ตอนที่ 332: ผู้แข่งขันที่เก่งกาจทั้งสิบ (2)
ในวันที่สี่ของการแข่งขัน จากทั้งหมด 500 คนส่วนใหญ่ถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็วจนเหลือเพียง 31 คน ศิษย์พี่อันต้องพ่ายแพ้ไปในรอบก่อนหน้านี้ เหลือเพียงเจี้ยนเฉินและหมิงตง ในเวลาเดียวกันตู่กูเฟิง, เทียนมู่หลิงและหวงหลวนก็ยังอยู่ในนั้น
ณ จุดนี้ทุกคนใน 31 อันดับแรกไม่ได้อ่อนแอเลย พวกเขาแข็งแกร่งมากและยังมีประสบการณ์ล้นเหลือ และแต่ละคนก็มีทักษะการต่อสู้ที่สูสีกัน
เซียนธาตุแสงทั้งสามถูกเปิดเผยตัวตนมาสักพักแล้วและพวกเขาก็ถูกเจี้ยนเฉินจับตามองอย่างใกล้ชิด น่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามที่ทั้งสามคนต้องต่อสู้ด้วยไม่ได้แข็งแกร่ง ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ได้แสดงพลังขั้นสุดยอดออกมาทั้งหมดในตอนนี้
นอกเหนือจากพวกเขา มีคู่แข่งเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ดึงดูดสายตาของเจี้ยนเฉิน: นั้นก็คือคนที่ชื่อ “จื่อ” นางอยู่ในอันดับ 4 นางเป็นผู้หญิงที่มีพลังระดับสูงซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำและใช้กริชเป็นอาวุธ ไม่เพียงแค่นั้น แต่นางยังเป็นเซียนธาตุลมซึ่งหมายความว่าความเร็วของนางคงดุจสายฟ้า
จากรูปลักษณ์ของนาง นางดูเหมือนจะอายุประมาณ 25-26 ปี แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่นอนเกี่ยวกับอายุของนาง แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางยังไม่สวยงามและโดดเด่นพอที่จะทำให้ชายหนุ่มแย่งชิง แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่านางขี้เหร่ นางมีรูปร่างหน้าตาดีพอใช้และเหนือกว่าที่เทียนมู่หลิงได้บอกไว้ ซึ่งหมายความว่านางเป็นคนที่ไม่ควรมีผู้ชายคนไหนมองข้าม อย่างไรก็ตามการจ้องมองของนางสามารถทำให้หนาวไปถึงกระดูกและอาจทำให้วิญญาณแข็งตัวด้วยสีหน้าที่น่าสะพรึงกลัว ราวกับว่านางซ่อนความโหดเหี้ยมไว้ในดวงตาคู่นั้น. คู่ต่อสู้ของนางไม่มีใครมีชีวิตรอด ทุกคนเสียชีวิตโดยการโดนแทงเข้าไปที่หัวใจ ความเร็วในการใช้กริชของนางเปรียบได้กับความเร็วในการใช้กระบี่ของเจี้ยนเฉิน
คืนนั้น เจี้ยนเฉินใช้เวลาอยู่กับตัวเองในห้องของเขาเพื่อศึกษาทักษะมายาพริบตา พรุ่งนี้เช้าจะมีการจัดอันดับสิบหกอันดับแรกและจากนั้นก็จะมีสิบอันดับแรก
จอมยุทธ์ภายในทวีปเทียนหยวนนั้นมีมากมายเหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้า ไม่มีการขาดแคลนพลเรือนที่โดดเด่น แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะได้ยินเพียงแค่ชื่อจอมยุทธ์ห้าคนในช่วงเวลาที่เขารวบรวมป้าย แต่พวกเขาไม่ใช่จอมยุทธ์เพียงกลุ่มเดียวในการแข่งขัน ท่ามกลางผู้คนมากมายยังมีคนที่เก็บตัวเงียบ และเมื่อการแข่งขันครั้งสุดท้ายเริ่มขึ้นพวกเขาจึงเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เพราะทุกคนที่เคยเจอกับพวกเขาต่างก็ถูกฆ่าตายเพื่อปกปิดความแข็งแกร่งของพวกเขา
ตอนนี้เจี้ยนเฉินรู้สึกว่าตัวเองใจแคบ ในวันพรุ่งนี้ การแข่งขันแต่ละนัดจะมีตัวแปรที่ไม่อาจรู้ได้นับตั้งแต่มีงานชุมนุมทหารรับจ้าง เนื่องจากทหารรับจ้างที่อ่อนแอกว่าทั้งหมดถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว คนที่เหลืออีก 31 คนเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกลุ่มชนชั้นสูงและอย่างน้อยพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าตู่กูเฟิง
ในขณะนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เจี้ยนเฉินค่อย ๆ ลืมตาจากการทำสมาธิ เจี้ยนเฉินโบกมือ คลื่นลมกระโชกแรงทำให้สลักเกลียวโลหะอยู่ที่ประตูหลุดออกมา ” เข้ามาสิ ! “
เมื่อประตูเปิดออก,ผู้อาวุโสสี่คนที่สวมชุดหรูหราราคาแพงก็เดินเข้ามา. ในหมู่พวกเขามีชายเสื้อคลุมสีขาว 2 คนที่มีผมสีดำและมีท่าทางอ่อนโยน ชายคนที่สามสวมเสื้อคลุมสีดำ ผมของเขายาวลงมาถึงไหล่และตาข้างซ้ายของเขามีรอยแผลเป็น มีเพียงตาข้างขวาเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่ ทำให้เขาดูท่าทางดุร้าย มันค่อนข้างชัดแจนว่าเขาได้รับบาดเจ็บมานานแล้ว ผู้อาวุโสคนสุดท้ายสวมชุดสีแดงเรียบง่ายที่ครอบคลุมร่างกำยำ ผิวของเขาค่อนข้างคล้ำ
เจี้ยนเฉินพิจารณาผู้อาวุโสทั้งสี่ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างเคร่งเครียด ชายทั้งสี่คนไม่คิดจะปกปิดอะไร ตัดสินจากสิ่งนั้น เจี้ยนเฉินยิ่งรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าทั้งสี่คนนั้นเป็นเซียนสวรรค์
ในขณะที่เจี้ยนเฉินกำลังจ้องมองพวกเขา ทั้งสี่คนก็มองดูเขาเช่นกัน เนื่องจากผู้นำของตระกูลเทียนฉินบอกวิธีซ่อนพลังให้กับเขา แม้ว่าชายทั้งสี่จะเป็นเซียนสวรรค์ พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินได้
“ผู้อาวุโสทั้งสี่ พวกท่านมีธุระอะไรหรือ ? ” เจี้ยนเฉินถาม เขาพูดกับทั้งสี่ด้วยน้ำเสียงปกติ
“น้องชาย เจ้าคือเจี้ยนเฉินหรือ ? ” ผู้อาวุโสผู้หนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
” ใช่แล้วขอรับ ” เจี้ยนเฉินตอบ
“น้องเจี้ยนเฉิน เราได้ยินมาว่านายน้อยสามแห่งตระกูลชิ ชิเซียงกรานถูกเจ้าฆ่าตาย มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ” ผู้อาวุโสคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงสงบ
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินกระตุก เขาพูดว่า “พวกท่านเป็นใครกัน ? “
ผู้อาวุโสลูบเคราพลางหัวเราะและกล่าวว่า “คนอื่น ๆ เรียกเราสี่คนว่าสี่พี่น้องแห่งตระกูลไค ปัจจุบันเรารับใช้เป็นผู้ดูแลกฎของตระกูลชิ ” จากนั้นผู้อาวุโสหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนจะพูดอีกครั้งว่า “น้องเจี้ยนเฉิน เราได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว แต่เราไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเจ้า เราเพียงแต่หวังว่าน้องเจี้ยนเฉินจะคืนผนึกสมบัติภูเขาให้เรา สิ่งนั้นไม่สามารถตกอยู่ในมือของคนนอกได้ ถ้ามันอยู่กับเจ้า มันจะทำให้เจ้าเดือดร้อน”
“พี่ใหญ่พูดถูกต้อง” คนที่มีตาข้างเดียวพูดอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์ “ผนึกสมบัติภูเขาเป็นมรดกตกทอดของตระกูลชิที่เกิดขึ้นหลังจากใช้วิธีพิเศษ เฉพาะคนในตระกูลชิเท่านั้นที่จะสามารถใช้พลังของมันได้ สำหรับเจ้าแล้ว ผลึกสมบัติภูเขาจะเป็นเพียงเหล็กไร้ประโยชน์ที่เจ้าไม่สามารถใช้งานได้”
ไม่มีผู้อาวุโสคนใดที่พยายามขู่เจี้ยนเฉิน พวกเขาลองใช้วิธีที่ง่ายกว่าแทนโดยหวังว่าเจี้ยนเฉินจะส่งคืนผนึกสมบัติภูเขา
เจี้ยนเฉินยกมือขึ้นในลักษณะที่เป็นการขอโทษ “ข้าต้องขอโทษด้วย,ข้าคงคืนผนึกสมบัติภูเขาให้ไม่ได้”
“น้องชาย เจ้าต้องเข้าใจ ถ้าเจ้าไม่คืนผนึกสมบัติภูเขา ตระกูลชิจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไป มันจะนำพาหายนะมาสู่เจ้าก็เท่านั้น” ผู้อาวุโสพูดด้วยความจริงใจและความเมตตา
เจี้ยนเฉินส่ายหน้าโดยไม่ใช้ความคิด “นี่ไม่ควรเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสควรกังวล” เจี้ยนเฉินรู้ดีว่าถึงเขาจะส่งมอบมัน ตระกูลชิก็จะไม่ยอมปล่อยเขาไปอยู่ดี
“ถ้าน้องชายตัดสินใจเดินบนเส้นทางนี้ เราก็ไม่มีทางเลือก เราขอตัวกลับก่อน” ผู้อาวุโสไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
หลังจากออกมา ชายที่มีตาข้างเดียวก็ถอนหายใจ “พี่ใหญ่ เราควรทำอย่างไรต่อไป ชายหนุ่มที่ชื่อเจี้ยนเฉินปฏิเสธที่จะมอบผนึกสมบัติภูเขาให้เรา”
“ความรับผิดชอบของเรานั้นอยู่ที่การปกป้องนายน้อย ไม่ใช่การทวงคืนผนึกสมบัติภูเขา สำหรับตอนนี้ เราควรรายงานเรื่องนี้กับตระกูลชิและให้ผู้นำจัดการเอาเอง” ผู้อาวุโสที่เป็นพี่ใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกลาง
“คราวนี้แผนของตระกูลชิล้มเหลว นายน้อยสามก็ต้องมาตาย อีกทั้งยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฏยังถูกแย่งชิงไป นี่เป็นตัวอย่างของการมอบเจ้าสาวและจากนั้นก็สูญเสียกองทัพ ตระกูลชิจะต้องสั่นคลอนลงไปถึงแกนกลางแน่นอน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีแดงหัวเราะ พวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลชิ
“ลืมไปเถอะ เราไม่มีธุระเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปล่อยให้ตระกูลชิจัดการกับเรื่องน่าปวดหัวเอาเอง เราไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าตัวแทนสำหรับตระกูลชิ gราไม่ใช่แพะรับบาปสำหรับปัญหาของพวกเขา ขอให้พวกเราทุกคนจำไว้ว่าอย่าคิดว่าคนที่ทำให้ตระกูลชิโกรธแค้นเป็นคนที่เราต้องขุ่นเคือง คราวนี้ งานชุมนุมกลุ่มทหารรับจ้างได้รวบรวมนักสู้ที่แข็งแกร่งไว้จำนวนมาก แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่อำนาจที่สนับสนุนพวกเขานั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้อิทธิพลบางอย่างยังเป็นของคนที่แม้กระทั่งตระกูลชิเองยังไม่สามารถล่วงเกินได้ โดยเฉพาะคนที่ชื่อฉินจี๋ ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นองค์ชายคนเดียวของอาณาจักรฉินฮวง มีความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป บุคคลประเภทนี้เป็นคนที่เราไม่ควรไปทำให้เขาโกรธเคือง”
……..
ในวันที่สอง เจี้ยนเฉินได้เข้าสู่พื้นที่การแข่งขันเร็วกว่าเดิมเพื่อจับสลากก่อนเข้าสู่ประตูมิติและเริ่มการแข่งขัน
ไม่นานหลังจากที่เขาเข้าไป คู่ต่อสู้ของเขาก็เข้าสู่สังเวียนด้วยเช่นกัน แต่ช่วงเวลาที่เจี้ยนเฉินเห็นคู่ต่อสู้ของเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาคือตู่กูเฟิง
ตู่กูเฟิงกลับจ้องมองด้วยเสียงหัวเราะขมขื่น “ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะต้องต่อสู้กับเจ้า”
เจี้ยนเฉินเองรู้สึกหมดหนทางในขณะที่ยักไหล่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องบังเอิญ
เสียงประกาศเพื่อเริ่มการต่อสู้ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เจี้ยนเฉินและตู่กูเฟิงกลับไม่มีใครเคลื่อนไหว
“เจี้ยนเฉิน ข้าหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จในการเป็นอันดับหนึ่ง” ตู่กูเฟิงยอมรับความพ่ายแพ้
ในการแข่งขันครั้งนี้ เจี้ยนเฉินชนะโดยปราศจากการต่อสู้
เจี้ยนเฉินออกจากสังเวียนแข่งขันเพื่อดูการแข่งขันคู่อื่น หลังจากรอบนี้มีเพียง 16 คนที่จะได้ไปต่อ ในตอนสุดท้ายชาย 3 คนถูกฆ่าตายและบาดเจ็บ 2 คน หนึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตเกิดจากกริชของจื่อแทงเข้าไปในหัวใจของชายคนนั้น มันพรากหายใจสุดท้ายของเขาไป นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่เซียนธาตุแสงก็ไม่สามารถรักษาได้
ทั้งเจี้ยนเฉินและหมิงตงสามารถไปสู่รอบสิบหกคนสุดท้ายได้ ฉินจี๋และเทียนมู่หลิงก็ได้เข้ารอบด้วยเช่นกันเนื่องจากยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎซึ่งเป็นสาเหตุให้คู่ต่อสู้ของพวกเขาบาดเจ็บสาหัส ส่วนธนูสุริยันจันทราของหวงหลวนช่วยอะไรนางไม่ได้บนสังเวียน นางเองเป็นเซียนปฐพีวัฏจักรที่ 1 ดังนั้นนางจึงพ่ายแพ้ไปเนื่องจากคู่ต่อสู้ของนางเป็นเซียนธาตุแสงซึ่งเป็นผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งไร้ที่ติ
เนื่องจากการแข่งขันที่ไม่เหมาะสมกับโชคชะตา ตู่กูเฟิงจึงถูกกำจัดออกจากการแข่งขันในขณะที่เซียนธาตุแสงอีก 2 คนเข้ารอบต่อไป ทั้งสามคนเป็นคนที่มีข่าวลือว่าพวกเขาแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนึ่งในนั้นคือเซียนปฐพีวัฎจักรที่ 4 พร้อมด้วยทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
ผู้แข่งขันสิบคนสุดท้ายจะถูกตัดสินจากคนที่ชนะแปดอันดับแรกของผู้เข้าแข่งขันรอบสิบหกคน ส่วนอีกสองคนจะมาจากคนที่แพ้ทั้งสองอันดับแรกซึ่งพวกเขาจะได้รับโอกาสอีกครั้ง
เนื่องจากยังเป็นเวลากลางวัน การแข่งขันจึงกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง หลังจากจับสลากแล้ว เจี้ยนเฉินจึงยืนรอรอบต่อไป ผู้เข้าแข่งขันอีก 15 คนยืนข้าง ๆ เจี้ยนเฉินในพื้นที่ห่างไกลจากฝูงชน
“เฮ้ เจี้ยนเฉิน เจ้าจะต้องได้อันดับหนึ่งเข้าใจหรือไม่ ? อย่าให้เราผิดหวัง เราทุกคนคาดหวังไว้สูง” หมิงตงตบไหล่เจี้ยนเฉินแล้วหัวเราะ
“เฮ้เฮ้ น้องชาย จอมยุทธ์ที่นี่มีจำนวนมากมายราวกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า แม้ว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะข้าได้ แต่คนอื่นก็ไม่ได้อ่อนแอ เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถอ้างสิทธิ์อันดับหนึ่งเหนือพวกเขาทั้งหมดได้หรือ ? ” เทียนมู่หลิงพูดต่อหน้าเจี้ยนเฉิน ดวงตาทั้งสองของนางจ้องที่เขาพร้อมกับคำพูดที่ฟังดูเหมือนเป็นคาถาที่มีเสน่ห์ที่สามารถดึงดูดผู้ชายคนใดก็ได้
เจี้ยนเฉินจ้องกลับมาจากนั้นก็จ้องมองไปที่ด้านนอกสังเวียน “ข้าพูดได้แค่ว่าข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุดเมื่อถึงเวลา”
ทันทีที่เจี้ยนเฉินพูดจบ เสียงแปลก ๆ ก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง “ฮืม พยายามอย่างดีที่สุดหรือ ? เจ้าเด็กน้อย เจ้าก็พอมีอายุ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าอยู่ห่างไกลจากอันดับหนึ่งมากแค่ไหน ? เจ้าคิดว่าพวกเราที่เหลือเป็นขยะเหรอ ? “
เจี้ยนเฉินหันไปเห็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 45 หรือ 46 ปี เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวและรูปร่างหน้าตาของเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับเจี้ยนเฉินเนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในสามเซียนธาตุแสง
ชายวัยกลางคนชายอีกคนหนึ่งที่อายุไม่มากนักจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยท่าทางเหยียดหยาม ก่อนที่จะพูดอย่างไม่พอใจว่า ลืมไปเถิด คารากา ไม่ต้องไปเสียเวลาพูดกับเด็กเหลือขอ เขาก็แค่คนอวดดี”
ดวงตาของเจี้ยนเฉินหรี่แคบลงก่อนที่สายตาของเขาจะเย็นชาด้วยคำพูดของทั้งสองคน แม้แต่หมิงตงก็โกรธ เขาพูดพร้อมคำเตือนว่า “เจ้าสองคนควรหวังให้ข้าไม่เจอเจ้าในสังเวียน”
ชายทั้งสองเริ่มโกรธแค้น คาราการะเบิดเสียงดังขึ้นมาว่า “เจ้าคนโง่เขลา ถ้าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เมืองทหารรับจ้าง ข้าคงจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ “
“เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าต้องเป็นหมิงตง ให้ข้าแนะนำอะไรแก่เจ้าสักหน่อยเถอะ ถ้าเจ้าต้องเจอกับข้าบนสังเวียน เจ้าควรยอมจำนนทันที ไม่เช่นนั้นข้าสาบานได้เลยว่าเจ้าจะไม่ได้มีชีวิตออกไป” ชายวัยกลางคนถัดจากคารากาพูดด้วยน้ำเสียงอันเหี้ยมโหด หากไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเขาคงลงมือไปแล้ว
หมิงตงแค่นเสียงพร้อมปลดปล่อยเจตนาฆ่าออกมา “มาดูกันว่าเจ้าจะสามารถรักษาคำพูดของเจ้าไว้ได้หรือไม่”
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินมืดลงเมื่อเขาจ้องชายสองคนก่อนที่จะพูดว่า คารากา, คาซด้าเฟย ข้าจะจดจำคำพูดของพวกเจ้าไว้ เราจะได้เห็นว่าใครจะมีชีวิตอยู่และใครจะตายในที่สุด” ทั้งสองนี้เป็นผู้เข้าแข่งขันอันดับหนึ่งและสาม ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงหมายหัวของพวกเขาไว้นานแล้ว
“อืม เด็กสองคนที่ไม่รู้จักความใหญ่โตของสวรรค์” คาซด้าเฟยหัวเราะขณะที่เขาเย้ยหยันทั้งเจี้ยนเฉินและหมิงตง
“พอแล้ว เจ้าสองคนไม่อับอายบ้างเลยหรือ พวกเจ้าอายุมากกว่า แต่พวกเจ้ากำลังกลั่นแกล้งผู้เยาว์ ? ข้าเองยังอายแทนเลย” ชายคนอยู่ตรงกลางพูดในที่สุด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น,ชายสองคนจึงมองบุคคลที่สาม “ซาร์เอี้ย นี่เป็นเรื่องของเรา เจ้าไม่ต้องมายุ่ง” คาซด้าเฟย ตอบเขา
“พวกเจ้าคิดว่าการกลั่นแกล้งผู้เยาว์เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจหรือ ? ช่างโง่เขลาเสียหลือเกิน ถ้าเรื่องนี้แพร่หลายออกไป ความอัปยศจะตกอยู่กับนักรบธาตุแสงอย่างเรา” คำพูดของซาร์เอี้ยเป็นเหมือนน้ำแข็ง.
พอได้แล้ว ! คารากาจ้องมองซาร์เอี้ยด้วยความอับอาย “ซาร์เอี้ย อย่าลืมที่ของเจ้า เจ้าเข้าข้างคนนอก เจ้าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ ? “
ซาร์เอี้ยเยาะเย้ย “อย่ามาทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง ข้าไม่ได้ช่วยคนนอก ข้าแค่ไม่เห็นด้วยกับเจ้าสองคน พวกเจ้าสองคนนำความอับอายมาสู่นักรบธาตุแสง”
” เจ้า..” คารากาและคาซด้าเฟยตะโกนและตัวสั่นด้วยความโกรธ พวกเขาไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่น
ในขณะนั้น ม่านพลังก็เปลี่ยนสีก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว ในวินาทีต่อมา สังเวียนทั้งหมดด้านหน้าของพวกเขาก็เริ่มลงมาก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย สังเวียนจมลงไปในพื้นดินโดยไม่มีรอยบุบหรือกระแทก
เจี้ยนเฉินรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ เขาไม่คิดว่าเมืองทหารรับจ้างจะมีเหตุการณ์ลึกลับเช่นนี้ได้ เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าสังเวียนจมลมไปในพื้นดินได้อย่างไรและทันใดนั้นแผ่นดินผืนใหม่ก็โผล่ขึ้นมา ที่ดินผืนนี้มีขนาดใหญ่กว่าสังเวียนเดิมและกว้างประมาณ 500 เมตร
ในขณะที่สังเวียนใหม่ขึ้นมา ม่านพลังโปร่งใสก็ล้อมรอบมันไว้ก่อนที่ประตูมิติสองประตูจะเปิดขึ้นจากทั้งสองฝั่ง