ตอนที่ 467 แฟนพันธุ์แท้

นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น

นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 467 แฟนพันธุ์แท้
“ระวังหน่อยสิ” ฉินซั่งและบาร์เทนเดอร์มองหน้ากันก่อนจะเอื้อมมือออกไปประคองหลิวเสี่ยวหนิง

“ปล่อยนะ” หลิวเสี่ยวหนิงจะดิ้นรนจากมือฉินซั่งแต่กลับรู้สึกว่าร่างกายเริ่มอ่อนแรงจนไม่สามารถออกแรงได้

แม้ว่าจะไม่ได้คอแข็งนัก แต่แค่สองแก้วก็คงไม่เมาขนาดนี้ หลิวเสี่ยวหนิงเอื้อมมือถูขมับ ทว่าภาพตรงหน้ากลับเริ่มเบลอ

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

หลิวเสี่ยวหนิงระวังตัวก่อนคิดจะผลักฉินซั่งแต่ร่างกายกลับไร้แรง

หลิวเสี่ยวหนิงค่อยๆ รู้สึกว่าหัวของเขาว่างเปล่า และเสียงในหูของเขาก็เริ่มเบลอ

“คุณคนสวย?”

ฉินซั่งกอดหลิวเสี่ยวหนิงไว้เต็มอ้อมแขนก่อนจะลองเรียกอีกคน เมื่อเห็นอีกคนไม่ตอบสนองถึงได้กระตุกมุมปาก “ทำได้ดีมาก”

เขาหยิบธนบัตรไม่กี่ใบจากกระเป๋าแล้วโยนลงบนบาร์ ก่อนจะพาหลิวเสี่ยวหนิงออกไปภายใต้สายตาอิจฉาและอึกทึกของกลุ่มเพื่อน

“ทำไม…ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้…” หลิวเสี่ยวหนิงที่ไม่ได้สติบ่นเบาๆ ก่อนจะใช้มือเล็กตีแขนของฉินซั่ง

ฉินซั่งที่เห็นก็น้ำลายสอและลูบไล้แก้มหลิวเสี่ยวหนิง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่จะทำดีกับเธอแน่นอน”

จากนั้นในขณะที่ฉินซั่งเงยหน้าขึ้น ก็มีหมัดกระทบหน้าจนเขาที่ไม่ทันตั้งตัวก็เซไป

“ไอ้สารเลว!” ฉินซั่งถ่มน้ำลาย และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหน้าตาดูอ่อนโยนรับหลิวเสี่ยวหนิงไป

“ไอ้เดรัจฉาน!”

จินจิ่นหรานในชุดสูทรองเท้าหนัง มองสีหน้าหลิวเสี่ยวหนิงที่ไม่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าเขาก็นิ่งในทันที

ในฐานะแพทย์ เขามองออกได้อย่างรวดเร็วว่าหลิวเสี่ยวหนิงนั้นถูกวางยา และยังรวมทั้งที่เมื่อกี้ได้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างฉินซั่งกับบาร์เทนเดอร์ ตัวเขาก็รีบตามมาทันที

“แกมันตัวอะไร อย่ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน”

ใบหน้าของฉินซั่งมืดมน ไม่คิดว่าจะมีคนมาขัดกลางคันแบบนี้

จินจิ่นหรานไม่สนใจฉินซั่ง เพียงโอบหลิวเสี่ยวหนิงหันหลังจากไป ฉินซั่งที่เห็นจะไปยอมได้อย่างไรก็ด่ากราดและจะลงไม้ลงมือ

แต่ฉินซั่งที่ทำอะไรไม่เป็นจะไปต่อยตีเป็นที่ไหนได้ จินจิ่นหรานที่หันกลับมาก็ถีบฉินซั่งลงไปกองกับพื้น

อุณหภูมิของหลิวเสี่ยวหนิงในอ้อมแขนของเขาสูงขึ้นและเริ่มไม่สบายตัว เดิมที่คิดจะแจ้งความจินจิ่นหราน จึงทำได้แค่พาหลิวเสี่ยวหนิงออกไปก่อน

ร่างกายของหลิวเสี่ยวหนิงทรุดตัว เธอพยายามลืมตาแต่กลับรู้สึกคลื่นไส้ และในขณะนั้นก็มีของเย็นกดลงบนหน้าผากซึ่งช่วยบรรเทาความรู้สึกอึดอัดไปได้มาก

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน มีเสียงแผ่วเบาข้างใบหู หลิวเสี่ยวหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น และภาพที่เห็นนั้นกลับเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

เธอตื่นตระหนกและกำลังนึกย้อนสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

“ตื่นแล้วเหรอครับ?”

เสียงสงบนิ่งของผู้ชายดังขึ้น และหลิวเสี่ยวหนิงก็หันศีรษะไปทันที

เห็นจินจิ่นหรานเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำ

ความกลัวเข้าครอบงำเธอทันที หลิวเสี่ยวหนิงกำลังจะลุกขึ้นนั่ง แต่แขนขาที่หนักหน่วงเธอกลับขัดขวางการเคลื่อนไหว

“คุณเป็นใคร? คุณทำอะไรฉัน?” หลิวเสี่ยวหนิงเสียใจที่ไปเมาอยู่ที่บาร์ จนก่อเรื่องใหญ่โต

หลิวเสี่ยวหนิงรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่ง และกำผ้านวมไว้แน่น

“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไม่ใช่คนไม่ดี” เมื่อเห็นท่าทีระแวงของอีกคน จินจิ่นหร่านก็โบกมืออย่างรวดเร็วเพื่ออธิบาย

“ผมชื่อจินจิ่นหราน เมื่อวานคุณถูกวางยาที่บาร์แล้วเกือบถูกพาตัวไป ผมเลยพากลับมาบ้านตัวเองก่อน”

เมื่อพูดอย่างนั้น จินจิ่นหร่านก็ชี้ไปที่กล่องยาข้างเตียง และหยิบป้ายชื่อยื่นให้หลิวเสี่ยวหนิง ก่อนจะอธิบายอย่างเร่งรีบ

“เพราะผลข้างเคียงของยา ตอนนี้คุณมีไข้ต่ำ เพราะงั้นต้องพักผ่อนก่อนนะครับ” เขาพูดเสียงเบาพร้อมสายตากังวล

หลิวหสี่ยวหนิงหยิบป้ายชื่อ ก่อนจะเห็นชื่ออีกคนอยู่บนนั้น เธอมองไปที่แขนเสื้อของเธอและแน่นอนว่ามีผ้าพันแผลอยู่บนแขน

เธอมองจินจิ่นหร่าน และเขาดูไม่เหมือนไม่ใช่คนไม่ดีจริงๆ

“คุณ…ช่วยฉันไว้?”

หลังจากสงบสติอารมณ์ลง หลิวเสี่ยวหนิงก็ถูขมับและหวนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่บาร์เมื่อวานนี้อย่างละเอียด แน่นอนว่านึกถึงคนหนึ่ง

ฉินซั่ง

“อันที่จริงผมเป็นแฟนของคุณ ผมเคยดูหนังของคุณมาหลายเรื่องแล้วล่ะครับ” จินจิ่นหร่านหยิบประคบเย็นที่ตกอยู่บนเตียงขึ้นมา เม้มริมฝีปากและยิ้มออกมา

“เมื่อวานที่บาร์ ผมเห็นว่าชายคนนั้นกับบริกรคุยกันอะไรบางอย่างแล้วก็จะพาคุณไป ผมเป็นห่วงเลยตามไปดู สุดท้ายคนนั้นก็มีเจตนาไม่ดี”

หลังจากฟังคำบอกเล่าของจินจิ่นหรานแล้ว เธอก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวและความทรงจำก็ค่อยๆ กลับมาจนเธอจำเรื่องเมื่อคืนได้

ต้องเป็นชายที่น่ารังเกียจอย่างฉินซั่งแน่ที่วางยาเธอ!

ถ้าเมื่อวานตัวเองไม่บังเอิญเจอจินจิ่นหราน ผลที่ตามมาก็คงจะเกินจินตนาการ

จินจิ่นหรานมองไปที่ใบหน้าหนักหน่วงของอีกคนก็ว่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลืนมันกลับลงไป แต่หลิวเสี่ยวหนิงที่เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นท่าทีแบบนั้นเข้า

ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน และในที่สุดหลิวเสี่ยวหนิงก็หลุบตาลง “ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่ใช่นาย ผลที่ตามมาคงเกินจินตนาการ”

จินจิ่นหรานยื่นแก้วน้ำให้อีกคนก่อนจะพูดเสียงเบา “ต่อไประวังหน่อยนะครับ ยิ่งคุณเป็นบุคคลสาธารณะและเป็นผู้หญิงด้วย ไปบาร์คนเดียวก็ต้องระวังตัวสิครับ”

หลิวเสี่ยวหนิงพยักหน้า ครึ่งหนึ่งของใบหน้ายู่ฝังอยู่ในปากแก้วน้ำและดื่มน้ำอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นก็เหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นได้และรีบหาบนร่างกายตัวเองอย่างรวดเร็ว

จินจิ่นหรานที่เห็นท่าทีอีกคนก็ตกใจไปด้วย ก่อนจะวางเทอร์โมมิเตอร์ในมือไว้ข้างๆ “คุณกำลังหาอะไรเหรอครับ?”

“คุณเห็นมือถือฉันไหม?” หลิวเสี่ยวหนิงสูดหายใจเข้าลึก ตัวเองไม่กลับบ้านข้ามคืน หากผู้จัดการรู้เข้าต้องไม่ยกโทษให้แน่

หลิวเสี่ยวหนิงหันไปเห็นโทรศัพท์อยู่ข้างเตียง ก่อนจะพุ่งตัวไปทว่าโทรศัพท์กลับปิดเครื่อง ในขณะนั้นเองที่เธอรู้สึกถึงอนาคตที่มืดมน

“เป็นอะไรไปครับ?” เมื่อเห็นหลิวเสี่ยวหนิงอยู่ข้างเตียงและไม่ตอบสนอง จินจิ่นหรานก็ถามอย่างกังวล

หลิวเสี่ยวหนิงหันศีรษะไปช้าๆ สีหน้าดูไม่สู้ดี สองมือถือโทรศัพท์ไว้แล้วมองไปที่จินจิ่นหราน “คุณผู้มีพระคุณ คุณมีที่ชาร์จไหม?”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจไม่รับโทรศัพท์นะ โทรศัพท์มันแบตหมดแล้วก็ดับอัตโนมัตินะ” หลิวเสี่ยวหนิงนั่งข้างเตียงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีจากการถูกผู้จัดการสั่งสอน

เธอยังแอบคิดว่าจะแอบวางสายโดยแสร้งทำเป็นว่าโทรศัพท์แบตหมดอีกดีไหม

แต่สุดท้ายก็ถูกผู้จัดการจัดการจนล้มเลิกความคิดไป

“หลิวเสี่ยวหนิง ช่วยรู้ตัวเองได้ไหมว่าเธอคือบุคคลสาธารณะนะ เธอรู้ไหมว่าทุกย่างก้าวของเธอถูกสื่อจับตามองน่ะ!”

หลิวเสี่ยวหนิงค่อยๆ ออกห่างโทรศัพท์ ก่อนจะสูดจมูกและคิดจะวางสายทันที “รู้แล้วๆ ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ”

“แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน? ฉันจะไปรับเอง” มีเสียงเปิดปิดประตูจากฝั่งผู้จัดการ เห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมตัวออก

“ที่…” หลิวเสี่ยวหนิงกำลังจะตอบ แต่เมื่อคิดได้ว่าอยู่บ้านคนอื่นก็ขัดจังหวะผู้จัดการทันที

“ไม่ต้อง! ฉันกลับไปเองได้! ฉันจะกลับไปที่บริษัทเลย ไม่รบกวนให้มารับดีกว่า”

ผู้จัดการที่เตรียมตัวออก ได้ยินน้ำเสียงของหลิวเสี่ยวหนิงก็เกิดความสงสัย “หลิวเสี่ยวหนิง เธอไม่ได้คบใครอยู่ใช่ไหม?”