ตอนที่ 389

The Divine Nine Dragon Cauldron

ดวงตาของวิหคทองคำเปล่งประกาย มันมองกองทัพสองหมื่นคนเบื้องล่าง กองทัพนั้นไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ามดปลวกในสายตามันเลย

 

“นายท่านติดภารกิจ”

 

วิหคทองคำพูดในภาษามนุษย์

 

“ดังนั้นพวกเจ้าต้องฟังคำชี้แนะจากนายน้อย”

 

พรึ่บ–

 

ก้อนเมฆาจากขอบนภากับเหล่านักรบพุ่งเข้ามา ชายหนุ่มหนึ่งคนพกกระบี่ กระบี่สีโลหิตของเขาปล่อยพลังโลหิตอันน่าตกใจออกมา เขาดูมีพลังและหยาบคาย แม้เขาจะมีฐานพลังแค่อำมฤตระดับสาม ชายแก่ในชุดสีมรกตที่ตามเขามาก็มีพลังที่อำมฤตระดับสี่ขั้นสูง

 

“เจ้าเองเรอะ!”

 

เจ้าเมืองอันยี่อ้าปากค้าง เขาทั้งชิงชังและโกรธแค้น

 

นี่มิใช่วิหคทองคำที่ทำลายเมืองอันยี่หรอกรึ? และมิใช่ชายหนุ่มที่พกกระบี่โลหิตจากตระกูลอู๋ผู้นี้หรอกรึที่มากับวิหคทองคำ?

 

มีกำลังมนุษย์มากมายในป่าทมิฬ และยังมีตระกูลอู๋ที่ลึกลับที่สุด

 

อู๋เหยายี่ยิ้มเยาะ

 

“ฮ่าๆๆ! เจ้าเมืองอันยี่ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะยังอยู่รอดดีอยู่หลังจากตอนนั้น! ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนของบรรพบุรุษข้าเหมือนกัน ถ้าข้ารู้ข้าก็คงเหลือเมืองอันยี่ไว้ให้เจ้า”

 

ตระกูลอู๋ฆ่าล้างตระกูลตู่และประกาศว่าตระกูลอู๋จะกลับมาบนโลก! นั่นเป็นความตั้งใจสั่นคลอนทวีป แต่นั่นเป็นเพียงการลงมือครั้งแรก ที่ตระกูลอู๋อยากจะทำจริงๆก็คือ….

 

เจ้าเมืองอันยี่ไม่มีทางเลือกนอกจากข่มใจเอาไว้ ฮั่นเจียงหลินเงียบด้วยความกลัว หากมีจักรพรรดิสัตว์อสูรอยู่ด้วยก็ไม่มีใครกล้าขัดขืน

 

อู๋เหยายี่ก้มลงมองเบื้องล่าง เขามองผ่านคณะวิหคเพลิงที่ถูกทำลาย กองกำลังสองหมื่นนาย และดินแดนของทวีป

 

“ฮ่าๆๆ…โลกนี้เป็นของตระกูลข้า!”

 

อู๋เหยายี่เป็นสุขอยู่ท่ามกลางเมฆา

 

“หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี ตระกูลข้าจะกลับมาในทวีปและปกครองโลกใบนี้!”

 

เขาพูดจบและก้มหน้าหัวเราะ

 

“ข้ามาก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพันธมิตรอุดรทวีปถูกก่อตั้งขึ้นแล้ว! บรรพบุรุษของข้าจะเป็นเจ้าพันธมิตร ส่วนพวกเจ้าทั้งหมดจะเป็นคนของพวกเขา!”

 

คนทั้งหมื่นคนหวาดกลัว

 

ตระกูลอู๋ อู๋เหยายี่ และบรรพบุรุษ พวกเขาเป็นใครกัน? พวกเขามั่นใจที่จะปกครองทวีปและหมายตาโลกใบนี้น่ะรึ?

 

และความหมายของ “ตระกูลที่กลับมา” คืออะไรกัน หรือว่าตระกูลอู๋เคยมีชื่อเสียงในทวีปแห่งนี้?

 

อู๋เหยายี่เงยหน้าและถอนหายใจอยู่นาน

 

“และในครั้งนี้ ข้าก็จะประกาศอีกครั้ง! นามของตระกูลข้าจะกลับมาอย่างสมบูรณ์! พวกข้าใช้นามตระกูล “อู๋” มานานเกินไปแล้ว นี่เป็นเวลาที่พวกข้าจะใช้ชื่อตระกูลเดิมและแสดงตัวกับทวีป!”

 

ตระกูลเดิมรึ? พวกเขาไม่ใช่ตระกูลอู๋หรอกรึ?

 

“ข้า ยี่เหยา ลูกหลานตระกูลยี่แห่งแปดตระกูลโบราณ ข้ามาที่นี่เพื่ออวยพรแก่บรรพบุรุษของข้า ตระกูลยี่กลับมาแล้ว!”

 

อะไรกัน? ตระกูลอู๋ถูกตระกูลยี่กำจัดไปแล้วรึ?

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อราชาแห่งความมืดหยุดปิดประตูฝึกตน เขาได้ทำลายโลกและกำจัดตระกูลยี่แล้วยังกักขังตระกูลตู่ไว้ในเมืองอันยี่ แม้ว่าจะมีเรื่องราวมากมายในหลายร้อยปีที่ผ่านมา ในตอนนี้เหล่ายอดฝีมือในทวีปก็ยังจำเหตุการณ์อันน่าตกใจนั้นได้

 

ตระกูลยี่ที่ถูกกำจัดได้ปรากฏตัวอีกครั้ง! และเมื่อพวกเขาปรากฏตัวก็ทำการควบคุมพันธมิตรอุดรทวีปและหมายตาโลกทั้งใบ!

 

อู๋เหยายี่คือยี่เหยา! ตระกูลอู๋คือตระกูลยี่! ตระกูลโบราณที่ถูกกวาดล้างไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน! พวกเขาเร้นกายอยู่ในส่วนลึกของป่าทมิฬและปกปิดตัวตน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตอย่างสันโดษและเพิ่มกำลังอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้พวกเขาปรากฏตัวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย!

 

“มีใครไม่พอใจหรือไม่?”

 

อู๋เหยายี่ราวกับราชาที่ปกครองโลก

 

ทุกคนขนลุก ใครกันจะกล้าต่อกรกับเขา?

 

ฮั่นเจียงหลินกับเจ้าเมืองอันยี่ก็ไม่ต่างกัน ทั้งสองมองหน้ากันและคุกเข่าลงกับพื้น

 

“ยินดีด้วยที่ตระกูลยี่ได้ออกมาปรากฏตัว!”

 

สำหรับฮั่นเจียงหลิน การได้พึ่งพาตระกูลยู่ที่ครอบครองพลังประหลาดนั้นเป็นเรื่องดีที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับ ส่วนเจ้าเมืองอันยี่ แม้ว่าเขาไม่เต็มใจที่จะก้มหัวให้กับตระกูลอื่นในแปดตระกูล แต่ถ้าเขากล้าเผชิญหน้าในตอนนี้ เขาก็คงจบลงไม่ต่างกับจ้าวหอสดับหิมะ

 

เฟิงเซี่ยนยิ้มอย่างน่าหลงใหล นางหันไปมองอู๋เหยายี่

 

“ท่านยี่เหยา”

 

นางพูดและมองยี่เหยาบ่อยครั้งด้วยสายตาอันน่าหลงใหลที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั้งหมดรวมกันได้อย่างน่าจับตา

 

ยี่เหยาหัวเราะอยู่นานและใช้โอกาสนี้กอดเฟิงเซี่ยน

 

“เฉินคงไปไหนเล่า? เจ้ากับเขาวางแผนปกครองทวีปด้วยกันมิใช่รึ ทำไมเขาไม่อยู่ที่นี่?”

 

เฟิงเซี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย

 

“เขามันก็แค่เศษขยะใช้ไม่ได้ เขาถูกหยินหยูสังหารไปแล้ว”

 

หยินหยูรึ? ยี่เหยาเบิกตากว้าง สีหน้าเขาเย็นชา

 

“มันเองรึ!”

 

เขาผลักเฟิงเซี่ยนออกไป แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร เฟิงเซี่ยนตกใจเพราะนางไม่เข้าใจ นางสีหน้าหม่นหมอง

 

ยี่เหยาเงียบไปนานก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็น

 

“ข้ามีอีกเรื่องที่ต้องประกาศ! ข้าจะแต่งงานในอีกหนึ่งเดือนนับจากนี้ และข้ามาเพื่อเชิญยอดฝีมือบนโลกให้ไปเข้าร่วมงานวิวาห์ของข้า”

 

ผู้อาวุโสข้างหลังหยิบบัตรเชิญและโยนให้กับฮั่นเจียงหลินและเจ้าเมืองอันยี่

 

สุดท้ายยี่เหยาก็หยิบบัตรเชิญออกมาให้กับเฟิงเซี่ยน

 

“เฟิงเอ๋อ เจ้าก็ต้องมาด้วย”

 

เฟิงเซี่ยนตัวแข็งทื่อ นางถือบัตรเชิญอย่างไม่พอใจ เป็นผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว! ผู้หญิงที่ยี่เหยาอยากจะแต่งงานโดยชิงตัวมา!

 

ผู้หญิงคนนั้นสวยกว่านางรึ? ตระการตากว่านางรึ? หรือมีพรสวรรค์มากกว่านางรึ?

 

“ขอบคุณท่านยี่เหยา…”

 

“เฟิงเซี่ยนจะต้องไปงานวิวาห์แน่นอน”

 

เฟิงเซี่ยนตอบด้วยเสียงหัวเราะ แต่ส่วนลึกในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความปองร้าย

 

ฮั่นเจียงหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม

 

“ข้าขอถามท่านยี่เหยาจะได้หรือไม่ บรรพบุรุษของนาง…ไม่สิ เจ้าพันธมิตรอยู่ที่ใดกัน?”

 

ยี่เหยาขมวดคิ้ว

 

“เขาล่วงหน้าไปก่อนพวกข้า เขาบอกว่ากำลังไล่ตามคนที่มีพลังขัดบัญชาสวรรค์”

 

******

 

จ้าวเฉินยิ่งเร่งความเร็วในการเดินทาง เขาเดินทางได้ไกลสามพันลี้ในครึ่งเดือน และเขาก็ใกล้กับชายแดนทวีปทางเหนือและตอนกลางอย่างมาก ในทวีปตอนกลางนั้นมีเศษดินแดนที่อาณาจักรทมิฬปกครอง

 

“พวกเราจะหยุดพักที่นี่…”

 

จ้าวเฉินยิ่งเหนื่อยอ่อนอย่างมากเมื่อรีบเดินทางมาตลอดครึ่งเดือน

 

พวกเขาร่อนลงบนศิลาก้อนใหญ่ จ้าวเฉินยิ่งมองทั้งสามคน

 

“แม้จะผ่านมานาน เจ้าก็ยังไม่ตาย ช่างเป็นชะตาที่น่าเศร้านัก”

 

ครึ่งเดือนก่อน ซือหยูควรจะตายอย่างโหดร้ายไปแล้ว แต่เขากลับยังคงมีชีวิตอยู่ได้หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน และเขายังมีพลังชีวิตที่มากกว่าเดิมอีกด้วย อย่างน้อยในตอนนี้ลมหายใจของเขาก็ลื่นไหล เขานับว่ามีสติ

 

แต่หลิงเสี่ยวเทียนกลับเหนื่อยอ่อนลง ในครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาดูแก่ไปกว่าเดิมสิบปี จ้าววิหคเพลิงก็ไม่ต่างกัน ทั้งสามยังคงนิ่งเงียบและเอนกายอยู่กับศิลาก้อนใหญ่

 

จ้าวเฉินยิ่งเงยหน้า เขามองท้องนภากว้างใหญ่

 

“ได้เวลาแล้ว”

 

ไม่มีใครเข้าใจคำพูดของเขา

 

ในตอนนั้น ผู้ติดตามได้หยิบขวดที่มีของเหลวสีเขียวเข้มออกมาและเดินไปทางหลิงเสี่ยวเทียน

 

“เจ้าตำหนักหลิง”

 

ผู้ติดตามพูดอย่างไร้อารมณ์

 

“ท่านจะต้องเหนื่อยแน่หลังจากผ่านมาหลายวัน นี่คือวารีวิญญาณที่จะช่วยฟื้นฟูพลังของท่าน ดื่มเถอะ มันดีกับตัวท่าน ท่านจะได้ป้องกันตัวเองได้เมื่อถึงตำหนักหลัก จะไม่มีใครบังคับให้ท่านสารภาพอะไรได้ทั้งนั้น”

 

หลิงเสี่ยวเทียนรับขวด แต่เขาก็ไม่ดื่มมัน

 

ซือหยูมีสติเล็กน้อย แต่ร่างกายเขาชาราวกับหุ่นเชิด ร่างของเขากำลังตาย บาดแผลของเขารุนแรงเกินไป และมีหลายจุดบนตัวที่เกิดแผลเปิด ในครึ่งเดือนที่ผ่านมา เนื้อหนังของเขาตายไป เขาเริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่า

 

แต่ซือหยูก็ไม่เข้าใจว่าแม้สภาพเขาจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังมีชีวิตอยู่

 

ตอนนั้น ซือหยูมองไปยังขวดวารีวิญญาณ เขาชักสีหน้าทันที เขาดึงเสื้อของหลิงเสี่ยวเทียนอย่างลับๆและพูดเบาๆ

 

“อย่าดื่มมัน”

 

หลิงเสี่ยวเทียนพยักหน้า เขาเงยหน้ามองจ้าวเฉินยิ่ง

 

“ท่านตัดสินใจแล้วรึ? ไม่สิ แผนของท่านสำเร็จแล้วรึ?”

 

จ้าวเฉินยิ่งถอนหายใจแรงโดยหันหลังให้กับหลิงเสี่ยวเทียน

 

“หลิงเสี่ยวเทียน อย่าโทษข้าเลย จ้าวไป่าลั่วขอให้เจ้าภักดีหลายต่อหลายครั้ง แต่เจ้าก็ยอมตายดีกว่าจะก้มหัวให้เขา เจ้าจะโทษใครได้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”

 

หลิงเสี่ยวเทียนยิ้มอย่างเดียวดายและโศกเศร้า

 

“ใช่แล้ว! ข้าหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ ข้าโทษใครไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่เสียใจ หลิงเสี่ยวเทียนผู้นี้ภักดีต่อราชาแห่งความมืดเท่านั้น นี่เป็นการตอบแทนของข้า จ้าวไป่ลั่วก็แค่จ้าวแห่งความมืด เขามีสิทธิ์อะไรมาขอให้ข้ารับใช้เขาแทนรึ? เขาคิดว่าเขาต่อกรกับราชาแห่งความมืดได้รึ?”

 

จ้าวเฉินยิ่งหัวเราะ

 

“ตั้งแต่ที่ราชาแห่งความมืดทำลายโลก ทำให้ผู้คนหวาดกลัว และฟื้นฟูอาณาจักร เขาเร้นกายหลายต่อหลายปีและไม่แสดงตัวแม้แต่น้อย ภารกิจทั้งหมดถูกจัดการโดยจ้าวแห่งความมืด แล้วจะผิดอะไรเล่าที่เจ้าจะเป็นคนของจ้าวไป่ลั่ว?”

 

จ้าวเฉินยิ่งส่ายหน้า

 

“พูดให้ตรงกว่านี้ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าราชาแห่งความมืดเป็นตายร้ายดียังไง ตลอดหลายร้อยปีที่พ้นผ่าน ในจ้าวแห่งความมืดทั้งเจ็ดคน มีแค่จ้าวยี่หยูที่ได้พบเขาต่อหน้า นอกนั้นก็ไม่มีใครพิสูจน์ว่าราชาแห่งความมืดยังไม่ตาย!”

 

สายตาของหลิงเสี่ยวเทียนดุร้ายในทันที

 

“ไร้สาระ! ราชาแห่งความมืดเป็นยอดฝีมือมหัศจรรย์ แม้จะผ่านไปพันปีเขาก็จะไม่ตาย หลายร้อยปีจะมีผลอะไรกับเขากัน?”

 

หลิงเสี่ยวเทียนนั้นนับถือราชาแห่งความมืดอย่างมาก

 

แต่จ้าวเฉินยิ่งก็หัวเราะและส่ายหน้า

 

“เจ้าจะเชื่อมั่นในสิ่งใดก็แล้วแต่เจ้า แต่พวกเราไม่ใช่คนเดียวที่สงสัย จ้าวแห่งความมืดคนอื่นก็สงสัยว่าจ้าวยี่หยูเป็นเบี้ยที่ถูกควบคุมโดยขุมกำลังอื่นที่คิดจะควบคุมอาณาจักรทมิฬผ่านนางโดยให้นางอ้างว่าเป็นราชาแห่งความมืดตัวปลอม!”

 

หลิงเสี่ยวเทียนไร้คำพูดในเรื่องนี้ ราชาแห่งความมืดไม่ออกจากการบ่มเพาะพลังมาหลายร้อยปี และไม่มีใครรู้ความเป็นตายของเขา มันยังมีโอกาสที่จะมีคนแสร้งออกคำสั่งปลอมจากเขา

 

ส่วนจ้าวยี่หยูนั้นเป็นสตรีลึกลับ นางพุ่งทะยานขึ้นมาเป็นจ้าวแห่งความมืดคนใหม่ และราชาแห่งความมืดยังนับถือนางอย่างมาก นางเป็นแค่คนเดียวที่เข้าออกจากที่บ่มเพาะพลังของราชาแห่งความมืดได้ตามใจคิด ดังนั้นจ้าวแห่งความมืดที่เหลือหกคนจึงสงสัยในตัวนาง

 

ส่วนจ้าวไป่ลั่วนั้นคิดจะยืนขึ้นด้วยตัวเอง เขาใช้อำนาจของอาณาจักรทมิฬในการสอดส่องจ้าวยี่หยู เมื่อเขายืนยันได้ว่านางส่งคำสั่งปลอม เขาจะตั้งตัวเองเป็นราชาแห่งความมืดและปกครองอาณาจักร

 

ในตอนนี้ ภาระมากกว่าครึ่งของอาณาจักรล้วนอยู่ในการดูแลของจ้าวไป่ลั่ว รวมถึงการสั่งให้จ้าวเฉินยิ่งลงมือพาตัวหลิงเสี่ยวเทียนกลับไปด้วย

 

แต่ไม่สิ แผนของเขาคือการลอบสังหารหลิงเสี่ยวเทียนในระหว่างทางกลับ

 

“จ้าวไป่ลั่วให้โอกาสให้เจ้าได้เลือกมาก่อนแล้ว…”

 

“น่าเสียดายที่เจ้าเลือกอีกหนทาง เจ้าเป็นคนที่ราชาแห่งความมืดเชื่อใจ สิ่งเดียวที่เขาต้องทำคือการสังหารเจ้า ก่อนที่ข้าจะมาจับตัวเจ้า เจ้าจะต้องรู้ชะตาของตัวเองอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?”

 

หลิงเสี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างเงียบเชียบ เมื่อจ้าวเฉินยิ่งปรากฏตัวเขาก็รู้แล้วว่าการจัดการเรื่องราวอย่างเป็นธรรมนั้นเป็นเพียงภาพลวง จ้าวไป่ลั่วนั้นไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่อีกแล้ว เรื่องก็มีเพียงเท่านั้น

 

“ถ้าเจ้ารู้อยู่แล้วก็จงไปสู่โลกหน้าซะเถอะ ข้าไม่อยากจะลงมือกับเจ้า”

 

แต่หลิงเสี่ยวเทียนก็หัวเราะเบาๆ

 

“ไม่ใช่เพราะเจ้าไม่อยากจะลงมือกับข้า แต่เพราะเจ้าทำไม่ได้ต่างหาก เจ้าอาจจะเหลือหลักฐานทิ้งเอาไว้ ทำให้คนตามรอยมาถึงเจ้า ใช่หรือไม่?”

 

จ้าวเฉินยิ่งใบหน้าแข็งกร้าว

 

“:ถ้าเจ้ารู้อยู่แล้วก็ดื่มนั่นไปซะ!”

 

ถ้าหลิวเสี่ยวเทียนตายในทวีปเหนือ ทุกคนก็จะสงสัยว่าเป็นฝีมือของจ้าวเฉินยิ่ง เขาทำได้แค่ตายในชายแดนระหว่างทวีปเท่านั้น ที่นี่นั้นอันตรายและมีคนที่โหดร้ายมากมายซ่อนตัวอยู่ จ้าวเฉินยิ่งนั้นอ้างได้ว่ามีคนชั่วปรากฏตัวมาลอบโจมตีพวกเขา หลิงเสี่ยวเทียนจึงต้องสละชีวิตไป นั่นคือข้ออ้างที่ดีที่สุดที่เขาใช้ได้