ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 205 ไปสุสานทางใต้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

รั้วไผ่ถูกดันล้ม ลมรัตติกาลพัดเข้าออกได้สมใจ อุณหภูมิรอบกระท่อมต่ำกว่าเดิมเล็กน้อย เทียบกับแสงดาวที่กระจัดกระจายตกทอดอยู่กลางลานสวน ตะเกียงในกระท่อมดูเหมือนจะมืดกว่า มองบุรุษวัยกลางที่นั่งอยู่บนก้อนหิน คิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

สวินเหมยในปีนั้นเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง ปัจจุบันชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูสามสิบกว่าปี ผลการบำเพ็ญเพียรในตัวไม่รู้ว่าเพิ่มขึ้นถึงระดับไหน แน่นอนเขารู้ว่าชายหนุ่มสองสามคนนี้อยู่ด้านหลังเขา พลันเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ไม่กล้า และก็ไม่มีอะไรควรเกรงใจ เพียงแต่ตอนนี้ข้ารู้ว่ายังสู้เขาไม่ได้ ฉะนั้นออกไปแล้วจะมีความหมายอะไร?”

เจ๋อซิ่วตั้งแต่เด็กถูกไล่ออกจากเผ่า จึงโตมาท่ามกลางการต่อสู้ แม้จะทราบว่าชายวัยกลางผู้นี้มีขั้นความสามารถที่สูงมาก ยังคงรับท่าทีเช่นนี้ไม่ได้ จึงพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ไม่ได้ต่อสู้กัน จะรู้ได้อย่างไรว่าเทียบฝ่ายตรงข้ามไม่ได้? จับตัวเองขังไว้ในสุสานเทียนซู เช่นนี้มันมีความหมายอะไรด้วยหรือ?”

เสียงของสวินเหมยมีความเงียบเหงานิดหนึ่ง “ข้าอยู่ในสุสานเทียนซูสามสิบเจ็ดปีแล้ว ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก สละหนังสือภาพวาดที่สมัยยังเยาว์รักมากที่สุด กินข้าวขอเพียงอิ่มท้อง นอนหลับขอเพียงอบอุ่น เอาเวลาทั้งหมดไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุ บำเพ็ญเพียรทำสมาธิ แต่ข้ายังคงไม่มีปัญญาไปไล่ตามเขา ข้าก็อยากรู้มากเช่นกัน ความหมายในการมีชีวิตอยู่นั้น จริงๆ แล้วคืออะไร”

“เจ้ารู้ระดับขั้นตอนนี้ของหวังผ้อหรือ?” ถังซานสือลิ่วคาดไม่ถึงเล็กน้อย พูดว่า “ข้ายังนึกว่าเร้นกายหลังเขาไม่รู้กาล เจ้าจะต้องถามพวกข้า”

“ทุกปีหลังการสอบใหญ่ จะมีคนใหม่เข้าสุสานเทียนซู ผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ศิษย์พี่จะให้คนมาดูข้า ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องความเป็นไปของโลกภายนอกเท่าไร ไม่สนใจว่าใครได้เป็นกษัตริย์ แต่ข้ากลับอยากรู้สถานการณ์ของหวังผ้อ ฉะนั้นข้ารู้สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ สถานการณ์ในทุกๆ ปี”

สวินเหมยยืนขึ้นมา มองไปยังแสงรัตติกาลและแสงไฟของจิงตูที่อยู่นอกสุสานเทียนซู กล่าว “ปีที่ข้าเข้าสุสานเทียนซู เขาเป็นอันดับหนึ่งบนประกาศชิงอวิ๋น จากนั้นข้ารู้ว่าเขาเข้าประกาศเตี่ยนจิน ได้ลำดับสอง จากนั้นเขาเข้าประกาศเซียวเหยา อยู่หน้าลำดับของเซียวจางอีกครั้ง ข้าคิดว่า ณ เวลานั้น เขาน่าจะดีใจมาก”

หวังผ้อแห่งเทียนเหลียง ฮว่าเจี่ยเซียวจาง นั่นเป็นคนดังในยุคก่อนเฉินฉางเซิงมาก สถานะเหมือนดั่งเช่นชิวซานจวินในเวลานี้ เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่แท้จริงของต้าลู่ สวินเหมยจริงๆ น่าจะมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนพวกเขา กลับเป็นเพราะชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู ไม่เคยออกไป ฉะนั้นจึงถูกต้าลู่ค่อยๆ หลงลืม อย่างน้อยคนอย่างเฉินฉางเซิงก็ไม่รู้

“ถ้าไม่ใช่เจ้าอยู่ในสุสานเทียนซูมาตลอด บนประกาศเซียวเหยามีชื่อเจ้าแน่ๆ อีกทั้งยังมีโอกาสได้ลำดับก่อนห้า” ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูด

สวินเหมยพลิกกายกลับ มองชายหนุ่มทั้งสามคนแล้วพูด “ก่อนห้า…จริงๆ ก็ดูดีมากแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ที่หนึ่งอยู่ดี อย่างไรก็ต้องอยู่หลังเขามิใช่หรือ?”

ถังซานสือลิ่วรู้สึกไม่เข้าใจความคิดชนิดนี้เล็กน้อย พลันกล่าว “แล้วต้องอยู่ในสุสานเทียนซูต่อ ถูกคนบนโลกหลงลืม เจ้าถึงจะสงบได้จริงๆ หรือ?”

“สุสานเทียนซูเป็นความเป็นไปได้ เป็นความเป็นไปได้ทางเดียวที่ข้าจะสามารถแซงหวังผ้อ”

ความเย็นชาช่วงหว่างคิ้วของสวินเหมยยิ่งมายิ่งเข้มข้น ทว่ากลับไม่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว เพียงแต่แสดงถึงความแน่วแน่มากขึ้น “เพียงแค่ข้าอยู่ในสุสานเทียนซู ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุต่อไป สักวัน ข้าสามารถขึ้นสู่ยอดสุสานเทียนซูได้สำเร็จ บรรลุความหมายที่แท้จริงของกฎธรรมชาติ ถึงวันนั้น หวังผ้อจะเป็นคู่ต่อสู้ข้าได้อย่างไร?”

ลานสวนเงียบสงบทั่วบริเวณ ไม่รู้ว่ามีสัตว์เล็กตัวอะไรมุดตัวออกไปจากรั้วไผ่ที่ล้มลง เกิดเสียงซ่าๆ ขึ้น เหมือนกับแสดงออกถึงการคัดค้านคำพูดนี้

“ผู้อาวุโส สามสิบปีนี้ท่านชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ไปกี่แผ่น?” เฉินฉางเซิงจู่ๆ ถามขึ้นมา

ได้ยินคำถามนี้ สวินเหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้มหัวคิดแล้วคิดอีกอย่างตั้งใจ จากนั้นพูดว่า “ปีแรกๆ นั้น ข้าใช้เวลาสามเดือนก็ดูรู้เรื่องไปสิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์ ฤดูร้อนในปีนั้นมีครั้งหนึ่งฝนตกหนักมาก จากตอนนั้นความเร็วก็ลดลงมา พอถึงฤดูหนาว ก็ดูอีกห้าหกแผ่น”

สามสิบเจ็ดปีในสุสานเทียนซู วันเวลานี้มันยาวนานยิ่งนัก ทำให้รายละเอียดของเวลาในช่วงแรกๆ เขาลืมไปเยอะมากแล้ว ต้องใช้ความตั้งใจอย่างมากในการคิดถึงจะนึกออก เขานึกถึงหิมะและสายฝนในกาลก่อนอย่างตั้งใจ พูดว่า “ปีที่สองเหมือนกับชมไปสี่แผ่นป้ายอนุสรณ์ ปีที่สามน่าจะสามแผ่น? เริ่มจำไม่ค่อยได้แล้ว”

เขาส่ายหัวไปมา มองไปยังเฉินฉางเซิงพลางกล่าว “จำจำนวนทั้งหมดไม่ได้จริงๆ”

“แต่เห็นได้ชัด ความเร็วของท่านผู้อาวุโสยิ่งมายิ่งช้า” เฉินฉางเซิงลังเลสักพักแล้วพูดว่า “ขออภัยที่ข้าไร้มารยาท ท่านอาจจำไม่ได้ว่าสามสิบเจ็ดปีนี้ชมไปทั้งหมดกี่แผ่นป้ายอนุสรณ์ แต่ท่านน่าจะจำได้ว่า เป็นเวลากี่ปีแล้วที่ไม่สามารถอ่านเข้าใจตัวหนังสือบนแผ่นป้ายอีก”

ตัวสวินเหมยสั่นเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้น เสื้อเก่าที่เต็มไปด้วยคราบมันพัดปลิวเบาๆ ตามลมราตรี

“เพียงแค่ใช้เวลาสามเดือน ก็สามารถอ่านตัวหนังสือบนแผ่นป้ายอนุสรณ์สิบเจ็ดแผ่นออก พรสวรรค์ในการบรรลุเช่นนี้ น่าเคารพอย่างยิ่ง ร้ายกาจอย่างมาก เชื่อว่าถ้ากระท่อมหินหลังนั้นไม่ถูกทำลายโดยฝ่าบาทไท่จง พวกข้าน่าจะเห็นชื่อของท่านอาวุโสอยู่บนนั้น ทว่า…”

ถังซานสือลิ่วส่ายศีรษะพูดว่า “จากพรสวรรค์ในการบรรลุอย่างท่านแล้ว ยังเดินถึงจุดจุดนี้ได้ เพราะเหตุใดยังอยากทรมานที่นี่ต่อ? ข้าจำได้อย่างชัดเจน ในปีนั้นหวังผ้อชมเพียงหนึ่งปี ดูไปสามสิบเอ็ดแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ก็จากไป”

ตาของสวินเหมยจู่ๆ ก็สว่างขึ้น เหมือนกับเด็กเล็กที่ใจร้อนกับการแสดงออก พูดอย่างต่อเนื่องว่า “แม้ว่าข้าจะจำไม่ได้ว่าทั้งหมดอ่านไปกี่แผ่นป้ายอนุสรณ์ แต่ข้ามั่นใจ ต้องมากกว่าสามสิบเอ็ดแผ่นแน่นอน! ข้าชมแผ่นป้ายหินอนุสรณ์มากกว่าเขา!”

“แล้วอย่างไรเล่า?”

ถังซานสือลิ่วเคยเป็นศิษย์ของสำนักเทียนเต้า มองดูชายวัยกลางผู้ยากไร้ จิตใต้สำนึกอยากจะช่วยฝ่ายตรงข้าม ได้ยินคำพูดนี้แล้วเสียความรู้สึกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม ถอนหายใจพูดว่า “ตามพรสวรรค์ในการบรรลุของหวังผ้อแล้ว ถ้าเขาอยู่ในสุสานเทียนซูต่ออีกสักสองสามปี แน่นอนว่าต้องสามารถชมแผ่นป้ายอนุสรณ์มากขึ้น แต่เพราะเหตุใดเขาถึงจากไปอย่างแน่วแน่? เพราะเขารู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน อยู่ในนี้ต่อ แม้จะสามารถชมเพิ่มอีกสักหลายแผ่นป้ายอนุสรณ์ แต่เทียบไม่ติดกับวันเวลาที่ถูกผลาญไปในสุสานเทียนซู นั่นเป็นการสิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง”

สวินเหมยได้ยินคำพูดนี้พลันขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่แล้วกลับสังเกตเห็นว่าตัวเองไม่ทราบจะโต้ตอบอย่างไร ชะงักอย่างควบคุมไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง ลานสวนหน้ากระท่อมเงียบสงัดอย่างยิ่งอีกครั้ง

“เจ้าหมายถึง…การที่ข้าอยู่ในสุสานเทียนซูในปีเหล่านี้ล้วนเป็นการสิ้นเปลืองชีวิตอย่างนั้นหรือ?”

เขาส่ายหัวไปมา พูดด้วยเสียงสั่นว่า “ไม่! พรสวรรค์และความสามารถในการบรรลุเขาล้วนชนะข้า นอกจากสุสานเทียนซู ยังมีอะไรอีกที่จะสามารถทำให้ข้าชนะเขาได้? ใช่ ตอนนี้เขายังคงนำหน้าข้า แต่ถ้าข้าอยู่ในสุสานเทียนซูยังไม่สามารถที่จะเอาชนะเขาที่อยู่นอกสุสานได้ ข้าออกจากสุสานเทียนซูยังมีความคาดหวังอะไร?”

“แผ่นป้ายหินอนุสรณ์สามารถช่วยพวกเราบำเพ็ญ แต่อยู่นอกสุสานเทียนซูยังมีเรื่องอีกมากมายที่ช่วยพวกเราบำเพ็ญได้ มิฉะนั้นทำไมหวังผ้อถึงได้แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้?”

เจ๋อซิ่วผู้ที่ไม่ค่อยได้อ้าปากพูดอะไรจู่ๆ ก็เปิดปากพูดออกมา

สวินเหมยขมวดคิ้วแน่น พูดว่า “นอกสุสานเทียนซูยังมีอะไรที่ช่วยพวกเราบำเพ็ญได้มากยิ่งกว่าแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่อุดมไปด้วยความหมายอันประเสริฐเหล่านี้อีก”

“มีมากมาย”

เจ๋อซิ่วพูดด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจว่า “ต่อสู้ ลมฝน ฟ้าดินแห่งตน อีกทั้งยากจนลำบาก และที่สำคัญที่สุดคือ นอกสุสานเทียนซูมีเกิดมีตาย”

สวินเหมยอ้าปากนิดๆ กลับไร้วาจาเอื้อนเอ่ยอยู่เนิ่นนาน

มองดูภาพนี้ ในใจเฉินฉางเซิงทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นๆ อยู่ว่าเจ๋อซิ่วยังเป็นชายหนุ่ม ระดับขั้นความสามารถยิ่งห่างจากสวินเหมยเป็นอันมาก ตอนนี้กลับพูดกับสวินเหมยเหมือนอาจารย์สอนเด็กน้อย…เจ้าหมาป่าที่โตด้วยความลำบากบนที่ราบหิมะเมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญที่อยู่ในสุสานเทียนซูสามสิบเจ็ดปีแล้ว มีความเป็นจริงในการมองโลกนี้มากกว่า และยิ่งแม่นยำกว่า

“แต่…นี่มันตั้งสามสิบเจ็ดปี…”

สวินเหมยหันตัวกลับไปมองสุสานเทียนซูที่อยู่ในม่านรัตติกาล สีหน้าอ้างว้างเล็กน้อย พูดกับตัวเองว่า “ข้างบนนั้นยังมีแผ่นป้ายอนุสรณ์อีกมากที่ข้าอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าอ่านอย่างไร ข้าอยากรู้จริงๆ ถ้าข้าสามารถก้าวขึ้นถึงยอดสุสาน อ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นจนเข้าใจ ได้ครอบครองความหมายที่แท้จริงของกฎธรรมชาติ ก็จะมั่นใจว่าสามารถเอาชนะหวังผ้อ อยากให้ข้าจากไปเช่นนี้ ข้าจะยอมได้อย่างไร?”

จบประโยค เขาฝืนยิ้มส่ายหัวไปมา เดินออกไปยังลานสวน

แสงดวงดาวตกทอดกลางลานสวน ตกทอดบนผมเขาเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเส้นแสงหรือไม่ เฉินฉางเซิงเหมือนรู้สึกว่าเห็นผมขาวสองสามกระจุกอยู่เสมอ ในเวลาหนึ่ง ลมราตรีกาลคล้ายเย็นลงไปส่วนหนึ่ง

“เขาจะไปไหน?”

มองดูหลังของสวินเหมยที่แห้งเหี่ยวเล็กน้อย ดูเหมือนก้าวเท้าไม่หนักแน่น เฉินฉางเซิงกังวลนิดๆ ว่าจิตใจของเขาโดนกระทบกระทั่งมากเกินไปหรือไม่

ถังซานสือลิ่วสงสารเล็กน้อย กล่าว “น่าจะไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่สุสานเทียนซู…สามสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา บางทีทุกคืนของเขาอาจจะผ่านพ้นไปเช่นนี้”

แสงดาวสว่างสดใส เอามาใช้เขียนหนังสืออาจจะลำบากสักหน่อย แต่ถ้าเอาไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ยังพอใช้ได้ และในสุสานเทียนซูเหมือนกับมีแสงไฟ แสดงว่าน่าจะมีผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์จำนวนมากกำลังก้มหน้าก้มตาเล่าเรียนศึกษาอยู่เช่นกัน

“เขาไม่ได้ไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์”

สีหน้าของเจ๋อซิ่วจู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มองดูสวินเหมยที่ใกล้จะหายลับเข้าไปในป่ายามราตรี พูดว่า “เส้นทางที่ไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์นั้นอยู่ทางสุสานเหนือ เขากำลังไปทางใต้”

ถังซานสือลิ่วตะลึงแล้วตะลึงอีก พูดว่า “โมโหจนเลอะเลือนกระทั่งเดินผิดทางไปแล้วหรือ?”

เฉินฉางเซิงรู้สึกสำนึกเสียใจเล็กน้อย กล่าว “ตัวท่านผู้อาวุโสอยู่ในสุสาน อาจไม่ชัดเจนเล็กน้อย แต่สถานการณ์ไม่เหมือนกัน พวกเราคิดว่าเป็นเหตุผลที่ถูกต้อง สำหรับเขาแล้วอาจไม่มีเหตุผลก็ได้ อย่างไรพวกเราก็เป็นคนรุ่นหลัง คำพูดที่พูดไปก่อนหน้าเหล่านั้นมันใช่เกินไปหน่อยหรือไม่?”

“ผิดก็คือผิด สิ้นเปลืองชีวิตก็คือสิ้นเปลืองชีวิต เกี่ยวข้องอะไรกับรุ่นก่อนรุ่นหลัง” เจ๋อซิ่วพูดด้วยไร้สีหน้า

“อืม…ข้าอยากตามไปดู หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไร”

เฉินฉางเซิงเดินไปยังนอกรั้วไผ่ ถังซานสือลิ่วก็ตามไปด้วยเช่นกัน เจ๋อซิ่วมองรั้วไผ่ที่ล้มอยู่กับพื้นเหม่อลอยไปสักพัก ก็ออกไปจากกระท่อมเช่นกัน

กระท่อมหลังนี้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสุสานเทียนซู ผ่านป่าไปแล้วเดินไปทางใต้อีกไม่ไกล ก็สามารถได้ยินเสียงคำรามของน้ำตกนับสิบสายนั้นที่อยู่สุสานใต้

ในแสงรัตติกาล คล้ายสามารถเห็นเงาหลังของสวินเหมย ชายหนุ่มสามคนเดินตามหลัง เดินผ่านละอองน้ำที่เหมือนฝนฤดูใบไม้ผลิ แล้วก็มาถึงหน้าที่ราบหินอันเต็มไปด้วยคลองตื้น

แสงดวงดาวตกทอดลงบนที่ราบหิน น้ำใสในคลองกระฉอกเบาๆ เป็นภาพที่งดงามยิ่ง

สวินเหมยย่ำผ่านเหล่าคลองตื้น หนึ่งย่ำน้ำกระเซ็น ทำเสื้อผ้าอาภรณ์เปียกไปหมด กลับมิได้แยแสโดยสิ้นเชิง แสดงความตะลึงพรึงเพริดออกมาให้เห็นเล็กน้อย

เขามาถึงหน้าถนนเสิน แหงนศีรษะมองไปยังยอดสุสานเทียนซู สีหน้าอ้างว้างเล็กน้อย

สามสิบเจ็ดปี วันเวลาเช้าค่ำจำนวนนับไม่ถ้วน เขาคิดเพียงแต่จะไปที่นั่น แต่เสียดายที่ตั้งแต่แรกจนจบกลับไปไม่ถึง

แม้ว่าถนนเสินเส้นนี้ไปตรงถึงยอดสุสานเทียนซู เขากลับไม่มีปัญญาเดินขึ้นไป

เป็นเพราะคนผู้นั้นที่สวมเกราะทั้งตัวนั่งสงบอยู่ในศาลาหน้าถนนเสิน