ภาค 3 บทที่ 152 นั่งเดียวดายหยุดโศกเศร้ายินดี

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เสียงร้องไห้ของเด็กสาวสะท้อนก้องปากทางเข้าหมู่บ้าน 

 

การร้องไห้ครั้งนี้เพราะเสียใจ แต่ไม่ใช่ความเสียใจแบบนั้น ตรงกันข้ามน่าจะเป็นความดีใจ 

 

นางได้จดหมายของอาจารย์มาแล้ว รู้จักอาจารย์ใหม่แล้ว แล้วก็มีความสงสัยมากกว่าเดิม 

 

นางรู้แล้วว่าอาจารย์มีอดีต แล้วก็อยากไปค้นหาอดีตของอาจารย์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะค้นหาอย่างไร คิดไม่ถึงอยู่ดีๆ อดีตของอาจารย์ก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้านาง 

 

นางมาแดนเหนือ นางมาแก้ปัญหาเรื่องหน่อฝี นางถูกองครักษ์เสื้อแพรไล่ล่าจนไม่อาจไม่เดินทางขึ้นเหนือ นางถูกลักพาตัว ที่แท้ทุกสิ่งนี้ล้วนเป็นโชคชะตาจัดการหรือ? 

 

เป็นอาจารย์อยากให้นางเห็นอดีตของเขาหรือ? 

 

ห่วง คนทุกคนล้วนมีห่วงของตนเอง ไม่ว่าตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ 

 

คุณหนูจวินเพียงรู้สึกว่าปวดใจจนไม่อาจควบคุมได้ นอกจากร้องไห้นางก็ไม่รู้ว่ายังทำอะไรได้อีก 

 

มองเห็นนางร้องไห้ บรรดาชาวบ้านที่ล้อมอยู่ก็ไม่รู้ควรทำอะไร กระทั่งหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่กล้าอ้าปากเอ่ยวาจาอีก แต่ละคนๆ ถูมือกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง 

 

“พวกเจ้าบุรุษหลีกไป” ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งได้ข่าวรวมตัวกันมาอีก มองเห็นสถานการณ์นี้ตะโกนทันที 

 

สตรีย่อมมีวิธีการจัดการกับสตรี บุรุษทั้งหลายผ่อนลมหายใจรีบหลีกไป 

 

“คุณหนูจวิน ท่านอย่าร้องไห้ ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่มีเจตนาร้ายจริงๆ” สตรีที่นำหน้าเอ่ยเสียงอ่อนโยน “พวกเราเพียงอยากเชิญท่านมาปลุ……กฝีเท่านั้น” 

 

พวกผู้หญิงคนอื่นรีบร้องรับใช่แล้วใช่แล้ว 

 

“ทำไมยังมัดมือเท้าอยู่อีก?” 

 

พวกนางเอ่ยเสียงชัง ก้าวเข้าไปเจ็ดมือแปดเท้าแก้มัดมือเท้าของคุณหนูจวิน ยังมีคนตบหัวไหล่ปลอบนางด้วย 

 

“เชิญคนมาปลูกฝีก็ไม่ได้เชิญแบบนี้สักหน่อย” บุรุษด้านนั้นรู้สึกว่าวาจาของสตรีทั้งหลายไม่เข้าท่าอยู่บ้าง อดไม่ได้เอ่ยเตือน 

 

พวกผู้หญิงถลึงตามองเขาทีหนึ่ง สายตาล้วนมองไปทางสตรีที่เป็นหัวหน้า 

 

นางหัวเราะแล้ว 

 

“ไม่ปิดบังคุณหนูจวิน พวกเราไม่สะดวกไปในเมือง ดังนั้นได้แต่เชิญคุณหนูจวินมา” นางเอ่ยตรงไปตรงมา 

 

พูดเช่นนี้ใยไม่ใช่ยิ่งทำให้คนหวาดกลัว? คนแบบไหนถึงไม่สะดวก ย่อมเป็นคนร้ายสิ 

 

พวกผู้ชายขมวดคิ้ว ยิ่งกังวลมองไปทางเด็กสาวที่นั่งอยู่บนรถเงยหน้าหลับตาอ้าปากร้องไห้คนนั้น ไม่รู้ว่านาทีต่อไปนางจะนอนลงไปบนพื้นกลิ้งหรือไม่? หลังจากนั้นก็มองเห็นคุณหนูจวินคนนั้นหยุดเสียงนั่งตัวตรง 

 

“ทำไมพวกท่านไม่สะดวกไปเล่า?” นางสะอื้นเอ่ยถาม มองผู้หญิงตรงหน้า 

 

นี่บอกจะร้องก็ร้องหนักหนา บอกจะไม่ร้องก็ไม่ร้อง น่าตกใจอยู่บ้างจริงๆ 

 

ผู้หญิงอึ้งไปนิดหนึ่งรีบร้อนฉีกยิ้ม 

 

“เพราะพวกเราเป็นทหารน่ะ” นางเอ่ย 

 

คุณหนูจวินพยายามมองหาความไม่มั่นใจบนใบหน้าของนาง แต่ผู้หญิงคนนี้ก็สีหน้าสงบน่าเชื่อถือ 

 

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” 

 

“ท่านไม่ทราบ ทหารเข้าเมืองตามใจไม่ได้” 

 

พวกผู้หญิงคนอื่นก็พากันเอ่ยขึ้นบ้าง 

 

คุณหนูจวินหัวเราะพรืดแล้ว ในดวงตายังมีน้ำตา 

 

“อั้ยโยะ หัวเราะแล้วหัวเราะแล้ว ดีแล้ว ดีแล้ว” พวกผู้หญิงปรบมืออย่างเบิกบานใจทันที 

 

แค่นี้ก็หยอกให้หัวเราะได้แล้ว? พวกผู้ชายด้านข้างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง หัวเราะเยาะหรือเปล่า? 

 

คุณหนูจวินยื่นมือปิดปากจมูกออกแรงสูดลมหายใจ มองพวกผู้หญิงตรงหน้า แล้วขมขื่นอีกครั้ง 

 

นางย่อมรู้ว่าทหารไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจ แต่ไม่ได้ใช้กับตรงนี้ 

 

แต่นางเชื่อว่าสตรีผู้นี้ไม่ได้โกหก พวกเขาไม่สะดวกเข้าเมืองจริงๆ และที่ไม่สะดวกนี่ก็ด้วยต้องการปกปิดฐานะ หรือว่ามีความยากลำบากประการอื่น 

 

คนเหล่านี้สวมใส่เสื้อผ้ายากจนยิ่ง ใบหน้าก็มีร่องรอยของการทำงานหนักนานปี 

 

เห็นชัดยิ่งว่าชีวิตของพวกเขาไม่ได้มั่งคั่ง 

 

คุณหนูจวินกวาดมองผู้หญิงผู้ชายรวมถึงเด็กๆ ตรงหน้าทีละคนๆ ในที่สุดก็หยุดอยู่บนใบหน้าดวงนั้นที่วาดอยู่ในภาพกระบวนทัพในจดหมายของอาจารย์ 

 

“ท่านมีนามว่าอะไรหรือ?” นางเอ่ยถาม 

 

บุรุษที่ถูกถามผิดคาดอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ลังเล 

 

“ข้าชื่อเซี่ยหย่ง” เขาเอ่ย “เป็นหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่” 

 

เซี่ยหย่ง คุณหนูจวินเอ่ยทวนเงียบๆ ครั้งหนึ่งในใจ ลุกขึ้นลงจากรถ คำนับให้เขา 

 

“ข้าชื่อจวินจิ่วหลิง” นางเอ่ย “ได้พบท่านยินดียิ่ง” 

 

อ๋า? 

 

การกระทำนี้คำพูดนี้ทำให้ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงอยู่บ้าง เซี่ยหย่งยิ่งมือไม้พันกันรีบคำนับคืน 

 

“ยินดี ยินดี” เขาเอ่ย “พวกเราก็ยินดี” 

 

ผู้หญิงด้านข้างยิ่งยินดี 

 

“ข้าคือครอบครัวของเซี่ยหย่ง” นางเอ่ย “เร็วเร็ว อย่าคุยกันที่นี่เลย เข้าบ้านไปนั่งลงคุยกัน” 

 

เข้าบ้านไปคุย 

 

บ้านนี่ก็คือบ้านของอาจารย์สินะ 

 

นานปีปานนี้แล้ว ในที่สุดนางก็ได้มาบ้านของอาจารย์แล้ว แต่อาจารย์กลับมาไม่ได้อีกแล้ว 

 

คุณหนูจวินออกแรงสูดจมูกอีกครั้ง ยื่นมือกดดวงตาไว้ 

 

เห็นสภาพของนาง คนรอบด้านกลั้นเสียงวิตก คุณหนูจวินกลับวางมือลงหมุนตัวมองไปบนรถ 

 

“**บยาของข้า” นางเอ่ย 

 

พวกผู้หญิงรีบมองไปบนรถ 

 

“**บยาล่ะ? **บยาล่ะ?” พวกนางร้อง เร่งรีบเปิดค้น 

 

บุรุษด้านข้างก็รีบก้าวเข้ามาหยิบ**บยาใบหนึ่งออกมาจากข้างใน 

 

“นี่ไง นี่ไง” เขาว่า 

 

คุณหนูจวินรับ**บยาไป กอดไว้หน้าตัวแน่นสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง 

 

อาจารย์ กลับบ้านแล้ว 

 

“เชิญ เชิญ คุณหนูจวินเชิญเร็ว” ผู้คนเอ่ยอีกครั้ง 

 

คุณหนูจวินไม่ลังเลอีก ยิ้มก้าวเท้า พวกผู้หญิงดีอกดีใจรุมล้อม ส่วนพวกเด็กๆ อยู่ด้านข้างกระโดดโลดเต้นตามอย่างสงสัยใคร่รู้ 

 

พวกผู้ชายรั้งอยู่ท้ายสุด มองดูสถานการณ์ผ่อนลมหายใจ แต่ก็มีคนเกาศีรษะ 

 

“ภาพนี้ทำไมดูแล้วแปลกๆนะ?” เขาเอ่ย 

 

เหมือนกับต้อนรับแขก 

 

“แปลกอะไรเล่า แต่เดิมก็เป็นแขกไหม” บุรุษอีกคนเอ่ย 

 

“แต่ แขกที่เชิญมาแบบนี้ยังมองตนเองเป็นแขกได้จริงหรือ?” บุรุษคนก่อนหน้าเอ่ยขึ้น มองรถด้านข้างทีหนึ่ง 

 

ไม้ฟืนหญ้าเขียวเชือกมัด ใต้รถยังห้อยขวานอยู่ 

 

พวกผู้ชายตรงนั้นล้วนเงียบงันไปครู่หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองคนที่ลักพาตัวคุณหนูจวินกลับมาย้อนคิดเรื่องตลอดทางนี้ 

 

“พูดขึ้นมา คุณหนูจวินคนนี้ไม่เหมือนคนธรรมดาจริงๆ นะ” พวกเขาอึกอักเอ่ยขึ้น 

 

“นี่ก็ไม่มีอะไรแปลก” เซี่ยหย่งเอ่ย “เวลานี้นาทีนี้ คุณหนูจวินก็รู้ไม่มีวิธีอื่น คนรู้จักสถานการณ์ถึงเป็นวีรบุรุษ แทนที่จะร้องไห้โวยวาย ไม่สู้คุยกับพวกเราดีๆ” 

 

นี่ก็ถูกต้องแล้ว พวกผู้ชายพากันพยักหน้าเข้าใจ 

 

“อีกอย่าง ตอนแรกเขาไม่ใช่พูดแล้วหรือ” เซี่ยหย่งพลันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “คนที่หยุดยั้งฝีดาษได้ย่อมไม่ใช่คน” 

 

นี่ฟังแล้วเหมือนเรื่องตลกอยู่บ้าง 

 

แต่ไม่มีคนหัวเราะ พวกผู้ชายที่เดิมทีหัวเราะฉับพลันสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสับสน เหมือนโศกเศร้าแล้วก็เหมือนโกรธแค้น ท้ายที่สุดก็เงียบงันอีกครั้ง  

 

“เอาล่ะ ไป กลับบ้านเถอะ” เซี่ยหย่งโบกมือเอ่ยเหมือนสิ่งใดก็ไม่ได้พูด ก้าวยาวไปด้านหน้า 

 

พวกผู้ชายก็ฉีกยิ้มใหม่อีกครั้งคุยเล่นหัวเราะเหมือนสิ่งใดล้วนไม่ได้ยิน เดินไปข้างหน้า 

 

………………………………………. 

 

“ที่นี่” 

 

และเวลานี้ในที่ทำการขุนนางแห่งหนึ่ง แม่ทัพชี้บนแผ่นที่แผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ 

 

“เจ้าฟันจอบบอกว่าคนกลุ่มนั้นน่าจะอยู่ที่นี่” 

 

เหลยจงเหลียนกับจินสือปามองแผนที่นี้ 

 

เหลยจงเหลียนไม่มีอะไรจะพูด จินสือปาขมวดคิ้ว 

 

“สิ่งนี้ของเจ้าเรียกว่าแผนที่ด้วยหรือ? มองอะไรออกกัน?” เขาเอ่ย 

 

แม่ทัพหน้าแดง 

 

เวลาใดแล้วยังจะเลือกดูถูกสิ่งนี้อีก? นายของพวกเจ้าถูกลักพาตัวไปใต้หนังตาของพวกเจ้า เก่งกาจตรงไหนหา 

 

“มีเจ้านี่ก็ไม่เลวแล้ว” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ตบลงบนแผนที่ “ต่อให้ไม่ดูเจ้านี่ พวกเราก็รู้ว่าสถานที่นี้คือที่ใด” 

 

“นี่คือเขาจางชิงซาน?” จินสือปา ไม่ได้ยุ่งเรื่องแผนที่อีก มองจุดเล็กๆ บนแผนที่รวมถึงตัวอักษรบูดๆ เบี้ยวๆ บนนั้น “ดังนั้นคนกลุ่มนี้ก็คือโจรภูเขา?” 

 

“ต้องเป็นโจรภูเขาแน่” แม่ทัพเอ่ย “เจ้าฟันจอบบอกแล้ว โจรภูเขากลุ่มนี้ยังอยากแย่งเขาจั้นหวงซานของเขาด้วย ลับๆ ล่อๆ บุกเข้ามาก่อกวนอยู่หลายครั้ง ยังเรียกตนเองว่าทหารกวาดล้างโจรอะไรด้วย” 

 

พูดถึงตรงนี้ นึกขึ้นว่าตนเองถึงกับถูกโจรภูเขากลุ่มนี้หลอกเหมือนลิง เอาเขาเป็นกองหน้า ฉับพลันเพลิงโทสะก็ลุกพรึบแผดเผาใบหน้าจนแดงอีกครั้ง ฝ่ามือข้างหนึ่งตบลงบนโต๊ะ 

 

โต๊ะหักสะบั้นตามเสียง 

 

“ขวัญกล้าเทียมฟ้าจริงๆ”