื่อนไหวท่ามกลางผิวน้ำอันสงบนิ่ง เยี่ยนไหวจิ่งรับมือไม่ไหว จำต้องให้เยี่ยนอ๋องเข้ามาขจัดเสี้ยนหนามและอุปสรรคเสียก่อน จึงจะให้เยี่ยนไหวจิ่งเถลิงบนบัลลังก์ได้อย่างแท้จริง

               หานจิ้งซูถอนหายใจ “ข้าเข้าใจความลำบากใจของฝ่าบาท และหวังว่ารัชทายาทจะเข้าใจเช่นกัน”

ลวี่เอ้อไม่ตอบ

“มีอะไรหรือ” หานจิ้งซูถาม

“บ่าวคิดว่า ตั้งแต่ที่ผู้หญิงคนนั้นกลับมาถึงเมืองหลวง องค์รัชทายาทก็เปลี่ยนไป…ไม่เหมือนเขาเลยเจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อบ่น

ในฐานะที่เป็นสาวใช้คนสนิทของหานจิ้งซู ลวี่เอ้อมีหรือจะไม่กระจ่างเรื่องของเยี่ยนไหวจิ่ง? แต่งงานกับคุณหนู

บ้านตนแล้ว แต่ยังไปพัวพันกับภรรยาของเยี่ยนจิ่วเฉา ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรเทียบกับคุณหนูบ้านนางได้?

แม้ว่าทุกวันนี้นางจะมีชาติกำเนิดที่ดี แต่อย่างไรเสียก็เติบโตในชนบท ไม่มีทางเทียบเทียมคุณหนูบ้านนางได้แน่นอน!

หานจิ้งซูมิได้มีเจตนาร้ายต่ออวี๋หวั่น จริงอยู่ว่าลึกๆ ในใจของนางรู้สึกอิจฉาอวี๋หวั่น แต่ว่านางก็ตระหนักที่ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาของนาง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอวี๋หวั่นแม้แต่น้อย อวี๋หวั่นเองก็ไม่เคยสนใจเยี่ยนไหวจิ่ง และไม่เคยคิดทำลายความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของทั้งสอง ยิ่งไปกว่านั้น อวี๋หวั่นก็เคยเตือนนางเรื่องพฤติกรรมของเยี่ยนไหวจิ่งด้วย

ทุกสิ่งล้วนเป็นการตัดสินใจของนาง

แน่นอนว่านางไม่ได้เสียใจ

นางรักบุรุษผู้นี้ เพราะฉะนั้นต่อให้ต้องตายตามเขาไป นางก็จะทำโดยไม่ลังเล!

“รัชทายาทเล่า?” หานจิ้งซูไม่อยากสนทนาหัวข้อนี้ต่อ

ลวี่เอ้อตอบว่า “คล้ายจะอยู่ในเรือนนะเจ้าคะ”

และแล้วนางก็กระซิบว่า “ปกติแล้วจะมาที่ห้องท่านทุกสามสี่วัน ครั้งนี้…สิบกว่าวันแล้วนะเจ้าคะ!”

“น้ำแกงที่ข้าสั่งให้ห้องครัวตุ๋น ตุ๋นเสร็จหรือยัง?” หานจิ้งซูถาม

“ตุ๋นเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ลวี่เอ้อตอบ “บ่าวจะไปยกมานะเจ้าคะ!”

ลวี่เอ้อให้คนยกน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมมา หานจิ้งซูลุกขึ้นยืน หมายจะยกน้ำแกงไปให้เยี่ยนไหวจิ่ง ลวี่เอ้อเอ่ยขึ้นว่า “ร่างกายท่านเคลื่อนไหวไม่สะดวก บ่าวยกไปเองดีกว่าเจ้าค่ะ”

หานจิ้งซูลูบหน้าท้องแบนราบของตน หลุบตาลงแล้วตอบว่า “ไม่ต้อง ข้าจะยกไปเอง”

…………………..