ตอนที่ 883 ไม่สร้างสรรค์

Elixir Supplier

883 ไม่สร้างสรรค์

จงหลิวชวนส่ายหน้ายิ้มๆและดื่มชาต่อ

“นายได้คําตอบจากเขารึยัง?” “อืม ฉันได้มาเยอะเลยล่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด“นายได้อะไรมาบ้าง?”

“เรื่องพลังฉี ฉันยังถือว่าห่างไกลจากศิษย์พี่มาก” เลี้ยจื้อจายถอนหายใจ

เขาบอกเล่าเหตุการณ์ตอนที่เขาไปบ้านของจงหลิวชวนให้หูเหมยฟัง

“ฟังจากที่นายพูดมา ถือว่าช่องว่างกว้างมาก ดูเหมือนนายต้องฝึกให้หนักกว่านี้แล้วนะ”หูเหมยพูดกลั้วหัวเราะ

“แน่นอน ฉันต้องฝึกให้หนักขึ้น แล้วเย็นนี้ทําของกินอร่อยๆสักสองสามอย่างนะศิษย์พี่จะมากินข้าวกับเราด้วย”

“ได้สิ”

“เราโทรไปชวนเชียนเชิงให้มากินด้วยกันดีไหม?”

“ดีสิ”

ภายในคลินิก หวังเย้ากําลังรักษาชายวัยกลางคนอยู่ เขามีอายุอยู่ในช่วงสี่สิบเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชั้นดีแต่ไม่ได้ทําให้เขาดูดีขึ้นเท่าไหร่แววตามืดมัวดูไม่มีเรี่ยวแรงและยังหายใจล่าบากเล็กน้อย

“นี่ หมอหวังผมไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไรแต่ผมนอนไม่ค่อยหลับเลย ผมไม่อยากอาหารแล้วยังรู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลาด้วย”

หวังเฝ้ามองอีกฝ่ายและยิ้ม

“อะไรที่เป็นสาเหตุของอาการป่วยของคุณ? คุณไม่รู้จริงๆเหรอครับ?”

“เอ่อ สาเหตุเหรอ?” เขาถามด้วยท่าที่ลังเล

“คุณมีเพศสัมพันธ์ติดต่อกันมากเกินไป หรือพูดอีกอย่างก็คือ คุณปล่อยตัวไปกับเรื่องความใคร่มากเกินไปจนส่งผลต่อไตและร่างกายดังนั้นเป็นธรรมดาที่คุณจะรู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีแรง” หวังเย้าพูด

“เอ่อ อ่า…” คําพูดตรงไปตรงมาของหวังเย้าทําให้เขารู้สึกอับอายเล็กน้อย

เขาเพิ่งรับเลขาเข้ามาทํางานใหม่ เธออายุ 22 ปี ทั้งสวยและหุ่นดี เธอเรียกเขาว่า “พี่ชาย”เพื่อยั่วยวนเขา เขาจึงมีอะไรกับเธอทุกคืน อย่างที่รู้กันว่ามีแค่วัวเท่านั้นที่เหน็ดเหนื่อยส่วนแปลงนาที่ถูกไถหว่านจะเหนื่อยได้ยังไง? ด้วยอายุของเขาถึงเขาอยากจะมีอะไรกับเธอให้มากเท่าที่จะมากได้แต่เขาก็ทําไม่ไหวเขาจําเป็นต้องใช้ยาเข้าช่วยนางฟ้าตัวน้อยก็ช่างยั่วยวนและทําให้เขาไม่อยากหยุด ตลอดหนึ่งเดือนกว่าที่เขาร่วมรักกับเธออย่างหนักหน่วงทําให้แม้แต่ยากระตุ้นก็ไม่ได้ผลอีกต่อไปเขารู้สึกได้ว่ามันไม่ได้ผลเขาจึงต้องมาพบหวังเย้า

“แล้วผมต้องทํายังไง?”

“ง่ายมากครับ ต้องงดครับ สักหนึ่งเดือนคุณก็จะดีขึ้นเอง” หวังเย่าพูด

“หา หนึ่งเดือน?” เขาตกใจ

เขาเสพติดไปแล้ว ถ้าวันหรือสองวันอาจเป็นไปได้ แต่หนึ่งเดือนเขาคงทนไม่ไหว

“เอ่อ หมอหวัง ผมได้ยินมาว่าฝีมือการรักษาของหมอดีมาก” เขาพูด“ผมสามารถหายได้โดยไม่ต้องงดได้ไหม?หมอสบายใจเรื่องเงินได้เลยนะ”

หวังเย้าจ้องหน้าอีกฝ่าย

“คุณอยากให้ม้าวิ่ง แต่ไม่อยากให้มันกินหญ้าเพิ่ม มันไม่สมเหตุสมผลครับมันทําแบบนั้นไม่ได้หรอก”

หวังเข้าไม่ชอบที่ต้องพูดกับคนแบบนี้ คนที่ไม่สนใจสภาพร่างกายของตัวเองและเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความใคร่

“เอาล่ะ คุณกลับไปได้แล้ว” หวังเข้าโบกมือไล่อีกฝ่าย

“หา ไม่สิ หมอหวัง ลองคิดดูอีกที มันมียาอยู่ใช่ไหม?” เมื่อเห็นหวังเย้าพยายามไล่เขาให้กลับไปเขาก็มีท่าทางกังวล

“ยา? ไม่มียาแบบนั้นหรอกครับ”

เขามียาแบบนั้นอยู่ แต่เขาไม่มีทางมอบมันให้กับคนแบบนี้แน่

“ไม่นะ”

“มันสายมากแล้ว เชิญกลับไปได้แล้วครับ” หวังเย้าพูด

“ก็ได้ หมอหวัง”

หลังจากที่เขาเดินออกมาจากคลินิกแล้ว เขาก็หันกลับไปมอง “อวดดีจริงๆ”ในตอนที่เขาพูดพึมพําอยู่นั้นเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้นและมีดินทรายติดอยู่เต็มปาก

“ใครมันทําฉัน?” เขารู้สึกได้ว่ามีคนผลักจนทําให้เขาล้มลงไป

เขาลุกขึ้นและมองไปรอบๆ ชายคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลและกําลังจ้องมองมาทางเขานิ่งๆ

“แกเป็นใคร?”

“แล้วแกเป็นใคร? เมื่อกี้แกพูดว่าอะไร?” เจี้ยจื้อจายถาม เมื่อเขาเดินมาถึงคลินิกเขาก็เห็นอีกฝ่ายถ่มน้ำลายไปทางคลินิก เขาทนไม่ได้จึงเข้าไปผลักให้อีกฝ่ายล้มลงไป

เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างอยู่ในปาก เขาจึงถ่มน้ำลายทิ้ง

“แกเป็นใคร?” เขาเพิ่งเก็บกดความโกรธออกมาจากคลินิก ตอนนี้เขาจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปและต้องการปลดปล่อยความโกรธของเขา

เพี้ยะ! เขาหมุนตัวสามตลบก่อนจะกลิ้งเกลือกอยู่ที่พื้น

“ก่อนออกมา แกกินมูลมาเหรอ? ปากแกเหม็นมาก!”

“หนอย แก” เขาลุกขึ้นยืนและตัวแข็งที่อ

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ในปากของเขายังมีอะไรบางอย่างอยู่ เขาได้กลิ่นเลือดจากปากของเขา

เขาถ่มน้ำลายออกมาเป็นเลือดและมีฟันของเขาหลุดออกไปด้วย

“ฟันฉัน! ฟันฉัน!”

“อ่อ ก็แค่ฟันซี่เดียว ถ้าแกยังพูดมากอีก จะไม่ใช่ฟันแค่ซี่เดียวแน่” “แก แก…” เขาพยายามพุ่งไปข้างหน้าพร้อมด้วยกําปั้น“ไป!”

พลังฉีรอบตัวเจี้ยจื้อจายเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ชายคนนั้นรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมามันราวกับว่าสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นปีศาจหรือสัตว์ร้าย

“แล้วแกจะได้เห็นดีกัน!”เขาหันหลังวิ่งออกไป

“พูดแบบนี้อีกแล้วเหรอ? ไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย!” เจี้ยจื้อจายมองอีกฝ่ายที่วิ่งหนีไป

เขาผลักประตูคลินิกให้เปิดออก

“เชียนเชิง”

“เมื่อกี้เถียงอยู่กับใครเหรอครับ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม ถึงเขาจะนั่งอยู่ด้านในแต่ก็ได้ยินเสียงข้างนอกอย่างชัดเจน

“พวกปากเหม็นน่ะครับ”

“อ่อ ผู้ชายที่ใส่สูทกับรองเท้าหนัง รูปร่างท้วมกับดูไม่ค่อยมีแรงใช่ไหม?”

“ใช่ เป็นเขานั่นแหละ”

“ไม่จําเป็นต้องไปทะเลาะกับเขาหอก หลังจากนี้อีกสามเดือน เขาก็ลุกออกจากเตียงไม่ได้แล้ว”หวังเย้าพูด

“จริงเหรอ? เขาป่วยเป็นอะไรเหรอเชียนเชิง?”

“มันเหมือนกับกระดูกที่ถูกพูดด้วยมีด” หวังเย้าพูด “ยาที่เขากินเข้าไปทําให้ร่างกายของเขาอ่อนแรงเหมือนถูกสูบวิญญาณออกไป”

“อ่อ ผมเข้าใจแล้ว”เจี้ยจื้อจายเข้าใจความหมายที่หวังเย้าต้องการจะสื่อ

“เขาสมควรได้รับมันแล้ว!”

“แล้วมีอะไรเหรอครับ? ทําไมวันนี้ถึงมาหาผมได้?”

“เชียนเชิง เย็นนี้ว่างไหมครับ?ผมอยากเชิญไปกินข้าวที่บ้าน” “เย็นนี้เหรอ?”

“ใช่ครับ”

“ได้ครับ” หวังเย้าพูดในเมื่อเขาไม่มีแผนอะไรอยู่แล้ว เขาจึงตอบตกลงไป

หลังจากคุยกันได้สักพักเจี้ยจื้อจายก็กลับออกไปเขาเดินไปหารถเพื่อจะออกไปซื้อผักสาหรับทําอาหารเย็นนี้ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ดีไปหมดยกเว้นก็แต่เรื่องการหาซื้อข้าวของ

ในตอนที่กําลังขับไปยังทางออกทิศตะวันตกของหมู่บ้าน เขาก็เห็นรถบีเอ็มคนหนึ่งจอดอยู่ที่ทางแยกชายที่นั่งอยู่ในรถกําลังคุยโทรศัพท์อยู่

“โอ้ เป็นเขาอีกแล้ว”เจี้ยจื้อจายหรี่ตาและมองดูป้ายทะเบียนรถ

นี่เป็นรถของชายที่เขาตบไปก่อนหน้านี้

“ใช่ มันเป็นหมู่บ้าน อะไรนะ? ทําไม?”

“หมอหวังที่คุณพูดถึงได้รักษาโรคที่แม่ผมป่วยมานานหลายปีให้หายได้ ผู้อํานวยการเจิ้งคุณไปจ้างคนอื่นแทนดีกว่านะ”
ปีบ สายถูกตัด

“แม่ง!” ชายวัยกลางคนปามือถือใส่พวงมาลัย

หมู่บ้านกลางเขาแห่งนี้ทําให้เขาโมโหอย่างมากเขาถูกตบและยังเสียฟันไปหนึ่งซี่อีกสามซี่คลอนแคลนไปมาเขาไม่เคยโดนกลั่นแกล้งแบบนี้มาก่อนเมื่อขับออกมาจากหมู่บ้านแล้วเขาจึงโทรไปจ้างคนให้มาแก้แค้นแทนเขาแต่เมื่อรู้เป้าหมายที่เขาต้องการให้ไปแก้แค้นทั้งสองแก๊งค์ที่เขาโทรไปก็ปฏิเสธทันที

“ฉันไม่เชื่อ! ฉันจ้างคนข้างนอกก็ได้”

มีคนเคาะหน้าต่างรถ

เขาหันไปมองและเห็นชายสวมแว่นกันแดดคนหนึ่ง “อะไร?” เขาเลื่อนกระจกลงเล็กน้อยและพูดเสียงหัวน

“ตรงนี้ไม่อนุญาตให้จอด แกต้องขับออกไปเดี๋ยวนี้” เลี้ยจื้อจายพูดเสียงเรียบ

“แกเป็นใคร? ถนนมันแคบหรือยังไง? หรือถนนเป็นของแก?” ในตอนนั้นเองที่มือถือของเขาโทรติดพอดี

“นี่ ฉันเอง ช่วยฉันหาคนหน่อยสิ”

“ทําไมแกต้องไปจ้างคนด้วย?” เจี้ยจื้อจายยิ้มแล้วถอดแว่นกันแดดออก

“มันเป็นแก! แกนี่เอง!” ชายวัยกลางคนมือไม้สั่นจนมือถือร่วงลงไป

“ออกมาคุยกันหน่อยสิ” เจี้ยจื้อจายยิ้ม

“ออกไปให้โง่เหรอ!” ชายวัยกลางคนเหยียบคันเร่ง รถบีเอ็มเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

ด้วยสาเหตุบางประการ อยู่ๆรถก็เปลี่ยนทิศทางและชนเข้ากับก้อนหินข้างทาง

ถุงลมทํางานอัดคนที่อยู่ด้านในรถ

“ฉันปล่อยแกไป แต่แกกลับหาเรื่องใส่ตัวเอง”

ประตูถูกเปิดออก เขาพยายามคลานออกมาจากตัวรถ เขาคว้ามือถือเพื่อโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน“เป็นยังไงบ้าง?รู้สึกเจ็บตรงไหนรึเปล่า? นับได้กี่นิ้ว?”เจี้ยจื้อจายยิ้มและชนิ้วให้อีกฝ่ายนับดู

“แก! มันเป็นฝีมือแก!”

“ใช่ ฉันเอง” เจี้ยจื้อจายตอบ “ฉันไม่คุยกับแกแล้ว ฉันยังมีเรื่องให้ต้องทําแกก็รอคอยความช่วยเหลือไปแล้วกันคราวหน้าเวลาขับรถก็ระวังหน่อยล่ะแกตายน่ะไม่เท่าไหร่หรอกแต่ถ้าไปชนคนอื่นเข้า หรือแม้แต่วัว,แกะ ดอกไม้, หรือต้นหญ้าไม่ว่าอย่างไหนก็บาปทั้งนั้น แกเห็นด้วยไหม?”