“ไม่ใช่นะคะ” เซียเหว่ยส่ายหัวด้วยความกลัว เธอแทบจะร้องไห้ออกมา “ฉันพยายามทุกทางแล้ว แต่เจ้าอ้วนนั่นอาจจะโง่มากหรือบกพร่องเรื่องความต้องการ เขาไม่แม้แต่จะมองดิฉันเลย”

 

“เหอะ!” เหย่จือโปแสยะยิ้ม “มันไม่แม้แต่จะนึกถึงเธอด้วยซ้ำตอนไปจากซางจิง นี่เธอจะบอกฉันว่าเธอทำงานหนักมา? ล้อเล่นเหรอไง นี่คือความพยายามของเธอแล้วใช่มั้ย?”

 

“เปล่า ไม่ใช่คะท่าน!” เซียเหว่ยนั่งคุกเข่าต่อหน้าเหย่จือโป “อันที่จริงวิธีการของดิฉันดีมาก”

 

พ้ะ!

เท้าข้างหนึ่งของเหย่จือโปถีบเข้าที่หย้าอกของเซียเหว่ยทันที “นังโง่ มัวแต่ใช้วิธีการทำอาหารนะสิ!”

 

เซียเหว่ยที่ถูกถีบไม่แม้แต่จะแสดงอารมณ์ใดๆ หลังจากใช้หลังมือปาดเลือดที่มุมปากออก เธอก็โค้งตัวก้มหัวต่อหน้าเหย่จือโปต่อเหมือนเดิม

 

เหย่จือโปโกรธจัด ถ้ามันไม่ใช่เพราะว่าที่นี้คือบ้านพักของพลโทเฉินช่าวเย่ละก็ เขาคงฆ่าเซียเหว่ยไปแล้วด้วยความโมโห เหย่จือโปพยายามระงับอารมณ์ไว้ในอก หากสายตายังคงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดขณะมองไปที่ชายคนที่นั่งอยู่ถัดไป…พันชางเซียน “เจ้าหน้าที่โลจิสติกส์ของฉัน”

 

“เอ่อออ ครับ” พันชางเซียนรีบผุดลุกขึ้นยืนทันทีต่อหน้าเหย่จือโปพร้อมกับใบหน้าที่บวมเฉ่งจากฝีมือของชูฮัน

 

เหย่จือโปเอนหลังและเปลี่ยนท่านั่งเป็นสบายๆบนโซฟา มองไปที่หน้าพันชางเซียนด้วยท่าทางสนใจ “คุณอ้วนขึ้นเหรอ?”

 

“พัฟ! แค่ก! แค่ก!” ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเหย่จือโปอดไม่ไหวจนหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นไอแทนเมื่อเห็นสีหน้าของเหย่จือโป

 

เหย่จือโปหน้าตึงทันที มันมีแววสังหารอยู่ในสายตาของเขา “จ่าวฮ่าวฮาว เวลาฉันพูด แกควรจะคุมปากตัวเองให้หุบไว้”

 

มีแววตาบางอย่างฉายวูบผ่านนัยน์ตาของจ่าวฮ่าวฮาวก่อนที่มันเปลี่ยนเป็นแววตาแห่งความเคารพก่อนจะตอบเหย่จือโป “ครับ”

 

เหย่จือโปไม่มีความอดทนหรืออารมณ์สุนทรีย์อะไรแล้วในตอนนี้ เขาลุกขึ้นยืนพลางเหลือบมองพันชางเซียนที่หลุบตาหลงพื้น “แกสามารถอ้วนขึ้นได้อีก”

 

พันชางเซียนอึ้งอย่างไม่เข้าใจและได้แต่กัดริมฝีปาก “ท่านเหย่ ผมขอถามได้มั้ยครับว่าผมทำอะไรผิด?”

 

เซียเหว่ยที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นมีสีหน้าเหยียดๆ…ไอ้โง่นี้

 

เหย่จือโปหันไปมองพันชางเซียนเต็มตาและเงื้อมมือขึ้นตบเข้าไปที่หน้าของพันชางเซียนอย่างไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ภายในทีเดียวปากของพันชางเซียนก็มีเลือดซึมออกมาพร้อมกับฟันหลุดจากปาก หน้าที่บวมก่อนหน้านี้อยู่แล้วด้วยฝีมือของชูฮันยิ่งบวมจนน่าเกลียดหนักกว่าเดิม

 

“มีแต่ไอ้หน้าโง่เง่ากันทั้งนั้น!” เหย่จือโปเกรี้ยวกราดขึ้นมา “นี่กูเลี้ยงแต่ขยะไว้เหรอไง มีแต่ไอ้หน้าโง่แล้วยังกล้าเสนอหน้าถามกูอีกเนี่ยนะ?!  กูน่าจะโยนพวกมึงไปอยู่ในพื้นที่ผู้ลี้ภัยซะ!”

 

ทั้งเซียเหว่ยและพันชางเซียนหน้าซีดเผือด หน้าตาบิดเบี้ยวและบวมช้ำกันทั้งคู่หากไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรทั้งนั้น พันชางเซียนมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งหากหลังจากนั้นเขาก็เงื้อมมือขึ้นและเริ่มตบตัวเองอย่างแรงจนเสียงดังลั่น

 

จ่าวฮ่าวฮาวเลิกคิ้วเล็กน้อย อารมณ์ก่อนหน้านี้ของเหย่จือโปทำให้เขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้เท่าไหร่ ตอนนี้แม้แต่พันชางเซียนที่เป็นหัวหน้าควบคุมแผนกโลจิสติกส์ของทั้งค่ายซางจิงเหย่จือโปยังเริ่มไม่พอใจ แล้วเหย่จือโปต้องการทำอะไรต่อไป เขาต้องการควบคุมทั้งซางจิงหรือแม้กระทั่งทั้งจีน?

 

และในขณะที่เสียงตบยังคงดังลั่นอยู่ในที่พักของเฉินช่าวเย่ ความโกรธของเหย่จือโปก็ยากเกินกว่าจะควบคุม จู่ๆมันก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูสองครั้งดังขึ้น ไม่เร่งรีบหรือช้าไป ไม่ดังหรือเบาไป

 

พันชางเซียนรีบหยุดมือตัวเองทันทีพร้อมกับแสดงอาการตระหนกออกมา

 

“เอาทุกอย่างไปซ่อนไว้ข้างบน!” เหย่จือโปกระซิบสั่ง ในใจก็อยู่ในอาการตระหนกเช่นกัน เซียเหว่ยปาดเลือดที่เปื้อนที่หน้าตัวเองออกจนหมด เหย่จือโปบีบคางเซียเหว่ยพร้อมออกคำสั่งอย่างดุดัน “เธอไปที่ประตู และรู้ใช่มั้ยว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด?”

 

เซียเหว่ยพยักหน้าด้วยความเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่ามันมีความกลัวอยู่ในแววตาของเธอ

 

เหย่จือโปมองเซียเหว่ยด้วยสายตาข่มขู่ จากนั้นก็เดินขึ้นไปห้องด้านบนพร้อมกับจ่าวฮ่าวฮาวและพันชางเซียน

 

ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง

 

“โอ้ย รอก่อน” เซียเหว่ยรีบส่งเสียงออกไปก่อน ขณะแต่งหน้ากลบร่องรอยเสร็จพอดี เธอก้าวเท้าเดินออกไปเปิดประตู

 

ผั้วะ!

เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับร่างที่น่าเกรงขามในชุดเครื่องแบบทหารเต็มยศปรากฏต่อหน้าเซียเหว่ยพร้อมกับตราตำแหน่งพลเอกประกายวาวบนหน้าอก!

 

เซียเหว่ยอึ้งค้าง เธอค่อยๆช้อนสายตาขึ้นมาใบหน้าของคนตรงหน้า

 

“อ่า! ท่านพลเอก!” อัตราการเต้นหัวใจของเซียเหว่ยพุ่งไปถึงสองร้อยต่อนาที เธอต้องพยายามอย่างมากที่จะกดอาการตระหนกของตัวเองขณะฝืนยิ้มอย่างสุภาพออกมา “พลเอกตวนเจียงเหว่ย สวัสดียามบ่ายค่ะ”

 

ตวนเจียงเหว่ยมีรอยยิ้มในแววตาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “พลโทเฉินช่าวเย่ไปแล้วใช่มั้ย?”

 

เซียเหว่ยไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนี้ถึงรู้ทุกอย่างเป็นอย่างดี เซียเหว่ยรีบปรับสีหน้าของตัวเองและพยายามหาเสียงที่หาไปของตัวเองให้เจอ “ใช่ค่ะ เขาไปแล้ว”

 

ตวนเจียงเหว่ยหรี่ตามองภายในตัวบ้านด้วยสายตาบางอย่าง “เธอควรจะเชิญฉันเข้าไปนั่งในบ้านไม่ใช่เหรอ?”

 

“อ่า ขอโทษค่ะท่าน!” เซียเหว่ยรีบหลบทาง “ได้โปรดเชิญคะ”

 

ทันใดนั้นตวนเจียงเหวยก็ลอบยิ้มมุมปาก “ไม่เป็นไร ฉันจะไปจากซางจิงในเร็วๆนี้”

 

เซียเหว่ยเงยหน้าขึ้นมามองตวนเจียงเหว่ยด้วยสายตาไม่เข้าใจ คนที่บอกว่าอยากจะเข้าไปนั่งในบ้านก็คือเขาเองแต่สุดท้ายกลับบอกว่าจะไปจากซางจิงเร็วๆนี้?

 

“ฉันแค่แวะเข้ามาเพื่อบอกประโยคที่พลโทเฉินช่าวเย่ฝากมาให้เธอ” รอยยิ้มบนใบหน้าของตวนเจียงเหว่ยดูสวยงามาก ถ้าเฉินช่าวเย่อยู่ที่นี้เขาคงแปลกใจที่เห็นตวนเจียงเหว่ยยิ้ม โดยเฉพาะรอยยิ้มที่เหมือนกับชูฮัน

 

“พลโทเฉินช่าวเย่ฝากมาเหรอคะ?” ความประหลาดใจบนใบหน้าของเซียเหว่ยไม่ใช่การเสแสร้ง หลังจากเฉินช่าวเย่ไปแล้ว ตวนเจียงเหว่ยยังจะฝากคำพูดไว้?

 

“ถูกต้อง” ตวนเจียงเหว่ยเอามือล้วงไว้ในกระเป๋ากางเกงพลางพูด “เขาบอกว่าระหว่างนี้ให้เธอทำอาหารเตรียมไว้สักสองสามร้อยจานก็ดี และรอเขากลับมากิน”

 

ทันใดนั้นเซียเหว่ยก็มีสีหน้าอึมครึมทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น หากเธอไม่สงสัยอะไรในคำพูดของตวนเจียงเหว่ย แน่นอนว่าคำพูดโง่ๆแบบนี้มันเป็นของไอ้อ้วนเฉินช่าวเย่แน่ๆ มีแต่เรื่องกิน กิน กิน อยู่อย่างเดียว

 

“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ลาก่อน” ตวนเจียงเหว่ยกล่าวพร้อมกับหมุนตัวเดินจากไป

 

เซียเหว่ยมองตามตวนเจียงเหว่ยที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ปิดประตูและรีบขึ้นไปด้านบนทันที เฉินช่าวเย่ ไอ้ปัญญาอ่อน ตะกละตะกลาม ขณะไปแล้วยังคิดแต่เรื่องกิน

 

มันก็แค่เซียเหว่ยไม่รู้เลยว่าหลังจากเธอปิดประตูแล้วตวนเจียงเหว่ยที่หันหลังเดินไปก็เผยรอยยิ้มออกมา เขาเห็นว่าที่คางของเซียเหว่ยมีรอยช้ำที่พยายามปกปิดอยู่…

 

เขาตั้งใจมาที่นี้เพื่อมาดูลาดเลาและก็ได้เห็นความจริงของเซียเหว่ย มันมีด้วยเหรอที่พลเอกต้องมาหาพลโทถึงที่? เขาไม่รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเซียเหว่ยจะรู้ตัวมั้ยว่าทำทุกอย่างพลาดเพราะควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ได้

 

ตั้งแต่ที่ซางจิงถูกชูฮันปั่นป่วนจนวุ่นวายไปหมด แน่นอนว่าตวนเจียงเหว่ยก็จะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปและมันจะต้องวุ่นวายมากมากขึ้นอย่างแน่นอน