“กรี๊ด” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น
อากาศบริสุทธิ์ไหลทะลักเข้ามาก มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ยังไม่ทันมองสิ่งที่ตกลงเบื้องหน้า ตัวนางก็ล้มลงไปในอ้อมกอดที่คุ้นเคย
“ชิงเฉิง” เยี่ยเทียนหยวนกอดมั่วชิงเฉินแน่น มองรอยแดงที่คอนาง มือสั่นไม่หยุด
มั่วชิงเฉินได้สติแจ่มแจ้ง “เทียนหยวน ท่านกลับมาแล้ว”
นางพูดพลางกวาดสายตามอง พลันตะลึงงัน “เทียนหยวน ทำไม ทำไมท่านถึงฆ่านาง!”
“หากข้าไม่กลับมาพอดี นางคงเอาชีวิตเจ้าไปแล้ว กับคนที่คิดฆ่าเจ้า ข้าฆ่ามันถึงสบายใจ” เยี่ยเทียนหยวนสางผมมั่วชิงเฉิน เอ่ยอย่างจริงจัง
มั่วชิงเฉินม้วนเส้นผมสีเงินสยายกลับมา “ไม่ใช่ข้าไม่อาจทนได้ เพียงแต่นางเป็นลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักลั่วสยา ทั้งเป็นหลานของหรูอวี้เจินจวิน ถึงตำแหน่งฐานะของท่านในกวงเหยาจะสูงส่ง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ถูกลงโทษ”
นางกลับถอนใจ หากพลังบำเพ็ญของนางยังอยู่ ศิษย์พี่พูดว่า ‘กับคนที่คิดฆ่าเจ้า ข้าฆ่ามันถึงสบายใจ’ ออกมาได้อย่างไร
เยี่ยเทียนหยวนกุมมือเย็นเยียบของมั่วชิงเฉินแน่น “ชิงเฉิง เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการก็พอ อย่ากังวลไป”
“อืม” มั่วชิงเฉินพยักหน้า
ไม่ช้าข่าวที่ลั่วหยางเจินจวินสังหารคนผิดคิดว่าหร่วนหลิงซิ่วเป็นโจรก็แพร่สะพัดไปทั่วโลกของผู้บำเพ็ญเพียร สำนักเหยากวงส่งสมบัติล้ำค่าไปขอขมาที่สำนักลั่วสยา ลั่วหยางเจินจวินถูกลงโทษให้สำนึกผิดหน้ากำแพงหินเป็นเวลาห้าสิบปี
สามวันให้หลัง สองสามีภรรยาอายุราวๆ ห้าสิบปีเดินจูงมือกัน ลอบออกจากเหยากวง
“ศิษย์พี่ ท่านแต่งตัวเป็นเช่นนี้ คิดจะพาข้าไปที่ไหนกัน” มั่วชิงเฉินเดินเหนื่อยแล้ว นั่งพักข้างพื้นหญ้าแห่งหนึ่ง
เยี่ยเทียนหยวนที่แต่งตัวเป็นคนแก่ช่วยนางซับเหงื่อ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ศิษย์น้องพวกเราไปใช้ชีวิตในโลกฆราวาสดีหรือไม่ ต่อไปข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น อยู่เป็นเพื่อนเจ้าไปตลอด”
ตามหามาหลายสิบปีแล้ว ก็ยังหาวิธีฟื้นฟูรากวิญญาณของมั่วชิงเฉินไม่พบ ในที่สุดเยี่ยเทียนหยวนก็ตระหนักได้ แทนที่จะเสียเวลาไปกับการค้นหาที่ไร้ความหวัง ไม่สู้ใช้เวลานี้อยู่เป็นเพื่อนนางจะดีกว่า
“โลกฆราวาสหรือ ข้าลืมไปแล้วว่าหน้าตาเป็นเช่นไร ก็ดี เช่นนั้นก็ไปโลกฆราวาสเถิด ที่นั่นถึงจะเป็นที่ที่ข้าสมควรอยู่” มั่วชิงเฉินเอ่ยเบาๆ
นับจากบัดนี้ไป ที่ตำบลเยี่ยนจื่อเล็กๆ แห่งหนึ่งมีร้านหมอยาเล็กๆ เจ้านายเป็นคู่สามีภรรยาสูงวัย เนื่องจากราคายาค่อนข้างถูก สรรพคุณกลับดี ไม่นานก็มีชื่อเสียงโด่งดัง คนหลั่งไหลมาซื้อยาจากทั่วสารทิศไม่ขาดสาย
ถึงมั่วชิงเฉินจะกลายเป็นคนธรรมดา แต่เพราะในอดีตกินโอสถวิญญาณไปมาก ร่างกายค่อนข้างแข็งแรง ทั้งมีนิสัยมุ่งมั่นตรงไปตรงมา ไม่ช้าจัดการดูแลร้านหมอยาได้อย่างเป็นรูปเป็นร่าง
เมื่อคิดว่าเวลาในโลกน้อยลงทุกที กลับยิ่งถนอมเวลาที่มี นอกจากกินดื่มกับเยี่ยเทียนหยวนแล้ว นางยังรับศิษย์จำนวนมาก สอนหนังสือสอนให้จำแนกยา ความเมตตาเป็นชื่อเสียงระบือไกล
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า พริบตาศิษย์ตัวน้อยก็เติบใหญ่ เดินทางไปทั่วสารทิศ บ้างก็เป็นหมอชื่อดังที่คนนับถือ และก็มีบางคนเปลี่ยนสายอาชีพ แต่ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมผู้เฒ่าคู่นี้
มั่วชิงเฉินจำไม่ได้ว่าสั่งสอนลูกศิษย์ไปกี่รุ่นแล้ว กาลเวลาคล้อยผ่านรูปโฉมก็ค่อยๆ ชราลง รู้สึกว่าชีวิตคนธรรมดานี้หาได้น่ากลัวเหมือนกับที่นางคิดไว้อย่างตอนเพิ่งสูญเสียพลังบำเพ็ญไป กลับเป็นวันเวลาที่ฝึกการบำเพ็ญเหนือธรรมชาตินั้นคล้ายกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้ว
…
ที่ความว่างเปล่านอกโลกดวงดาว ไม่รู้ว่ามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสิบกว่าคนอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อไรกัน ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสิบเก้าคนหลับตาแน่นนั่งขัดสมาธิอาบแสงวิญญาณด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป
“ศิษย์เหล่านี้อยู่ในโลกดวงดาว ได้พบประสบการณ์อะไรกันแน่ ถึงได้ตกอยู่ในสภาวะทะลวงระดับก่อกำเนิดพร้อมกัน” ตัวเป่าเจินจวินจากนิกายเลี่ยนเป่าเอ่ยด้วยความฉงน
“ไม่เพียงแค่นี้ สหายทุกคนโปรดดู ศิษย์ทั้งหลายเหล่านี้กำลังข้ามระดับด้วยตัวเองอีกด้วย” ซู่ฉิงเจินจวินเตือนขึ้น
“ไม่ว่าอย่างไรก็นับว่าเป็นเรื่องดี พวกเรารอดูเถิด กังวลใจไปก็ไร้ประโยชน์” กูเยี่ยหมัวจวินจากสำนักมารฟ้าเอ่ย
กู้หลีที่ยืนอยู่กลางผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไม่พูดจา สายตากลับตกอยู่ที่มั่วชิงเฉินผู้มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด
คลื่นพลังรุนแรงสายหนึ่งกระแทกเข้ามา
“แย่แล้ว!” หมัวจวินคนหนึ่งร้องดังขึ้น โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง แสงมารพุ่งไปทางทิศนั้น
คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นก็คือมารบำเพ็ญเพียรหลี่ซ่า เพียงแต่ในเวลานี้ สถานการณ์เขาไม่สู้ดีนัก ปราณมารปกคลุมกาย เสื้อผ้าอาภรณ์พองออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นสัญญาณปราณมารสับสน
แสงมารอยู่บนศีรษะฉายแสงลงมาก ปราณมารพลุกพล่านสงบลงเพียงชั่วครู่ กลับระเบิดตัวออกมาอย่างรุนแรง
มีเพียงเสียงดังปัง ปราณมารเข้มข้นที่กลายเป็นสสารเล็กๆ แตกกระเซ็นไปทั่วสารทิศ เมื่อฝุ่นดินตลบหายไป บริเวณนั้นกลับว่างเปล่า หาได้มีเงาร่างของหลี่ซ่าอยู่ที่ใดกันอีก
กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสีหน้าเปลี่ยนไปไม่น่ามอง
ถึงแม้ศิษย์ผู้ข้ามระดับล้มเหลวตกตายไปผู้นั้นมาจากฝั่งมาร ความจริงเจินจวินทั้งสองฝ่ายต่างก็จิตใจหนักอึ้งเช่นเดียวกัน มองลูกศิษย์สำนักตนที่กำลังข้ามระดับ แววตามีความกังวลมาก
เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดต่างเข้าใจ ด่านนี้ผู้อื่นมิอาจช่วยเหลือได้ มีแต่พวกเขาที่จะข้ามผ่าด่านเคราะห์ไปได้ด้วยตัวเอง
เมื่อสำเร็จก็จะกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด นับแต่นี้ก็กระทำการใดในโลกได้อย่างอิสระเสรี ท่องเที่ยวทั่วหล้า สะดวกสบายราวกับเทพเซียน หากล้มเหลวก็กลับสู่วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด นับจากนี้ก็เลอะเลือนไร้แก่นสาร บางทีอาจจะมีโอกาสกลับสู่หนทางบำเพ็ญเซียนใหม่ เริ่มต้นทุกอย่างใหม่
ผ่านไปอีกหลายวัน สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ก็แค่เวลาชั่วดีดนิ้วเท่านั้น
บนศีรษะของเวยเซิงลิ่วพลันเกิดกลุ่มเมฆครึ้ม
“อสุนีบาตฝ่าเคราะห์!” เจินจวินระดับก่อกำเนิดตะลึงพร้อมกัน
ในขณะพูดนั้น สายฟ้าก็ฟาดลงมา
ไม่รู้ว่าเวยเซิงลิ่วลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน อสุนีบาตฝ่าเคราะห์ครั้งแรกผ่าลงมาไม่ขยับเขยื้อน เขาฝืนทนรับสายฟ้าแรกไปได้
ถัดมาก็เป็นสายฟ้าที่สอง ไม่ช้าก็เป็นครั้งที่สาม และสี่…
สายฟ้าครั้งสุดท้ายฟาดลงมา ร่างมนุษย์ของเวยเซิงลิ่วที่กินโอสถแปลงกายมาหายไปแล้ว เมฆครึ้มก็สว่างไสว ร่างอสูรปรากฏออกมา ไม่ช้าก็ถูกพลังวิญญาณห่อหุ้ม เสียงดนตรีแปลกประหลาดดังขึ้น
“ผ่านอสุนีบาตสามเก้าได้แล้ว!” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายคนพากันพยักหน้า
ใบหน้าฝ่ายปีศาจบำเพ็ญเพียรปกปิดรอยยิ้มไว้ไม่ได้
ไม่รอให้ทุกคนเก็บรอยยิ้ม สีหน้าซู่ฉิงเจินจวินก็เปลี่ยนไป “แย่แล้ว สถานการณ์ของนักพรตหย่าอี้ไม่สู้ดีนัก!”
ถัดมาต่อให้ซู่ฉิงเจินจวินอยากช่วยมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ แสงวิญญาณสว่างวาบ ดวงวิญญาณของนักพรตหย่าอี้หายไปแล้ว
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดในที่นี้กลับไม่รู้สึกถึงวันเวลาที่เคลื่อนคล้อยไป ไม่ช้าก็ผ่านกำหนดเวลาสิบปี
ระยะเวลาที่ผ่านมานี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรทยอยข้ามระดับสำเร็จ หลังตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีสหายคอยคุ้มกันให้ อีกทั้งยังมีผู้บำเพ็ญเพียรอีกไม่น้อยที่กำลังข้ามระดับอยู่ เข้าสู่สภาวะรักษาตบะบำเพ็ญให้มีเถียรภาพ
บางคนโลดแล่นสู่ความสำเร็จ บางคนกลับสู่วัฏจักร เพราะได้พบสถานการณ์ที่เหล่าศิษย์ทั้งหลายข้ามสู่ระดับก่อกำเนิดพร้อมๆ กัน ต่อให้เหลือผู้บำเพ็ญเพียรเพียงคนเดียวที่ยังไม่สำเร็จ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่อยู่ในที่นี่จึงไม่จาก ไม่ช้าเวลาก็ผ่านไปอีกสองปี
วันนี้ที่ริมแม่น้ำอิ้งสยามีบุรุษชุดเขียวผู้หนึ่งปรากฏตัว
เขามีเรียวคิ้วพาดเฉียง ดวงตาคู่สดใสราวกับน้ำจากบ่อน้ำแร่ธรรมชาติ ยืนนิ่งอยู่ริมแม่น้ำ ทั้งๆ ที่ดูเย็นชาประดุจน้ำแข็งสลัก ทว่ากลับทำให้คนมองแล้วเกิดความกลัดกลุ้ม
เขายืนสงบนิ่งอยู่นาน พลันโบกมือขึ้นคราหนึ่ง กลางฝ่ามือปรากฏดาบยาวที่มีอัคคีสีม่วงลุกโหม
“มิทราบว่าเจินจวินท่านใดให้เกียรติมาเยือน ศิษย์ขอคารวะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
บุรุษชุดเขียวไม่ขยับเขยื้อน สองมือกุมดาบอัคคีม่วงยกขึ้นสูง
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณด้านหลังสองคนร้อนรน รีบเอ่ยว่า “ช้าก่อนเจินจวิน!”
พูดจบแล้วก็พุ่งไปขวางด้านหน้าบุรุษชุดเขียว เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาแล้วก็ตะลึงโดยไม่อาจควบคุมได้
หนึ่งในนั้นยอบกายคารวะเอ่ยว่า “ที่แท้คือลั่วหยางเจินจวิน ศิษย์ผิงชวนสำนักลั่วสยาคารวะเจินจวิน”
ถึงแม้อีกคนจะไม่รู้จักเยี่ยเทียนหยวน แต่พอได้ฟังคำก็กำหมัดคารวะ “ศิษย์อู้เฟยนิกายอั้นหมัว”
“พวกเจ้าเรียกข้าทำไม” เยี่ยเทียนหยวนเลิกคิ้ว
นักพรตผิงชวนรีบตอบ “ลั่วหยางเจินจวินอาจจะยังไม่ทราบ เพราะว่าแม่น้ำอิ้งสยาเป็นทางเข้าแดนสวรรค์มี่หลัวตู ด้วยเหตุนี้หลายปีที่ผ่านมา ผู้บำเพ็ญเพียรจากที่ต่างๆ จึงสลับสับเปลี่ยนกันส่งผู้บำเพ็ญเพียรมาเฝ้าที่นี่ ครั้งนี้เป็นหน้าที่ของศิษย์สองคนคุ้มกัน”
“อ้อ” เยี่ยเทียนหยวนรับคำหนึ่ง ก้าวเท้าอ้อมคนทั้งสองไป ดาบอัคคีม่วงในมือยกขึ้น
ศิษย์ทั้งสองพลันชะงักไป สบตากัน ฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เจินจวินผู้นี้เข้าใจความหมายของพวกเขาหรือไม่
หรือได้ฟังว่าที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสามฝ่ายสลับกันเฝ้า ไม่ควรเอ่ยว่ามาผิดแล้วจากไปหรือ กลับก้าวเท้าเข้ามาอีก
นี่ นี่มันไม่ถูกต้องตามที่ควร!
เยี่ยเทียนหยวนเห็นสองคนก้าวเข้ามา ขมวดคิ้ว “ทำไม มีเรื่องอันใดกัน”
“ไม่มีอันใด” ศิษย์ทั้งสองถูกปราณเย็นสาดใส่ พลันตระหนักได้ จึงตอบกลับ
เยี่ยเทียนหยวนยิ้ม “อืม ไม่มีอะไรก็ดี พวกเจ้าไปทำธุระเถอะ!”
ยามเมื่อรอยยิ้มเสมือนน้ำแข็งหิมะ อยู่เบื้องหน้าทั้งสอง ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาพวกเขาได้สติแจ่มแจ้ง ครั้นเห็นดาบอัคคีม่วงในมือเยี่ยเทียนหยวนยาวขึ้นเรื่อยๆ จึงรีบร้อนร่ำร้องว่า “เจินจวินมิอาจทำเช่นนี้!”
เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเย็นชา ไม่ใช่ตีหน้าเย็นชาจริงๆ แต่เพราะความเคยชินตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทว่าสิ่งที่เขาสนใจอยู่ในตอนนี้ก็คือมั่วชิงเฉินที่มิได้ออกจากแดนสวรรค์ตามกำหนดเวลา ทั้งถูกผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณรบเร้าพัวพัน เกิดความหงุดหงิดอยู่บ้าง สีหน้าขรึมเอ่ยว่า “สรุปพวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่!”
เขาตีหน้าขรึม คนทั้งสองถูกแช่เย็นจนแข้งขาสั่นเทิ้ม ฟันกระทบกันจนเกิดเสียง
นักพรตผิงชวนปลุกปลอบความกล้าเอ่ยว่า “เจินจวิน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่แดนสวรรค์เปิดออก ไม่อนุญาตให้เข้าไป”
นักพรตอู้เฟยด้านข้างเสริมขึ้นอีกว่า “อาศัยกำลังของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนเดียว ไม่อาจเปิดทางเข้าแดนสวรรค์ได้”
เยี่ยเทียนหยวนเลิกคิ้ว “สรุปคือไม่อนุญาตให้เข้าไปหรือเข้าไปไม่ได้กันแน่”
“ไม่อนุญาต” ทั้งสองตอบพร้อมกัน ทั้งยังเอ่ยต่อว่า “และเข้าไปไม่ได้”
“ใครบอกว่าข้าเข้าไปไม่ได้” เยี่ยเทียนหยวนรู้สึกว่าถูกดูแคลนอย่างยิ่ง
“ลั่วหยางเจินจวิน ผู้เยาว์มิกล้าเอ่ยเหลวไหล นี่คือปากทางเข้าแดนสวรรค์ อย่างน้อยต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสี่คนร่วมแรงกันจึงเปิดออกได้” นักพรตผิงชวนเอ่ย
เยี่ยเทียนหยวนไม่มองคนทั้งสองอีก น้ำเสียงนิ่งสงบกล่าว “ข้าคนเดียวก็เข้าไปได้”
ขณะเขาเอ่ยดาบอัคคีม่วงในมือยาวขึ้นราวสิบจั้ง แสงสีม่วงฉายแสงบนดาบ ฟันลงไปที่ผิวแม่น้ำอิ้งสยาเข้าอย่างจัง
เสียงน้ำดังขึ้น แม่น้ำอิ้งสยาม้วนตลบขึ้นมากลายเป็นม่านน้ำตกผืนหนึ่ง เยี่ยเทียนหยวนมองคนทั้งสองคราหนึ่ง สาวเท้ากว้างเดินเข้าไป
นักพรตอู้เฟยสีหน้าตะลึงงัน “ขะ…เขาเข้าไปคนเดียวแล้วหรือ”
นักพรตผิงชวนพยักหน้าอึ้งๆ “ถูกแล้ว เขาคนเดียวก็เข้าไปได้…แย่แล้ว ขะ เขาเข้าไปได้อย่างไรกันเล่า!”