ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 1428 – ค่ายกลรูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัม ประลองกับพระราชวังมังกร

 

ฮัว รูเหม่ยมาในตอนจบแล้วได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย พร้อมกับถามด้วยความประหลาดใจ ” รูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัมมีประสิทธิภาพมากเพียงใด?”

 

“รูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัมเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ ผู้ที่สร้างรูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัม จะต้องเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญอย่างหาที่สุดไม่ได้ รูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัมเปรียบเสมือนรูปแบบประตูเทวะแห่งเต๋าที่ถูกนำมาขยายใหญ่ มันจะคอยเพิ่มพูนพลังเทวะแห่งเต๋าในตัวของฝ่ายเดียวกัน อีกทั้งยังปิดผนึกพลังเทวะแห่งเต๋าของฝ่ายศัตรู รูปแบบนี้จึงเปรียบเสมือนเรือนจองจำพลังแห่งสวรรค์และโลก มันเป็นรูปแบบลดทอนพลังศัตรูที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก”ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากคบคิดเล็กน้อย

 

“แล้วเราควรทำอย่างไรดี?”ฮัว รูเหม่ยขมวดคิ้วขณะที่เธอถาม เธอรู้ดีว่าพลังของผู้ฝึกตนระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศนั้นล้วนขึ้นอยู่กับเส้นทางพลังเทวะแห่งเต๋า ถ้าหากพลังเทวะแห่งเต่าของพวกเขาถูกบั่นทอนลง มันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน เพราะพลังปราณแห่งสวรรค์และโลกของพวกเขาจะถูกจำกัด

 

“เราคงต้องยืดเยื้อ จนกว่าพวกมันจะไม่อ่านดำรงรูปแบบค่ายกลของพวกมันไว้ได้ เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าค่ายกลระดับรูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัมจะต้องดูดกลืนพลังมหาศาล ดังนั้นมันย่อมไม่อาจทนต่อเวลาที่ยาวนานได้ ตอนนี้เป้าหมายหลักของเราคือการป้องกัน พยายามจับสังเกต และตอบโต้กับเมื่อจำเป็นเท่านั้น”ชิงสุ่ยกล่าวหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง

 

แต่ในตัวของชิงสุ่ยนั้นกลับรู้สึกว่าพลังเทวะแห่งเต๋าในตัวของเขานั้นโดนผลกระทบเพียงเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะอะไร มันอาจเป็นเพราะรากฐานพลังของเขานั้นมีลักษณะจำเพาะพิเศษ ที่พลังเหล่านี้ไม่อาจครอบงำพลังของเขาได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการดี

 

“แล้วทำไมพวกเราถึงมองไม่เห็นใครเลยล่ะ แม้แต่ร่องรอยข้ากลับมองไม่เห็น?”ฮัว รูเหม่ยถามด้วยความสงสัย

 

ชิงสุ่ยได้นำเอาเครื่องรางเนตรสวรรค์ออกมา พร้อมกับประทับลงบนใบหน้าของฮัวรูเหม่ย ก่อนที่เขาจะลังเลชั่วครู่หนึ่งและเดินไปวางมันลงบนใบหน้าของประมุขอสูร จากนั้นก็ตบลงบนหน้าของตัวเอง

 

ฮัวรูเหม่ยตกใจทันทีที่เห็นเงา สัตว์อสูร และธง 5 สีที่สูงตระหง่าน

 

“พระราชวังมังกร ผู้คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกของพระราชวังมังกร”ฮัวรูเหม่ยกล่าวด้วยความรู้สึกไม่น่าเชื่อ

 

ประมุขอสูรเองก็กำลังเฝ้ามองดู ส่วนชิงสุ่ยก็ได้แจกเครื่องรางเนตรสวรรค์ให้กับทุกคน เครื่องรางเนตรสวรรค์นี้จะมีอายุการใช้งานประมาณ 1 วันเต็ม ดูเหมือนว่าการที่เขาวาดเครื่องรางอย่างบ้าคลั่งจะเป็นประโยชน์ในตอนเช้าทันที เมื่อมองดูคนหมู่มาก เขาไม่ค่อยวิตกกังวลเพราะเขายังคงมั่นใจในพลังเครื่องรางสวรรค์และพลังปราณจักรพรรดิของเขา

 

“ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวสร้างรูปแบบ การโจมตีจะเริ่มขึ้นในเร็วๆนี้”ชิงสุ่ยมองดูสถานการณ์เบื้องหน้าและสรุปได้ทันทีว่าการโจมตีเต็มรูปแบบกำลังใกล้เข้ามาแล้ว

 

ข้อดีที่สุดของผู้คนจากพระราชวังอสูรคือการรู้จำนวนของศัตรูฝ่ายตรงข้าม

 

แต่ข้อเสียในตอนนี้ก็คือพลังเทวะแห่งเต๋าของพวกเขากำลังถูกบั่นทอนลง และแม้ว่าชิงสุ่ยจะตั้งใจใช้หงส์เพลิงร่ำร้อง(เพลงศึก)เพื่อเพิ่มพูนพลังแต่มันก็ได้มากสุดเพียงแค่ 10% ซึ่งไม่มากพอที่จะชดเชยพลังที่หายไปของค่ายกลรูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัม แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้พลังของเหล่าพันธมิตรของเขาเพิ่มพูนขึ้น

 

ชิงสุ่ยนำเอาเครื่องรางเกราะสววรค์ศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางแห่งพระเจ้าและเครื่องรางเสริมพลังดำเนิน จากนั้นก็ตบลงบนร่างกายของเขา

 

เขาแบ่งปันเครื่องรางสวรรค์ให้กับเหล่าผู้ฝึกตนที่ทรงพลังคนอื่น  เพื่อให้คนอื่นใช้มันทดแทนพลังที่สูญหายไป และชิงสุ่ยจะใช้ปราณจักรพรรดิและหงส์เพลิงร่ำร้อง(เพลงศึก)เป็นตัวพลิกชะตากรรมเส้นทางแห่งการต่อสู้ครั้งนี้

 

หงส์เพลิงร่ำร้อง(เพลงศึก)

 

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ พลังของประมุขอสูร ฮัวรูเหม่ย ชิงสุ่ย จินชื่อและผู้ติดตามทั้งหมดก็เพิ่มขึ้นถึง 20%

 

พลังที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ทุกคนถึงกับประหลาดใจ มันคือการเพิ่มพลังโดยไม่มีเงื่อนไขอีกทั้งยังครอบคลุมเกือบทุกคน

 

ประมุขอสูรและฮัวรูเหม่ยเองถึงกับแสดงท่าทางประหลาดใจออกมา พวกเธอรู้ดีว่าชิงสุ่ยนั้นมีความสามารถเช่นนี้ แต่อัตราพลังที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาเลย

 

ฮัวรูเหม่ยสั่งการให้ทุกคนเตรียมพร้อม เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ก็ให้ใช้รูปแบบโจมตีกลับในทันที

 

เมื่อก้าวขึ้นสู่ระดับพลังที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปจะเอื้อมถึง กลางวันกลางคืนจึงไม่มีความแตกต่าง ดังนั้นการลอบโจมตีจึงไม่จำเป็นจะต้องใช้เวลากลางคืนอย่างเดียว

 

ค่อยๆเข้าใกล้!!!

 

ชิงสุ่ยรอจนกว่าทุกคนจะพร้อม เขาเน้นย้ำกับทุกคนว่าไม่ต้องรีบ สู้เฉพาะคนที่สู้ได้ และถอยกลับเมื่อถึงทางตัน เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คอยดูกันว่าพระราชวังอสูรจะยืดเยื้อได้นานสักเพียงใด

 

ปังงงงง!!!

 

ชิงสุ่ยได้มอบเครื่องรางอัสนีเทวาให้กับทุกคน และมันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งนี้ช่างเป็นสิ่งที่มีประโยชน์โดยแท้จริง เมื่อกองกำลังกลุ่มใหญ่ก้าวเข้ามาในเขตของพวกเขา พลังปราการสายฟ้าก็ถาโถมลงมาก่อให้เกิดหายนะ

 

เสียงระเบิดดังขึ้น ใกล้ๆกับเครื่องรางอัสนีเทวา ปรากฏให้เห็นกลุ่มของผู้ฝึกตนปราณจักรพรรดิและผู้ฝึกตนปราณจักรพรรดิขั้นสูงสุดที่ล้มตายเป็นจำนวนมาก…….

 

แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับปราณบัญชาสวรรค์พินาศขั้นแรกเริ่ม ก็ได้รับบาดเจ็บปางตาย เมื่อศัตรูรู้เช่นนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะถอยกลับ แต่บางส่วนโดยเฉพาะเหล่าผู้อาวุโสต่างก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อ

 

ชิงสุ่ยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมพวกเขาจะคิดเช่นนั้น แต่เมื่อไม่คำนึงถึงชีวิตเขาก็ย่อมไม่ยอมปล่อยให้คนพวกนี้รอดไป

 

เครื่องรางสวรรค์!!!

 

ชิงสุ่ยปลดปล่อยเครื่องรางสวรรค์ออกมาพร้อมกับใช้พลังปราณจักรพรรดิ

 

การบั่นทอนพลังเกิดขึ้นกับฝูงศัตรูรวมถึงตัวเขาที่พลังเพิ่มขึ้น เมื่อความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันมากเกินไป การต่อสู้จึงจบลงภายใน 2 ลมหายใจ

 

“พวกเราควรทำอะไรดี? หนีหรือ?”ฮัวรูเหม่ยมองไปทางประมุขอสูรและหันกลับมาหาชิงสุ่ย

 

ประมุขอสูรมองไปทางชิงสุ่ย นั้นจะเป็นความหมายที่ชัดเจนแล้วว่า ชิงสุ่ยจะเป็นผู้ตัดสินใจ

 

ชิงสุ่ยตื่นตระหนกชั่ววินาทีและไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี เธอเป็นถึงจุดสูงสุดของนิกายพระราชวังอสูรแต่กลับปล่อยให้เขาตัดสินใจ เขารับรู้ได้ว่าในตอนนี้เธอเปิดรับความคิดของเขาแล้ว

 

“ไม่ต้องทำอะไร อีกไม่นานนักหรอกค่ายกลรูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัมใกล้จะหยุดทำงานแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราจะได้เผชิญหน้ากับพวกมัน คราวนี้แหละ เราจะสอนบทเรียนที่บังอาจลอบโจมตีพวกเราให้สาสมใจ”

 

ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระราชวังมังกรคู่สร้างรูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัมที่สามารถกักขังพลังแห่งสวรรค์ได้ ดูเหมือนความโชคร้ายจะมาเยือนเขาเพราะต้องมาเผชิญหน้ากับชิงสุ่ย มิฉะนั้นการบุกโจมตีครั้งนี้คงทำให้พระราชวังอสูรได้รับความเสียหายอย่างหนักจนอาจล่มสลายได้

 

ความสูญเสียในครั้งนี้คือการทำลายเหล่าผู้ฝึกตนในขั้นต่างๆของระดับปราณจักรพรรดิ มันคือความสูญเสียอนาคตและความหวังของทั้งสองนิกาย การตายของคนนับพันเป็นการตายอย่างโง่เขลา พวกเขาไม่สามารถหลบหนี และตายอย่างไม่รู้ตัวจนกลายเป็นเพียงแค่ซากศพไร้ความหมาย

 

ในช่วงเวลาสั้นๆขวัญกำลังใจของกลุ่มนิกายพระราชวังอสูรได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าทั้งหมดนั้นเกิดจากฝีมือของชายที่ชื่อว่าชิงสุ่ย มิฉะนั้นพวกเขาก็คงจะต้องเผชิญกับศึกหนักครั้งยิ่งใหญ่ และคงสูญเสียอย่างหนัก ซึ่งอาจเป็นการตัดแขนตัดขาของนิกายพระราชวังอสูร หลายคนต่างรู้สึกดีว่าผู้ที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้นั้นก็คือชิงสุ่ย

 

ไม่นานนัก ค่ายกลรูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัมก็เสื่อมคลายลง เหล่าบรรดาสาวกของนิกายพระราชวังอสูรจึงเริ่มต้นการสร้างเขตแดนเขาวงกต

 

กองกำลังของพระราชวังมังกรได้ตั้งค่ายพักแรมอยู่ในพื้นที่ห่างออกไป โดยบางส่วนก็ได้เผชิญหน้ากันระหว่างทั้งสองนิกาย

 

“ถ้าหากพวกมันไม่ย้ายออกไป พวกเราคงจะต้องบีบบังคับมันเอง”ประมุขอสูรกล่าวอย่างเด็ดขาด

 

พระราชวังอสูรได้นำผู้คนบุกทะลวงไปข้างหน้าจนกระทั่งพวกเขาเดินทางไปถึงบริเวณที่มีกลุ่มคนกำลังยืนรอเหล่าสมาชิกของนิกายพระราชวังอสูร

 

“ใครเป็นผู้ทำลายรูปแบบค่ายกลของตาเฒ่าคนนั้น?”หนึ่งในผู้อาวุโสมองดูชิงสุ่ยขณะกล่าว

 

ชิงสุ่ยมองดูผู้อาวุโสเขาเป็นชายหน้ากลมที่มีจมูกใหญ่และปากที่กว้าง

 

“ค่ายกลรูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัมคือหนึ่งในรูปแบบที่แสนน่าหวาดกลัว อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตาเฒ่ายอดปรมาจารย์คนนั้นจะยังไม่มีความชำนาญมากเพียงพอที่จะคงอยู่รูปแบบเหล่านั้นได้ ดังนั้นต่อให้ใช้มันมันก็ไร้ค่า”ชิงสุ่ยหัวเราะขณะกล่าว

 

“ฮ่าๆ การปรากฏตัวของเจ้านั้นช่างเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง ข้ามั่นใจว่าค่ายกลรูปแบบสวรรค์โลกามายาบุษราคัมจะสามารถหยุดยั้งและนำพาให้พวกนิกายพระราชวังอสูรถึงคร่าจบสิ้น ก็ช่างน่าเสียดายนะ ดูเหมือนนิกายพระราชวังอสูรจะมีเจ้าอยู่ข้างเดียวกัน พ่อหนุ่มน้อย ทำไมเจ้าถึงเลือกเข้าร่วมกับกองกำลังที่แสนชั่วร้ายยานิกายพระราชวังอสูรล่ะ ถ้าหากเจ้าเลือกเข้าข้างฝ่ายธรรมะ ข้าจะเป็นคนแนะนำเจ้าให้กับเหล่านิกายทั้งหลายเอง และข้าขอยืนยันว่าอนาคตของเจ้าจะต้องสดใสอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสคนนั้นพยายามกล่าวหว่านล้อมเพื่อสร้างความไม่ลงรอยระหว่างชิงสุ่ยและนิกายพระราชวังอสูร

 

“ฝ่ายธรรมะ? อะไรคือความเป็นธรรม?”ชิงสุ่ยได้ยินคำกล่าว เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

“ฝ่ายธรรมะครอบคลุมไปถึงผู้ฝึกตนที่มีกลิ่นอายแห่งความดีงาม และด้วยพลังอันยิ่งใหญ่เหล่านั้นจะช่วยส่งเสริมหลักการความยุติธรรมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังเช่นนิกายพระราชวังมังกรและนิกายไถซูของพวกเรายังไงล่ะ”ผู้อาวุโสอธิบายต่อ

 

“ท่านผู้อาวุโส ท่านกล่าวเช่นนี้ท่านไม่รู้สึกอายบ้างหรือ? ท่านแสดงตัวตนราวกับว่าคนอื่นนั้นเป็นเพียงแค่คนตาบอด ข้าไม่อยากจะพูดมากเลย แต่คำพูดของท่านกำลังทำให้ข้ารู้สึกว่าท่านกำลังเสแสร้งหลอกใช้ความดีเพื่อเป็นสิ่งหลอกลวงผู้อื่น สงสัยท่านจะไม่รู้สึกอับอายจริง”ชิงสุ่ยตอบกลับ

 

“เจ้า…..เจ้า…..ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักดีชั่ว เมื่อเจ้าเลือกยืนอยู่ข้างพระราชวังอสูร จุดจบของเจ้าคงไม่ดีนัก ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนี้แล้ว คงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาใดๆทั้งสิ้นอีก พวกเราตั้งค่ายกลรูปแบบ”

 

ทันทีที่ผู้อาวุโสกล่าวจบ เขาก็หันไปบอกให้สมุนของเขาเตรียมก่อตั้งรูปแบบ “พ่อหนุ่มน้อย ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นยอดปรมาจารย์ทางด้านการสร้างรูปแบบ วิธีที่เราจะต่อสู้กันในวันนี้ควรเป็นเช่นไร?”ผู้อาวุโสจ้องมองชิงสุ่ย

 

“ตามใจท่านเลย ข้าให้ท่านเลือกวิธีการ”ชิงสุ่ยตอบกลับโดยไม่มีข้อคัดค้าน

 

“เราทั้งสองสร้างรูปแบบของตัวเองขึ้นมา และปล่อยให้ศัตรูโจมตีดูว่าใครสามารถโจมตีรูปแบบของฝ่ายตรงข้ามได้ ถ้าหากเราทั้งล้มลงพร้อมกันก็ให้ดูว่าใครบาดเจ็บน้อยกว่ากัน แต่ถ้าหากเราทั้งคู่ไม่มีใครพลาดพลั้งเลย ก็ให้ตัดสินที่อาการบาดเจ็บเช่นกัน เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”ผู้อาวุโสคิดเล็กน้อยก่อนจะกล่าว

 

“แล้วถ้าหากเอาเป็นว่าหนึ่งในเราสองคน ต้องมีผู้ชนะล่ะ? ท่านคิดอย่างไร?”ชิงสุ่ยถามใครขณะที่เขาส่ายหน้า

 

“หาผู้ชนะงั้นหรือ? ไม่มีปัญหา เมื่อเรากำลังเผชิญหน้ากับรูปแบบตราประทับของศัตรู หากเจ้ามีความสามารถจริงก็ย่อมจะกำจัดพวกเราไปได้ มิฉะนั้นข้าจะเป็นคนกำจัดเจ้าเอง บางที เจ้าอาจจะเลือกเส้นทางการหนีก็เป็นได้”ผู้อาวุโสระเบิดเสียงหัวเราะ

 

“ตกลงตามนั้น ว่าแต่ใครจะเป็นคนเริ่มสร้างตราประทับรูปแบบก่อน?”

 

“เราจะส่งคนฝั่งของเราออกไปฝั่งละ 1 คน และทำการต่อสู้ประลองตัวต่อตัว ผู้ชนะจะได้สร้างตราประทับรูปแบบเป็นคนแรก ส่วนผู้พ่ายแพ้จะเป็นคนโจมตีตราประทับเพื่อทำลายมัน”ผู้อาวุโสกล่าวแนะนำด้วยวิธีการยุติธรรม

 

“ประมุขอสูร ให้ข้าได้เป็นผู้ประลองในศึกครั้งนี้ ได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยกล่าวถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างเขา

 

หญิงสาวคนนั้นพยักหน้า “โปรดระมัดระวังตัวด้วย!!”

 

ชิงสุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข เสียงของหญิงสาวผู้นี้ทำให้จิตใจของชิงสุ่ยสงบสุข

 

“ขอบคุณมาก!!”

 

ชิงสุ่ยเดินตรงไปข้างหน้าเพื่อจะเผชิญหน้ากับฝ่ายศัตรู หลังจากที่เขาเป็นคนก้าวเท้าออกมามันยิ่งทำให้ผู้อาวุโสอีกฝั่งประหลาดใจอย่างยิ่งเพราะเขารู้ว่าชายผู้นี้นั้นแข็งแกร่งทางด้านรูปแบบก่อตัว

 

คนที่เดินออกมาจากอีกฝ่ายหนึ่งคือชายชราที่เห็นได้ชัดว่าเขามีอายุมาก เขาสวมเสื้อผ้าปักลายที่แผร่กลิ่นอายแห่งความหรูหราและสง่างาม เขามองด้วยสายตาที่สงบนิ่ง

 

“พ่อหนุ่มน้อย การที่เจ้าออกมาเพื่อประลองกับฝั่งศัตรูนั้นคือสิ่งที่ข้าประหลาดใจยิ่ง หรือว่านิกายพระราชวังอสูรไม่มีใครเก่งกว่าเจ้าแล้ว? ถึงได้กล้าส่งยอดปรมาจารย์ด้านการก่อตัวรูปแบบออกมาเพื่อทำการประลองด้วยตัวเอง?” ผู้อาวุโสที่เดินออกมากล่าวกับชิงสุ่ยโดยตรง

 

“แล้วใครบอกท่านกันล่ะ ว่าผู้ที่แข็งแกร่งทางด้านการก่อรูปแบบจะไม่มีความสามารถในการต่อสู้?”ชิงสุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่แยแส

 

“ก็ดี ถ้าเช่นนั้น เรามาเริ่มต้นการต่อสู้กันเถอะ”