ขณะที่หานลี่กำลังจับจ้องพร้อมกับลำแสงสีฟ้าวาววาบในแววตา ไข่มุกลมราวกับผลึกวารีเม็ดนั้นก็เปล่งแสนสีขาวพร่างพราวหายวับไปจากไอสีเขียว

 

 

มาตรว่าใช้อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณกระจ่างก็ไม่อาจสืบหาร่องรอยได้

 

 

หานลี่ใจหายวาบแผ่จิตสัมผัสทั้งหมดออกไปอย่างร้อนรน ครอบคลุในรัศมียี่สิบสามสิบจั้งเอาไว้

 

 

เขาไม่อยากถูกเข้ามาประชิดตัวโดยที่ไม่ทันตั้งตัวแล้วถูกลอบโจมตี แม้นว่าความเป็นไปได้เช่นนี้จะมีความเป็นไปได้ต่ำ แต่ก็ต้องระวังไว้

 

 

หานลี่เอียงศีรษะกวาดสายตาไปยังหยวนเหยาและสตรีทั้งสองที่อยู่ใกล้แค่คืบปราดหนึ่ง แล้วเสมองไปยังฉากการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกลนัก พลางกำไข่มุกอัสนีในมือแน่นขึ้นสองสามส่วน

 

 

มาตรว่าเขาจะผ่านคลื่นพายุมามากมาย ครานี้ก็ยังรู้สึกหวั่นใจ

 

 

หานลี่รู้ดีว่า หากปรากฎกายช่วยคนแล้วจะมีโอกาสให้ลงมือเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

 

 

ถ้าหากล้มเหลววิหารแห่งนี้ก็จะเป็นสถานที่ที่เพลี้ยงพล้ำของเขา การฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักมาพันกว่าปีก็ล้มเหลว

 

 

ความรู้สึกแขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นนี้ ทำให้หัวใจของหานลี่เต้นระรัวอย่างไม่อาจควบคุมได้

 

 

ครานี้มู่ชิงและหญิงงามผมขาวที่อยู่ไกลออกไปได้ลงมือโจมตีเขตอาคมสีดำที่อยู่กลางอากาศแล้ว

 

 

ส่วนหุ่นเชิดธาตุทองเจ็ดตัวที่ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตอัญเชิญออกมานั้น ก็กำลังต้านทานอยู่ด้านหน้าทั้งสองคนโดยทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน ส่วนหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตนั้นดวงตาทั้งหกพลันกลอกไปมา ยืนอยู่ด้านข้างหุ่นเชิดไม่ไหวติง

 

 

เห็นเพียงทุกย่างก้าวของหญิงงามในเมฆทะมึน ย่อมมีเสียงกรีดร้องของภูตผีดังขึ้น หลังจากหมุนวนโคจรรอบหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะมีกรงเล็บโครงกระดูกภูตสีขาวข้างหนึ่งยื่นออกมา

 

 

กรงเล็บภูตนี้แค่ตะปบออกไปกลางอากาศ

 

 

ลูกบอลลำแสงสีเทาก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้ว มีขนาดเท่าไข่ไก่ ทะลักออกไปกลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง

 

 

ส่วนมู่ชิงนั้นดอกไม้มายารอบด้านพลันหมุนวน แล้วจมหายเข้าไปในร่างอย่างพร้อมเพรียง

 

 

ท่ามกลางลำแสงวิญญาณที่กำลังเปล่งแสงระยิบระยับ สตรีผู้นั้นอ้าปากออกอย่างช้าๆ พ่นเสาลำแสงสีเขียวสายหนึ่งออกมา

 

 

เสาลำแสงเสานี้เป็นสีเขียวมรกตเข้มข้นราวกับอำพัน ดูแล้วพิสดารมาก

 

 

หลังจากที่การโจมตีทั้งสองชนิดสว่างวาบแล้วหายไป ก็มาอยู่ด้านล่างเขตอาคมลำแสงสีดำ

 

 

ลูกบอลลำแสงสีเทาทยอยกันกระพริบวาบ ส่วนเสาลำแสงสีเขียวมรกตก็โจมตีไปยังใจกลางของเขตอาคมอย่างเงียบเชียบ

 

 

เงาร่างมนุษย์ของอสูรอเวจีอัสนีทั้งสองตนที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนั้น แววตาพลันมีจิตสังหารฉายวาบผ่าน สองมือร่ายรำกระตุ้นเขตอาคมลำแสงสีดำกลางอากาศ

 

 

เสียง “ตูมๆๆ” ดังสนั่นขึ้น ใจกลางของเขตอาคมลำแสงมีวายุสีดำพัดโชยออกมา

 

 

พายุลูกนี้รุนแรงเป็นพิเศษดุจมีดดาบ และยิ่งไปกว่านั้นในพายุยังมีผลึกลำแสงเปล่งแสงสว่างจ้า เม็ดทรายแวววาวสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปะปนอยู่ในนั้น

 

 

คราที่เม็ดทรายในพายุและลูกบอลลำแสงในเสาลำแสงสัมผัสกันก็ระเบิดตูมออกมา ลำแสงหลากสีกระพริบวาบอยู่ใต้เขตอาคมไม่หยุด

 

 

ครู่ต่อมาหมอกลำแสงสีเทาเขียวกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัว ต้านทานอยู่เบื้องล่างเขตอาคมลำแสงสีดำ

 

 

ครานั้นทั้งสองฝ่ายต่างยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

 

 

แต่จากพายุสีดำที่ทะลักออกมาไม่หยุด เม็ดทรายสีดำกลางพายุก็เปลี่ยนเป็นสีดำอนธการ กดหมอกลำแสงสีเขียวจนเกิดเป็นเสียงกึกๆ ไม่หยุด ค่อยๆ ลดระดับลง

 

 

มู่ชิงเห็นเช่นนั้น ใบหน้าพลันมีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน มือหนึ่งโบกสะบัด กิ่งไม้กิ่งเล็กปรากฏขึ้นในมือ

 

 

เจ้าสิ่งนี้มีความยาวแค่สามฉื่อ มีใบไม้สีเขียวอ่อนงอกออกมาอยู่สองสามใบ แต่กลับเต็มไปด้วยไอวิญญาณ ไม่มีท่าทีเ**่ยวเฉาเลยแม้กระผีกริ้น

 

 

โยนกิ่งไม้กิ่งนี้ขึ้นไปกลางอากาศ ลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งสาดออกมา ชั่วพริบตากิ่งไม้กิ่งนั้นก็กลายเป็นต้นไม้สีเขียวมรกตต้นหนึ่ง มีใบไม้สีเขียวชอุ่ม กระพริบแสงระยิบระยับ ราวกับสร้างขึ้นจากหยกงามที่นำมาแกะสลักอย่างไรอย่างนั้น

 

 

มู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึม ก้มหน้าลงร่ายคาถาสองสามคำ

 

 

ลำต้นของต้นไม้ขยายใหญ่ขึ้น กิ่งก้านแตกแขนงออกไป หมุนคว้างรอบหนึ่ง ใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาจากต้นไม้จนเป็นเงาสีเขียวมรกต ทยอยกกันเข้าร่วมการโจมตีกลางอากาศอย่างหนาแน่น

 

 

ดูแล้วอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก!

 

 

“สหายมู่มีอิทธิฤทธิ์ประเสริฐนัก!” เสียงตกตะลึงระคนดีใจของหญิงงามผมขาวดังออกมาจากหมอกสีดำทะมึน

 

 

“หึสหายหลัน เจ้าก็ควรจะแสดงฝีมือได้แล้วกระมัง ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความสามารถแค่นี้!” มู่ชิงกลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา

 

 

“หึๆ…” เสียงหัวเราะแผ่วเบาของหญิงสะคราญดังออกมาจากหมอกทมิฬ จากนั้นเสียงกรีดร้องยาวๆ ของราชันย์ภูตทั้งแปดตัวก็ดังออกมา ไอทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนวนแล้วรวมตัวกันที่ใจกลาง ด้านในมีเงาภูตกระพริบวาบอย่างต่อเนื่อง เสียงร้องคร่ำครวญดังสนั่น

 

 

ครู่ต่อมาเมฆทมิฬพลันสลายตัวออก

 

 

เงาร่างยักษ์ใหญ่ตนหนึ่งพุ่งออกมาจากเมฆหมอก

 

 

เงาร่างนี้สูงประมาณเจ็ดแปดจั้ง เรือนกายสวมชุดเกราะโบราณสีดำสนิท มือหนึ่งถือค้อนยักษ์เอาไว้เต้าหนึ่ง

 

 

ผิวของเกราะสงครามมีหนามแหลมสีดำยาวสองสามฉื่ออยู่เต็มไปหมด สลักลวดลายลึกลับสีเงินเอาไว้

 

 

ส่วนค้อนเต้านั้นก็มีรูปร่างพิสดาร เป็นสีดำสนิทเช่นกัน แต่ผิวของมันกลับมีหัวกะโหลกสีขาวโพลนแปดหัวฝังอยู่ หัวกะโหลกเหล่านี้ขยับไปมาอยู่บนค้อน อ้าปากเปล่งเสียงร้องโศกเศร้าออกมา พ่นไอสีดำออกมาเป็นสายๆ ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน

 

 

คนผู้นี้ก็คือร่างแปลงยักษ์ของหญิงสะคราญผมขาว ส่วนหัวกะโหลกทั้งแปดบนค้อนก็คือร่างแปลกของราชันย์ภูตเกราะทมิฬทั้งแปด

 

 

มู่ชิงเห็นสภาวะการณ์เช่นนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี

 

 

แต่ไม่รอให้นางได้เอ่ยปากถามอะไร หญิงงามสะคราญผมขาวก็มีสีหน้าเ**้ยมโหด สะบัดค้อนประหลาดในมือโยนขึ้นไปกลางอากาศ

 

 

จากนั้นสองมือของนางก็บิดเป็นอาคมประหลาดๆ

 

 

ชั่วขณะนั้นค้อนยักษ์พลันหมุนวนว หัวกะโหลกทั้งแปดเปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา อ้าปากออกอีกครั้ง ไอทมิฬหมุนวน พ่นเปลวเพลิงสีเขียวแปดกลุ่มออกมา ม้วนไปกลางอากาศ

 

 

ครานั้นเพลิงทมิฬ เงาสีเขียวมรกตพลันซ้อนกันเป็นชั้นๆ ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า กำลังจะทลายเขตอาคมลำแสงสีดำออกไปอยู่บนยอดของท้องฟ้าอีกครั้ง และอาจจะถูกม้วนกลับไป

 

 

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้อสูรอเวจีอัสนีสองตนกลัยไม่อนาทรร้อนใจเลยสักนิด ทั้งสองแค่เปล่งเสียงร้องแหลมๆ ไปกลางอากาศสองสามครั้ง ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นสองสามส่วน จากนั้นแขนทั้งสี่ก็ชูขึ้นด้านบนพร้อมกัน

 

 

หลังจากเสียงอัสนีฟ้าฟาดดังขึ้นสองสามครั้ง เส้นไหมสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง ไล่ไปตามลำแขนทั้งสี่ข้าง กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินขนาดยักษ์สายหนึ่งดีดตัวออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเขตอาคมลำแสงสีดำ

 

 

ชั่วพริบตาท่ามกลางเขตอาคมลำแสงพลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น เขตอาคมลำแสงเปล่งแสงถี่กระชั้น ขนาดขยายใหญ่ขึ้นกว่าครึ่ง เม็ดทรายที่ทะลักออกมาจากด้านในก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า

 

 

คาดไม่ถึงว่าเขตอาคมลำแสงสีดำจะกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบในพริบตา กดเงาเหล่านั้นลงไปอีกครั้ง

 

 

หญิงงามผมขาวและมู่ชิงพลันตะลึงงัน ทั้งสองร่ายอาคมอีกครั้งอย่างร้อนรน!

 

 

คนหนึ่งอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา อีกคนหนึ่งแหงนหน้าแผดเสียงกรีดร้องด้วยความเกรี้ยวโกรธออกมา พลังปราณทั่วร่างของพวกนางพุ่งสูงขึ้น กระตุ้นสมบัติกลางอากาศ

 

 

ต้นไม้สีเขียวมรกตและค้อนพิสดารปล่อยเงาสีเขียวมรกตและเปลวเพลิงโหมกระพือบินออกมา แล้วถึงได้พอทัดทานเขตอาคมลำแสงสีดำได้

 

 

แต่เขตอาคมลำแสงนี้ยังคงกดลงมาทีละชุ่นๆ

 

 

หญิงงามผมขาวและมู่ชิงหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่

 

 

เขตอาคมนี้ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง พวกนางไม่อาจต้านทานได้

 

 

มู่ชิงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง หันหน้าไป หุ่นเชิดสีม่วงโลหิตที่อยู่ด้านข้างพลันร้องตะโกนออกมา

 

 

“สหายตี้เสวี่ย เจ้าเองก็รีบลงมือเถิด หากเจ้าสิ่งนี้ทับลงมาจริงๆ ก็จะยุ่งกันใหญ่” ผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตในหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตไม่ได้ตอบรับอะไร แต่หุ่นเชิดธาตุทองเจ็ดตัวนั้นที่แต่เดิมเรียงแถวปกป้องสตรีทั้งสองอยู่ก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นลำแสงหลีกหนีเจ็ดสาย พุ่งออกไปหาอสูรอเวจีอัสนีสองตนที่อยู่กลางอากาศ

 

 

ดูแล้วตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยคงรู้ดีว่า แม้ว่าเขตอาคมลำแสงสีดำจะทรงพลัง แต่หากไม่มีอสูรสองตนคอยควบคุม อานุภาพก็ย่อมลดลงเป็นอย่างมาก

 

 

หุ่นเชิดทั้งเจ็ดตัวไม่จำเป็นต้องสู้กับอสูรทั้งสองตรงๆ ขอแค่ก่อกวนให้พวกมันไม่มีสมาธิก็ได้แล้ว

 

 

เมื่อลำแสงหลีกหนีสีทองเจ็ดสายเข้าประชิดอสูรอเวจีอัสนีร่างมนุษย์ทั้งสอง สายตาน่าขนลุกสี่สายาก็กวาดมาทางพวกมัน อาคมที่ร่ายอยู่ในมือทั้งสองพลันเปลี่ยนไป

 

 

ฉับพลันนั้นด้านหลังของทั้งสองก็มีหลุมยักษ์สีดำปรากฎขึ้น เส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้ง

 

 

อสูรอเวจีอัสนีสองตัวร่างกายพลิ้วไหว ร่างเลือนรางลงแยกออกเป็นสองส่วนทันที แยกกันลอยอยู่สองฝั่งของหลุมดำ ตรงใจกลางมีเสียงอึกทึกดังขึ้น พ่นหมอกลำแสงสีดำสนิทออกมา

 

 

กวาดไปราวกับสายฟ้า ปกคลุมหุ่นเชิดทั้งหมดเอาไว้ข้างใน

 

 

 ฉากที่น่าตกตะลึงพลันปรากฎออกมา

 

 

หุ่นเชิดเจ็ดตัวเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ สลายหายไปท่ามกลางม่านลำแสง

 

 

ครู่ต่อมาขอบของหลุมดำพลันมีลำแสงวิญญาณสว่างวาบ หุ่นเชิดเจ็ดตัวปรากฎออกมา

 

 

พวกมันล้วนถูกหมอกลำแสงปกคลุมเอาไว้ ชั่วครู่ก็ถูกดึงเข้าไปในหลุมดำ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

มู่ชิงและพวกกลับสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง

 

 

อสูรอเวจีอัสนีสองตนร้องคำรามต่ำๆ ออกมาอย่างพึงพอใจ จากนั้นแขนขาพลันร่ายอาคม หลุมดำลางเรือนลง แล้วหายวับไป

 

 

ในร่างของหุ่นเชิดสีม่วงโลหิตมีเสียงกู่คำรามด้วยความเกรี้ยวโกรธของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตดังขึ้น

 

 

หัวไหล่ของหุ่นเชิดมีลำแสงสีโลหิตสว่างวาบ เงาลวงตาของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตปรากฎขึ้นอีกครั้ง

 

 

เห็นได้ชัดว่าการที่หุ่นเชิดทั้งเจ็ดตัวหายไปอย่างแปลกประหลาดนั้น ทำให้โทสะของคนผู้นี้ปะทุ

 

 

เขาใช้มือหนึ่งลูบท้ายทอยโดยไม่ได้ปริปากใดๆ ฉับพลันนั้นไอโลหิตพลันหมุนวนทะลักออกมา ผนึกรวมกันที่เบื้องหน้า ลูกบอลอัสนีขนาดยักษ์ลูกหนึ่งปรากฎออกมา

 

 

แขนของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตสะบัด ดูเหมือนว่าหมายจะกระตุ้นการโจมตีของเจ้าสิ่งนี้ใส่อสูรอเวจีอัสนี

 

 

แต่ในตอนนั้นเอง มู่ชิงพลันหันไปมองรอบๆ แล้วร้องตะโกนออกมา

 

 

“ผู้ใดอยู่ตรงนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้!” การเคลื่อนไหวในมือของสตรีผู้นั้นรวดเร็วกว่าคำพูดหลายส่วน แขนเสื้อสะบัด เส้นไหมสีเขียวพุ่งแหวกอากาศออกมา เปล่งแสงสว่างวาบโจมตีไปกลางอากาศทางด้านนั้น

 

 

เสียงร้องอุทานว่า “เอ๋” ดังขึ้น จากนั้นเสียงปังพลันดังขึ้น ไอสีเขียวกลุ่มหนึ่งระเบิดออก

 

 

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ชั่วพริบตาเส้นไหมสีเขียวก็ทะลวงผ่านไอสีเขียว แต่กลับว่างเปล่า

 

 

และครู่ต่อมาเหนือมู่ชิงก็มีระลอกคลื่นที่อ่อนแอปรากฎขึ้น ไข่มุกกลมเม็ดวาวปรากฎขึ้น

 

 

ชั่วพริบตาที่เจ้าสิ่งนี้ปรากฎตัว ก็หมุนคว้าง เปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าจนสบตา ทำให้ผู้คนอดที่จะหลับตาทั้งสองลงไม่ได้ ไม่อาจมองสบตาตรงๆ ได้

 

 

เสียงไพเราะดังขึ้น ผิวของไข่มุกกลมเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปท่ามกลางลำแสงสีขาว ลางเลือนไปคาดไม่ถึงว่าจะมีเงาร่างคนสองสายปรากฎออกมา สายหนึ่งสีขาวนวล นายหนึ่งสีทองอ่อน

 

 

เงาร่างมนุษย์สีทองอ่อนสายนั้นชูมือขึ้นในทันที

 

 

สายรุ้งสีเงินสายหนึ่งกรีดร้องและพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบมาถึงเหนือศีรษะของมู่ชิง ลำแสงอ่อนแสงลงแล้วร่อนลงมาด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้า

 

 

สายรุ้งสีเงินสายนั้นคือมีดสีเงินที่เปล่งแสงเจิดจ้าราวกับกระจกเล่มนั้น

 

 

นั่นก็คือมีดเบญจมังกร!

 

 

เงาร่างคนสีทองอ่อนสายนั้นก็คือหุ่นเชิดเกราะสีทองตัวนั้น

 

 

แม้ว่าลำแสงสีขาวเจิดจ้าจะทำให้มู่ชิงต้องหลับตาทั้งสองข้างลง แต่จิตสัมผัสที่แผ่ออกไปทำให้รับรู้ทุกสิ่งในระยะยี่สิบสามสิบจั้งอย่างชัดแจ้ง

 

 

ทันใดนั้นสองมือก็ชี้ไปทางมีดสีเงินกลางอากาศด้วยความเยือกเย็นสุขุม

 

 

ชั่วขณะนั้นด้านข้างสมบัติชิ้นนั้นพลันมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎออกมา ตัดสลับกันไปมา ส่วนหนึ่งบินไปปกคลุมมีดสีเงินเอาไว้อย่างแน่นหนา อีกส่วนหนึ่งผนึกรวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นผ้าคลุมสีเขียวผืนหนึ่ง คุ้มกันเอาไว้กลางอากาศ

 

 

มู่ชิงเองก็เป็นผู้เจนโลกมากแผนการ คาดไม่ถึงว่าจะวางเส้นไหมวิญญาณเร้นกายเอาไว้ข้างกายจำนวนมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

 

มิน่าล่ะแม้ว่าหุ่นเชิดเกราะสีทองจะอาศัยอิทธิฤทธิ์พิสดารของภูตอีกตนเข้ามาประชิดก็เผยร่างกายออกมาในทันที ทำให้ความคิดลอบโจมตีนั้นตกไป

 

 

ทว่าอานุภาพของมีดเบญจมังกร ก็เหนือกว่าที่มู่ชิงจินตนาการเอาไว้

 

 

ผิวของมีดสีเงินแค่มีลำแสงเย็นเยียบม้วนเข้ามาก็ห่อหุ้มเส้นไหมสีเขียวเอาไว้ แล้วกลายเป็นหลายท่อน ถูกสับออกเป็นชิ้นๆ

 

 

มีดเล่มนี้ไม่มีท่าทีจะหยุดยั้งแม้แต่น้อย ลำแสงสีเขียวสว่างวาบสับลงไปบนผ้าคลุมสีเขียว