บทที่ 1405+1406

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1405+1406 Ink Stone_Romance

บทที่ 1405 เผชิญหน้า

หลีเมิ่งซย่ายืดอกเชิดหน้า “อยาก!”

ตี้ฝูอีอมยิ้ม “ดีมาก ข้าคิดวิธีที่จะเข้าไปได้แล้ว แต่ต้องลำบากเจ้าสักหน่อย”

สถานที่พำนักของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนี้เรียกว่าวังคุ้มนภา ซึ่งมีความหมายว่าแผ่อำนาจกว้างใหญ่ไพศาล

เดิมทีทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่สนใจการเมือง ไม่เคยข้องเกี่ยวราชกิจ ทว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในตอนนี้กลับควบคุมจักรพรรดิบัญชาการเจ้าผู้ครองแคว้นดังเช่นเฉาเชา ตอนนี้องค์จักพรรดิหรงเจียหลัวเป็นเหมือนหุ่นเชิด อำนาจตกอยู่ในมือผู้อื่น กลายเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่กุมใต้หล้านี้ไว้อย่างแท้จริง…

วังคุ้มนภามีประตูทางเข้าออกเพียงทางเดียว

ยามเฝ้าประตูวังคุ้มนภาแห่งนี้ก็คือยักษ์เกราะทองคำข้างกายเซียนหญิงลี่หวางผู้นั้น ยักษ์ตนนี้พลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้า พลังยุทธ์ในร่างกายเยี่ยมยอด และข้างกายยังมีผู้คุ้มกันที่พลังวิญญาณบรรลุขั้นแปดอีกหกคน หากคนทั่วไปอยากจะบุกเข้าไปทางประตูด้านหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นความคิดที่ทั้งไร้สาระและฝันเฟื่อง

โดยรอบมีวิญญาณอาฆาตสิงสู่ ประตูใหญ่ยังมียักษ์เกราะทองคำคอยอารักขา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนั้นอาศัยอยู่ด้านในราวอาศัยอยู่ในตู้นิรภัย วางใจเป็นอย่างมาก

วันนี้เขาส่งเซียนหญิงลี่หวางไปเรือนอื่นด้วยตัวเอง เขาถอดเสื้อผ้ากำลังจะพักผ่อน ด้านนอกมีคนรายงาน “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ประมุขหยางเฟยอี้กับสามผู้อาวุโสของหอเงาราตรีขอเข้าพบขอรับ เขาจับกุมผู้ต่อต้านหลีเมิ่งซย่ากับผู้ติดตามได้แล้ว ยามนี้รออยู่ด้านนอกประตูขอรับ”

ตัวปลอมผู้นี้ตกตะลึง ดวงตาฉายแววเปรมปรีดิ์ “ดี ให้พวกเขาเข้ามา! ให้รอที่ห้องโถงก่อน” เมื่อคิดใคร่ครวญครู่หนึ่ง จึงออกคำสั่งอีก “ไปเชิญเซียนหญิงลี่หวางมา ข้ามีเรื่องรบกวนนางหน่อย”

ยามเฝ้าประตูตอบรับแล้วจากไป

ภายในห้องโถงที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและหรูหรา

หยางเฟยอี้ ผู้อาวุโสเหลียง และผู้อาวุโสหวงนำหลีเมิ่งซย่าเดินเข้ามา

สภาพหลีเมิ่งซย่าจนตรอกยิ่งนัก เสื้อผ้าขาดวิ่น เส้นผมดั่งรังหญ้า ใบหน้ากระดำกระด่าง ถึงแม้บนตัวนางไม่มีเชือกมัด แต่เห็นได้ชัดว่าถูกสกัดจุดไว้ ฝีเท้าระหว่างเดินเหินหนักอึ้ง ซวนเซไปมา

เมื่อไอ้ตัวปลอมออกมา หยางเฟยอี้และคนอื่นๆ ทำความเคารพเขาพร้อมกัน หลีเมิ่งซย่ากลับเชิดหน้าชูคอยืนยืดตัวตรง

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมสวมหน้ากากบนใบหน้า ทำให้มองสีหน้าเขาไม่ออก หยางเฟยอี้บอกเล่าเหตุการณ์การจับกุมหลีเมิ่งซย่าและคนอื่น ย่อมต้องพูดอย่างอกสั่นขวัญหาย ยากเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมมองหลีเมิ่งซย่าหัวจรดเท้าด้วยสองตา ไร้ซึ่งคำพูดใด เพียงชื่นชมหยางเฟยอี้และคนอื่นๆ อย่างเรียบเฉยไม่กี่คำ

หยางเฟยอี้และคนอื่นๆ แลดูทั้งตื่นตระหนกและตื่นเต้น ย่อมแสดงความจงรักภักดีต่อทูตสวรรค์ตัวปลอมอีกครั้ง

ในขณะที่กำลังพูดคุย เซียนหญิงลี่หวางค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาอย่างเนิบนาบ นั่งลงตรงที่นั่งด้านซ้าย นางเป็นพวกหยิ่งผยองดูถูกคนฐานะต้อยต่ำ พวกหยางเฟยอี้คารวะนาง นางก็เพียงแค่โบกมือเล็กน้อย ไม่แม้แต่จะชายตามอง สายตานางร่อนลงบนร่างของหลีเมิ่งซย่า

ถึงแม้ตัวหลีเมิ่งซย่าจะดูน่าเวทนา แต่ยังคงทรงพลังยิ่งนัก จ้องมองกลับทันที!

เซียนหญิงลี่หวางขบเม้มริมฝีปากบางๆ ของนาง จ้องมองหลีเมิ่งซย่าไม่ยอมละสายตา ดวงตาที่เดิมทีดำขลับดุจระลอกน้ำแปรเปลี่ยนเป็นเกลียวคลื่น สีดำขลับนั้นค่อยๆ กลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน…

ร่างกายหลีเมิ่งซย่าพลันแข็งทื่อ ดวงตาที่เดิมทีดุร้ายกลับกลายเป็นเลอะเลือน จ้องมองเซียนหญิงลี่หวางไม่พูดจาอันใด

“เจ้าคือผู้ใด?” เซียนหญิงลี่หวางเอ่ยขึ้นอย่างสง่างาม

หลีเมิ่งซย่าจ้องมองนางอย่างเลื่อนลอย ยังคงไม่พูดจา

เซียนหญิงลี่หวางมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ข้าถามเจ้า ไยทำไม่สนใจ?”

ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมขมวดคิ้ว เซียนหญิงลี่หวางใช้วิชาควบคุมจิตใจได้ ทำให้คนที่โดนวิชาพูดความจริงออกมาทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว ใช้ร้อยครั้งได้ผลร้อยครั้ง แต่หากคนที่ถูกควบคุมมีพลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้าขึ้นไป ถึงจะเสริมวิชากู่เข้าไประหว่างวิชาควบคุมจิตใจได้…

—————————————————————–

บทที่ 1406 เผชิญหน้า 2

หลีเมิ่งซย่าผู้นี้มีพลังวิญญาณขั้นแปด ยังไม่ถึงขั้นเก้า ว่ากันด้วยเหตุผล หากใช้วิชาควบคุมจิตใจก็ต้องสำเร็จ ครั้งนี้เหตุใดจึงไม่ได้ผลเล่า?

สายตาเฉียบคมของเขาร่อนลงบนร่างของหลีเมิ่งซย่า กระชับนิ้วมือในชายเสื้ออย่างช้าๆ

ขณะที่เขากำลังจะเคลื่อนไหว ในที่สุดหลีเมิ่งซย่าก็เอ่ยปาก “เจ้าพูดอะไร? เหตุใดข้าฟังไม่รู้เรื่อง?”

เซียนหญิงลี่หวางนิ่งอึ้ง

ในที่สุดนางก็นึกขึ้นได้ว่าหลีเมิ่งซย่ารังเกียจคนพูดจาสุภาพอ่อนโยนเป็นที่สุด เพราะนางรังเกียจภาษาโบราณ ฟังไม่เข้าใจ!

เซียนหญิงลี่หวางแอบทอดถอนใจ เปลี่ยนวิธีการถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”

“หลีเมิ่งซย่า”

“มีหน้าที่อะไรในหอเงาราตรี?”

“ประมุข”

“เหตุใดจึงต่อต้านท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย?”

“เขาเป็นตัวปลอม!”

ทุกคนนิ่งอึ้ง

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยกยิ้มมุมปาก “เหลวไหล! ข้าเป็นข้ามาโดยตลอด ไหนเลยจะมีตัวปลอมได้?”

เขาเลียนแบบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้แนบเนียนยิ่งนัก ไม่ว่าสีหน้าหรือท่าทาง แม้แต่การยกยิ้มมุมปากก็เหมือนกันมาก เขามองไปที่พวกประมุขหยางเบื้องล่างห้องโถง “พวกเจ้าว่าอย่างไร?”

ประมุขหยางส่ายหน้า “นางเสียสติพูดจาเหลวไหล! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นเทพ หมาแมวที่ไหนจะปลอมตัวมาได้?”

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมพูดอันใดไม่ออก อย่างไรเสียก็กลัวว่าจะถูกจับได้ แต่เขากลับรู้สึกว่าคำพูดที่อีกฝ่ายยกย่องตนแฝงความเย้ยหยันไว้

สายตาทั้งคู่ของเขามองประมุขหยางครู่หนึ่ง ประมุขหยางถูกเขาจ้องจนขนลุก ก้มหน้าลงด้วยความตื่นตระหนก

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมยิ้มบางๆ น้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?”

ดวงตาทั้งคู่ของหลีเมิ่งซย่าจ้องมองหน้ากากเขาดุจตาแมว “เจ้ากล้าถอดหน้ากากออกให้คนเห็นไหมเล่า? ข้าจำใบหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้! พฤติกรรมบางอย่างของเจ้าไม่เหมือนท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคนก่อนแม้แต่น้อย!”

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหัวเราะหยัน “คนเราเปลี่ยนกันได้ ทำไมข้าจะเปลี่ยนไม่ได้? ที่ข้าทำเช่นนี้เพราะเป็นลิขิตสวรรค์ แค่ทำตามชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น”

หลีเมิ่งซย่าส่งเสียงฮึ่มคราหนึ่ง “โกหก! หน้ากากเจ้ายังไม่กล้าถอด เห็นได้ชัดว่าเป็นคนชั่วปลอมตัวมา!”

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมเหลือบมองพวกประมุขหยาง “พวกเจ้าเชื่อคำพูดจาเหลวไหลของนางรึไม่?”

หน้าผากของพวกประมุขหยางเต็มไปด้วยเหงื่อ กล่าวอย่างรีบร้อน “ย่อมไม่เชื่อขอรับ ข้าน้อยบอกแล้วว่านางเสียสติ วิปลาสไปแล้ว…”

พวกเขาบอกไม่เชื่อ ทว่าดวงตายังคงฉายแววสงสัย เห็นได้ชัดว่ายังแคลงใจอยู่เล็กน้อย

เซียนหญิงลี่หวางยิ้ม เมื่อนางแย้มยิ้มช่างงดงามปานบุปผาผลิบาน “ฝูอี ความจริงคนเหล่านี้ก็เป็นลูกน้องที่จงรักภักดีต่อท่าน มิสู้ท่านถอดหน้ากากออกให้พวกเขาดูเสียหน่อย และให้พวกเขายอมรับเจ้านายอย่างท่าน”

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมหลุบตาลงเล็กน้อย ทอดถอนใจครู่หนึ่ง “ก็ได้” เขายกมือถอดหน้ากากออกช้าๆ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ยามนี้เห็นชัดแล้วหรือยัง?”

ภายใต้หน้ากากคือใบหน้าหล่อเหลาดังเทพเทวา เหมือนรูปโฉมของตี้ฝูอีทุกประการ

หลีเมิ่งซย่าราวกับทึมทื่อไปแล้ว จ้องทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมตาไม่กะพริบ และบ่นพึมพำ “ที่แท้…ที่แท้ก็เป็นตัวจริง..”

วิชาควบคุมจิตใจของเซียนหญิงลี่หวางยอดเยี่ยมนัก นางไม่เพียงควบคุมจิตใจคน อีกทั้งยังทำให้คนพูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา วิธีที่นางใช้ตอนนี้ก็คือการให้พูดความจริงในใจ มีอะไรก็พูดออกมา ดังนั้นอารมณ์และการตอบสนองของหลีเมิ่งซย่าจึงถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่สวมหน้ากากอีกต่อไป เหลือบมองหลีเมิ่งซย่าอย่างเยือกเย็น “เจ้ารู้ความผิดแล้ว?”

หลีเมิ่งซย่าเบิกตาพลางถอยหลังไปหลายก้าว “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้? ทั้งที่เจ้าน่าจะเป็นตัวปลอม…”

หลีเมิ่งซย่าเป็นถึงประมุขของหอเงาราตรี รู้ความลับแท้จริงของตี้ฝูอีมากมาย ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมจึงให้คนพยายามจับเป็นนางมาเพื่อสอบสวน

———————————————————————–