บทที่ 483 ฉกฉวยโอกาส!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 483 ฉกฉวยโอกาส! โดย Ink Stone_Fantasy

พายุหมุนที่ก่อตัวขึ้นกลางอากาศเหนือสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์คงอยู่เป็นเวลาร่วมสองชั่วโมง และยังขยายใหญ่ขึ้นตามเวลา ในขณะเดียวกันหลุมดำก็ดูดกลืนปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณเข้าไป ส่งผลให้บรรดาผู้สังเกตการณ์พากันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณเข้มข้นที่รายล้อมบริเวณนั้นอยู่

ปราณวิญญาณนั้นเข้มข้นเสียจนเกือบจะกลายสภาวะเป็นของเหลว ส่งผลให้กลั่นตัวเป็นฝนที่ตกลงมาทั้งภายในและภายนอกสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ บรรดาศิษย์ต่างพากันฝึกปราณด้วยความเร็วสูง เช่นเดียวกันบรรดาผู้สังเกตการณ์คนอื่นๆ ภายนอกเกาะ แม้จะเทียบไม่ได้กับการฝึกตนอยู่ภายในเกาะ แต่ก็ยังนับว่าเป็นโอกาสอันล้ำค่าสำหรับพวกเขา

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ณ นครหลวงของสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉีกำลังยืนจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องทำงาน สายตาคู่นั้นจับจ้องไปยังทิศทางของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เมฆกำลังเคลื่อนตัวไปบนท้องนภาอย่างเร็วรี่ต่อหน้าต่อตาเขา ชายชรายังสามารถสัมผัสรัศมีของหลี่ซิงเหวินที่หลั่งไหลออกมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วย รัศมีนั้นแก่กล้าขึ้นทุกขณะ พลังดังกล่าวก้าวข้ามเขตของขั้นกำเนิดแก่นในไปแล้ว อาจพูดได้ว่าในตอนนี้ หลี่ซิงเหวินได้บรรลุเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณโดยสมบูรณ์แล้ว!

ทว่าชายผู้นั้นผิดแผกจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั่วไป ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณรุ่นใหม่ เป็นการยากยิ่งสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นการฝึกปราณ อาจกล่าวได้ว่า ด้วยความสามารถอันน่าตื่นตะลึงของหลี่ซิงเหวิน พลังปราณที่ชายชรามีในขณะนี้นั้นอาจทำให้เขารุดหน้าไปไกลกว่าผู้ฝึกตนในขั้นเดียวกันหากอยู่ในอารยธรรมอื่นๆ

ในสหพันธรัฐมีทรัพยากรน้อยกว่า ปราณวิญญาณน้อยกว่า แถมยังมีต้นกำเนิดดาราที่ด้อยกว่า ทำให้การพัฒนาของเขาถูกจำกัด ถึงกระนั้น ข้อจำกัดเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ เพราะทันทีที่หลี่ซิงเหวินบรรลุขั้นจุติวิญญาณในสภาพแวดล้อมที่จำกัดจำเขี่ย เขาก็ย่อมแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนใดๆ ในอารยธรรมอื่น

ตอนนี้แม้ว่าจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว ชายชราก็ยังคงดูดซับปราณวิญญาณเข้าไปเพื่อเสริมให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น และยังเป็นการช่วยบรรดาศิษย์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าให้ได้รับปราณวิญญาณมากขึ้นอีกด้วย!

ในฐานะผู้นำแห่งสหพันธรัฐ ต้วนมู่ฉีไม่อาจยอมรับการกระทำเช่นนั้นได้ นั่นเพราะต้นกำเนิดของปราณวิญญาณบนโลกมาจากเศษเสี้ยวของกระบี่ แม้จะดูเหมือนมีอยู่ล้นเหลือ แต่ความเป็นจริงแล้วมันมีปริมาณจำกัด หากยังไม่ค้นพบวิธีสร้างปราณวิญญาณก่อนที่ปราณของเดิมจะหมดลง อารยธรรมการฝึกปราณของสหพันธรัฐก็อาจต้องพบจุดจบ

ต้วนมู่ฉีไม่อาจยอมให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นได้ จึงไม่เห็นด้วยกับการดูดกลืนปราณวิญญาณเพื่อไปหล่อเลี้ยงผู้ฝึกตนรุ่นใหม่ แต่กระนั้นเขาก็เข้าใจหลี่ซิงเหวินในฐานะคนคนหนึ่งเป็นอย่างดี แม้ว่าตนจะมีตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐคนปัจจุบันก็ตาม

ดังนั้นหลังจากที่นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน ต้วนมู่ฉีก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนละสายตาออกมาจากท้องฟ้า ชายชรามองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือก่อนที่จะหลับตาลงและจมดิ่งสู่ห้วงความคิด

ทิศทางที่ต้วนมู่ฉีมองไปนั้น มีทิวเขาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ห่างออกจากนครหลวงไปไกล ภายในทิวเขานั้นมีตำหนักแห่งหนึ่งตั้งอยู่ มีผู้เฒ่าผมสีเงินนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน

ผู้อาวุโสคนนี้มีนามว่าเฟิ่งเต้ากู่ เขาสวมชุดคลุมเต๋า รัศมีที่แผ่ออกมาจากกายเขานั้นแข็งแกร่งกว่าขั้นกำเนิดแก่นในไปมากและอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ บุคคลผู้นี้คือผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่ต้วนมู่ฉีกล่าวถึงในคำประกาศ คนที่มีภาพปรากฏให้เห็นว่าออกไปตามล่าผู้ฝึกตนจากต่างดาวทั้งสาม!

ขณะนี้ชายผู้นี้กำลังจ้องมองไปยังทิศทางของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์รวมถึงหมู่เมฆบนท้องฟ้า เขาเพ่งมองไปยังทิศทางของรัศมีที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนสัมผัสได้ พลางรู้สึกวูบไหวและสบายใจ

“ข้าหวังว่าความมาดหมายของผู้อาวุโสเฟิ่งจะสำเร็จในยุคฝึกปราณอมตะใหม่นี้…” หลังจากพึมพำจบ ผู้อาวุโสก็หลับตาลง

ณ เวลานั้น ความก้าวหน้าของหลี่ซิงเหวินก็มาถึงจุดสำคัญ ขณะที่ปราณวิญญาณมากมายมารวมตัวกันท่ามกลางเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง และการบรรลุขั้นของเขาก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ บรรดาศิษย์บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงต่างก็พากันตื่นตะลึงร่างกายสั่นเทา ปราณวิญญาณที่รายล้อมกายพวกเขาอยู่นั้นเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง เข้มข้นมากเสียจนกระทั่งพวกเขาไม่ต้องใช้ความพยายามในการดูดซับด้วยซ้ำ ปราณนั้นไหลบ่าเข้าไปในกายผ่านรูขุมขนอย่างง่ายดาย!

ตอนนี้หวังเป่าเล่อเองก็ตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขณะที่มีลมหมุนก่อกำเนิดขึ้นตรงบริเวณที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ ก่อนจะดูดกลืนเอาปราณวิญญาณอันเข้มข้นเข้าไปในกายเขา

หากเขาจะฝึกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลางเสียตอนนี้ หวังเป่าเล่อก็คงบรรลุขั้นได้โดยง่าย ทว่า หลังจากที่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้เลือกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นกลาง แต่เมื่อได้รับรู้ถึงปริมาณของปราณวิญญาณที่ไหล่บ่าเข้าร่าง ว่าสามารถเพิ่มพลังปราณและพลังกายของเขาได้มากมาย สายตาก็หวังเป่าเล่อก็ฉายแววฉงน

ตอนนี้ในกายข้ามีแก่นในแห่งความมืดและแก่นในแห่งอัสนี พลังการต่อสู้ของข้าอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลาง แต่ถึงกระนั้น ตอนที่ปลดปล่อยพลังเต็มที่ ร่างกายของข้าซึ่งแต่เดิมทานทนไหว ก็ดูเหมือนจะไม่ชินกับพลังใหม่นี้อย่างบอกไม่ถูก…

*ดังนั้นบางทีสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าในตอนนี้อาจไม่ใช่ทักษะการฝึกปราณสำหรับขั้นกำเนิดแก่นใน หากแต่เป็นกำลังกายเสียมากกว่า!*หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะหลับตาลง พลางเพ่งสมาธิไปยังดอกบัวเขียวในกาย หลังจากที่เห็นฝักบัวที่ผนึกแก่นในทั้งสองของเขาอยู่ สายตาของชายหนุ่มก็ผละไปมองดอกบัวสีเขียวดอกหลัก

ตั้งแต่ได้รับดอกบัวเขียวมา ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยเพิ่มระดับการฝึกปราณสักเท่าใดนัก หากแต่มีผลใหญ่หลวงต่อความแข็งแรงของร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้น ในตำราโบราณของสำนักแห่งความมืดที่หวังเป่าเล่อได้อ่านจากนิมิตแห่งความมืด เขาไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับดอกบัวเขียวแม้แต่น้อย แต่ได้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกกำลังกาย

ทว่า เคล็ดวิชาทั้งหลายล้วนต้องการปราณมืดทั้งสิ้น และจะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้วเท่านั้น แม้กระนั้น ความรู้นี้ก็ช่วยให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจเส้นทางที่เขาต้องการจะไปต่อได้ ดังนั้นตอนนี้ในศีรษะของชายหนุ่มจึงมีแผนการลอยขึ้นมาให้เห็น

*บางทีข้าอาจจะใช้ประโยชน์จากปราณวิญญาณที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดได้รวบรวมมา เพื่อให้ร่างกายของข้าสร้างแก่นในขึ้นมาอีกแก่นก็ได้!*เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกมุ่งมั่นขึ้น ชายหนุ่มรีบใช้ผนึกฝ่ามือนำปราณวิญญาณที่ถูกดูดเข้ามาในร่างให้มุ่งไปยังดอกบัวเขียวทันที!

เมื่อปราณวิญญาณไหลเข้าไป ฝักบัวหลักก็สั่นไหวขึ้นมาชั่วครู่ ก่อนที่จะส่องแสงเรืองเรื่อสีเขียวอ่อนออกมาจากภายใน แสงเรืองนี้ดูราวจะฉายผ่านอวัยวะภายในและเนื้อหนังของเขาออกมาได้ ทำให้กายของหวังเป่าเล่อกลายเป็นสีเขียว

ขณะที่แสงสีเขียวส่องสว่างอยู่นั้น กระดูกของเขาก็สมานเชื่อมกัน เลือดเนื้อก็เพิ่มพูน อวัยวะภายในเองก็ดูจะแข็งแรงขึ้น ส่งผลให้การเต้นของหัวใจรุนแรงและส่งเสียงดังขึ้น จนกระทั่งดังกึกก้องราวสายฟ้าฟาดอยู่ในหูของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

*กำลังกายของข้ากำลังเพิ่มพูนขึ้น!*หวังเป่าเล่อรู้สึกลิงโลดใจ ชายหนุ่มตัดสินใจใช้เมล็ดดูดกลืนภายในร่าง ทันใดนั้น ปราณวิญญาณที่ลอยอยู่รอบกายก็ถูกดูดเข้ามาหาตัว ในไม่ช้า ผู้คนที่อยู่รอบกายเขาก็เริ่มรู้สึกตัวและกระจายตัวออกไป ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณนั้น ภายนอกกายเขามีลมหมุนขนาดใหญ่กว่าเก่าปรากฏขึ้น เกิดเสียงกัมปนาทดังกึกก้องที่ทำให้บรรดาประมุขสำนักและแขกเหรื่อจากอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋าพากันส่งสายตาวิตกกังวลมาทางหวังเป่าเล่อ

แต่กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ใส่ใจ ขณะนี้ชายหนุ่มกำลังมุ่งมั่นกับการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย กระบวนการหมุนเวียนได้ก่อกำเนิดขึ้นในร่างกายเขาแล้ว

ดูดกลืนปราณวิญญาณ หลอมรวมปราณเข้ากับดอกบัวเขียว ปล่อยแสงสีเขียว และเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกาย!

เมื่อกระบวนการหมุนเวียนดำเนินไป ดอกบัวเขียวในกายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง และค่อยๆ เปล่งแสงออกมาช้าๆ!

ยิ่งมันโตมากขึ้นเท่าใด แสงสีเขียวก็ยิ่งเพิ่มกำลังวังชาให้ชายหนุ่มมากขึ้นตามกัน ภายใต้ความดีอกดีใจของหวังเป่าเล่อนั้น ก็มีความรู้สึกผ่อนคลายที่แตกต่างจากตอนที่เขาฝึกเคล็ดวิชาแผ่กระจายไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีมือจำนวนนับไม่ถ้วนมาสัมผัสเรือนร่างของเขาพร้อมๆ กัน ทำให้ผิวหนังส่งแสงสีเขียวเรืองรอง สุดท้ายแล้ว หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ก็มีกายเป็นสีเขียวโดยสมบูรณ์!

เสียงหัวใจของเขาดังก้องไปทั่วร่าง ดังเสียจนมีเสียงสะท้อนส่งกระจายออกไปหาฝูงชน!

เสียงดังตุ้บๆ นั้นทำให้ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์และสำนักศึกษาเต๋าอื่นๆ พากันแปลกใจ ประมุขสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์ถึงกับอุทานออกมา

“เสียงหัวใจเต้นของเขาดังราวฟ้าผ่า ข้าเคยอ่านชิ้นส่วนบันทึกฉบับหนึ่งว่า เสียงหัวใจเต้นเช่นนี้เป็นของผู้ที่ฝึกร่างกายในขั้นการฝึกปราณของอารยธรรมกระบี่โบราณ ขั้นนั้นรู้จักกันในนามขั้นแก่นหัวใจ มีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน!

“แม้ว่าเคล็ดวิชานี้จะไม่ได้มีบอกไว้อย่างชัดเจนในบันทึกนั้น แต่คำอธิบายก็กล่าวว่าขั้นแก่นหัวใจคือการแปลงหัวใจของตนให้เป็นแก่นใน เมื่อใดก็ตามที่เสียงหัวใจดังก้องอย่างรุนแรง มันก็จะกลายเป็นประหนึ่งโอสถ และหากหัวใจเต้นระรัวโดยไม่ส่งเสียงสะท้อนออกมา ก็หมายความว่าผู้นั้นได้บรรลุขั้นแก่นในหัวใจเป็นที่เรียบร้อย!”

ประมุขสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์พูดอย่างเร่งรีบ ในขณะที่ประมุขสำนักคนอื่นๆ พากันจ้องมองเขา กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของสามยอดสำนักศึกษาเต๋าก็ยังรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง จึงหันกลับไปมอง…

เสียงระเบิดคำรามสนั่นขึ้นมาจากกึ่งกลางระหว่างสวรรค์และพื้นพิภพ มีพลังรุนแรงซึ่งก้าวข้ามระดับกำเนิดแก่นในไปไกล เป็นพลังของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอย่างแท้จริงระเบิดออกมาจากยอดเขา ณ บริเวณที่หลี่ซิงเหวินถือสันโดษอยู่ เมื่อมันแผ่ออกมา สายลมและหมู่เมฆต่างก็หมุนวนอยู่บนท้องฟ้าและก่อตัวกันเป็นรูปคนขนาดเล็ก รูปเหมือนนั้นคือหลี่ซิงเหวินที่กำลังยืนอยู่กลางอากาศ ทันทีที่รูปเหมือนส่งเสียงหัวเราะ ทุกคนก็กุลีกุจอกันคำนับเขาเป็นการใหญ่ รูปเหมือนทักทายตอบ ก่อนที่สายตาของเขาจะมาหยุดอยู่ที่หวังเป่าเล่อด้วยท่าทีแปลกใจ

“ไม่เลวนี่!” รูปเหมือนฉีกยิ้ม ก่อนจะทำผนึกฝ่ามือและชี้ไปทางหวังเป่าเล่อ ร่างของชายหนุ่มสั่นเทิ้ม ปราณวิญญาณรอบกายเขาที่ทรงพลังขึ้นอีกก็ไหล่บ่าเข้าไปในร่างอีกคำรบ!

เกิดเสียงแกรกกรากดังขึ้นมาจากภายในร่างของหวังเป่าเล่อ เสียงหัวใจของเขาแปรเปลี่ยนไปในวินาทีนั้น ที่เคยส่งเสียงสะท้อนออกมาก่อนหน้านี้ มาบัดนี้ไม่หลงเหลือเสียงสะท้อนอีกต่อไป หากเงี่ยหูฟัง เสียงหัวใจนั้นฟังดูไม่เหมือนเสียงหัวใจเต้นอีกแล้ว แต่ฟังคล้ายเสียงโอสถตกกระทบจานมากกว่า!

หลังจากนั้น ร่างจุติวิญญาณของหลี่ซิงเหวินก็หัวเราะอย่างเปี่ยมสุขอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีม่วงที่พวยพุ่งลงไปยังภูเขาเบื้องล่าง!

อึดใจถัดมา ทิวเขาเหล่านั้นก็สั่นไหวอย่างรุนแรง มีเสียงแตกร้าวดังสนั่นออกมา ก่อนที่หลี่ซิงเหวิน ผู้ซึ่งบัดนี้บรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้วจะปรากฏกายออกมาจากภายใน!

การปรากฏตัวของเขาทำให้ผู้ฝึกตนทั้งในและนอกเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงพากันหยุดหายใจ นอกจากหวังเป่าเล่อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้ว พวกเขาต่างพากันแสดงความยินดีกับหลี่ซิงเหวิน พร้อมโค้งคำนับต่ำ

“ขอแสดงความยินดีกับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ผู้อาวุโสสูงสุด!”

“ขอแสดงความยินดีกับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ศิษย์พี่หลี่!”

“ขอแสดงความยินดีกับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณ สหายเต๋าหลี่!”