74 พระราชวังถัง ความตกใจของจ้าวกงกง

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

“ไม่คาดคิดเลยว่า ‘พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล‘ จะทรงพลังน่ากลัวขนาดนี้”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ

 

เขาเพิ่งจะฝึกฝนพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเพียงครึ่งชั่วโมง แต่รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตนเพิ่มขึ้นเทียบเท่าการฝึกฝนอย่างหนักในสิบวันที่ผ่านมาเลยทีเดียว

 

“โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำก็หดเล็กลงด้วยเช่นกัน…”

 

ซูฉินเหมือนจะจับความรู้สึกบางอย่างได้จึงกระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง

 

โดยทั่วไปแล้วโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำหนึ่งเม็ด ซูฉินสามารถดูดซับหมดได้ภายในหนึ่งถึงสองเดือน

 

เนื่องจากตัวยาที่อยู่ในโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำมีมากเกินไป แม้ซูฉินจะเป็นระดับอรหันต์แล้วแต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการย่อยและดูดซึม

 

แต่เมื่อครู่

 

เมื่อซูฉินโคจรพลังตามพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลพบว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่ท้องน้อยของเขาละลายด้วยความเร็วที่มากจนน่ากลัว

 

“ไม่เลวไม่เลว”

 

“อย่างน้อยที่สุดภายในหนึ่งปีข้าก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สองได้”

 

ดวงตาของซูฉินเปล่งประกายเจิดจรัส

 

หากไม่มีพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล แม้จะได้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำช่วยเอาไว้ แต่ซูฉินก็ยังต้องใช้เวลาเกือบสิบปีถึงจะตัดผ่านเขตแดนไปได้

 

แต่ตอนนี้เวลาสั้นลงเป็นสิบเท่า

 

นี่เป็นเพราะการพัฒนาตนของระดับอรหันต์ไม่ใช่เพียงแค่สั่งสมตบะ แต่ที่สำคัญกว่ากลับเป็นความเข้าใจในเรื่องฟ้าดิน

 

ไม่เช่นนั้นความเร็วในการพัฒนาของซูฉินคงจะเร็วกว่านี้ไปแล้ว

 

“ตามที่เคยได้ยินมา หากผู้ใดเข้าใจคัมภีร์ระดับสูงสุดทั้งสาม ได้แก่ พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล พระสูตรปัจจุบันขณะแห่งตถาคต และพระสูตรไร้กำเนิด ผู้นั้นจะได้พบกับอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ เข้าถึงสุขอันแท้จริง…”

 

ซูฉินเหมือนจะใฝ่หาสิ่งนั้นอยู่เล็กน้อย

 

“น่าเสียดายนักที่วิธีการบ่มเพาะจากพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลมีประโยชน์มากเช่นนี้ แต่อัตราการใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำก็เร็วจนเกินไป…”

 

ซูฉินคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

เดิมทีโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดหนึ่งเพียงพอให้ซูฉินดูดซับไปนานหนึ่งถึงสองเดือนเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เกรงว่าเขาคงต้องใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดถัดไปเพิ่มอีกในสัปดาห์หน้า

 

“นี่มันทำให้เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นที่ด้านนอกหรือไม่?”

 

เพียงคิด จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังของซูฉินก็ปกคลุมไปทั่ววัดอย่างรวดเร็ว

 

แม้ว่าการฝึกฝนของซูฉินจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่พายุบริเวณรอบนอกที่ถึงจะเริ่มสลายไปอย่างช้าๆ นั้น อย่างไรก็ยังหลงเหลือร่องรอยที่หายไปไม่หมดในช่วงเวลาสั้นๆ อยู่

 

 

นอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังลังเลว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่

 

ท้ายที่สุดแล้วปรากฏการณ์เช่นนี้ถือว่าค่อนข้างใหญ่ทีเดียว แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะพอคาดเดาจากที่เคยอ่านในบันทึกโบราณภายในวัด คาดว่าสิ่งนี้คงเป็นความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของซูฉิน แต่เขาก็ยังแอบกังวลอยู่ในใจลึกๆ

 

ทันใดนั้น

 

ชั่วขณะนั้น

 

เสียงอันสงบนิ่งดังก้องที่ข้างหูของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหมด

 

“กลับกันไปเถอะ ไม่มีอะไร”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างก้มลงเล็กน้อยเพื่อคำนับ

 

“ขอรับ”

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่ด้านนอกพระราชวังราชวงศ์ถัง

 

ใบหน้าขององค์ชายหลี่เชิงยังคงแสดงอาการแปลกๆ ออกมาเล็กน้อยในตอนนี้

 

“เสด็จพ่อแต่งตั้งให้ข้าเป็นองค์รัชทายาทหรือนี่?”

 

องค์ชายหลี่เชิงกะพริบตาปริบๆ ใบหน้านิ่งค้าง

 

แม้เขาจะได้รู้เรื่องสถานะที่แท้จริงของตนเมื่อไม่กี่ปีก่อนว่าเขาสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์

 

แต่หลี่เชิงจะเคยคิดฝันว่าตนต้องกลายมาเป็นองค์รัชทายาทเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?

 

องค์รัชทายาทคือสิ่งใด?

 

ไม่ว่าจะอาณาจักรหรือราชวงศ์ใด องค์รัชทายาทนั้นเป็นรองก็แต่องค์จักรพรรดิเท่านั้น และหลังจากองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์เขาก็จะขึ้นแทนตำแหน่งอย่างชอบธรรม

 

กล่าวได้ว่าหากหลี่เชิงได้เป็นองค์รัชทายาท เขาก็จะเป็นผู้นำอาณาจักรถังในอนาคต

 

“เหนียงหยุนนี่เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ?”

 

หลี่เชิงมองไปที่ซูเยว่หยุนที่อยู่ด้านข้างตัวเขา

 

เมื่อไม่กี่ปีก่อนหลังจากที่เขาตามหลิวกงกงมาที่วังหลวง เพียงไม่นานนักเขาก็ได้พาซูเยว่หยุนเข้ามาด้วย

 

“อย่าเพิ่งด่วนดีใจไป”

 

“มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นักที่เจ้าได้กลายมาเป็นองค์รัชทายาท…”

 

ซูเยว่หยุนส่ายหัวแล้วพูดออกมา

 

“ไม่ใช่เรื่องดีเช่นนั้นหรือ…”

 

องค์ชายหลี่เชิงก็สงบใจลงเช่นกัน

 

แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่คาดคิดเลยว่าตนจะได้เป็นองค์รัชทายาท แล้วผู้อื่นมิยิ่งกว่าหรอกหรือ?

 

และที่สำคัญที่สุดคือ

 

องค์จักรพรรดิถึงกับแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท องค์ชายคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร? เหล่าขุนนางข้าราชสำนักจะคิดเช่นไร?

 

รู้หรือไม่ว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้เหล่าพี่น้องของหลี่เชิงล้วนต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงเพื่อหวังจะครองตำแหน่งรัชทายาท เกือบถึงขั้นแตกหักกัน

 

พวกเขาจะยอมให้ตำแหน่งรัชทายาทหลุดรอดไปถึงมือหลี่เชิงจริงๆ เช่นนั้นหรือ?

 

นอกจากนี้ยังมีเหล่าขุนนางผู้สนับสนุนองค์ชาย พวกเขาลงเดิมพันทุกสิ่งอย่างกับองค์ชายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งไว้อยู่แล้วเพื่อโอกาสในการสืบทอดบัลลังก์

 

หากองค์ชายคนสุดท้องอย่างเขาได้สิ่งที่พวกนั้นต้องการไป ขุนนางที่รอคอยโอกาสเหล่านั้นจะคิดอย่างไร?

 

เมื่อคิดได้ดังนั้นองค์ชายหลี่เชิงก็พลันรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ เหมือนตัวเองยืนอยู่ตรงทางตัน

 

“ไม่ต้องเป็นห่วง”

 

“เนื่องจากฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเช่นนี้ จะต้องมีเหตุผลอยู่แล้วเป็นแน่”

 

ซูเยว่หยุนปลอบโยนคนด้านข้างด้วยคำพูดสองสามประโยค

 

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หลี่เชิงพยักหน้าอย่างแข็งแกร่งมั่นคง

 

ในขณะนั้น

 

พลันมีคนวิ่งเข้ามาหา

 

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท มีคนจากวังหลวงมาขอเข้าพบขอรับ…”

 

“คนจากวังหลวงอยากพบข้า?” องค์ชายหลี่เชิงผงะไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไปในทันใด “ข้ารู้แล้ว จะรีบไปเดี๋ยวนี้”

 

ในไม่ช้า

 

หลี่เชิงและซูเยว่หยุนก็พากันเดินออกไปด้านนอก

 

ในขณะนี้ที่ด้านนอกประตูถูกห้อมล้อมไปด้วยขบวนจากพระราชวังฝ่ายใน มีขันทีในชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ตรงนั้นใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม

 

“สีม่วง?”

 

หลี่เชิงทำได้เพียงร่ำร้องอยู่ในใจของตน

 

หลังจากมาอยู่ที่เมืองฉางอันเป็นเวลานาน หลี่เชิงก็รู้ว่าชุดคลุมสีม่วงเป็นตัวแทนของตัวตนเช่นไรในวังหลวง

 

และนั่นก็คือจ้าวกงกง ความเป็นไปทั้งหมดภายในวังหลวงอยู่ในกำมือของขันทีผู้นี้ มีอำนาจมากเสียยิ่งกว่าเหล่าองค์ชายเสียอีก

 

ในสถานการณ์ปกติเขาจะถวายการรับใช้ต่อองค์จักรพรรดิถังและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกจากวังหลวง

 

แต่ตอนนี้จ้าวกงกงดันปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูที่พักของหลี่เชิง…

 

พอคิดเรื่องราวต่างๆ ดูแล้ว หลี่เชิงก็เริ่มกังวลขึ้นมา

 

“ถวายบังคม”

 

เมื่อจ้าวกงกงเห็นหลี่เชิงเดินออกมาก็โค้งคำนับลงเล็กน้อย

 

“จ้าวกงกง”

 

หลี่เชิงตอบรับกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

“เรียนฝ่าบาท องค์จักรพรรดิมีคำสั่งให้องค์ชายย้ายไปอยู่ที่พระราชวังตะวันออก”

 

จ้าวกงกงกล่าวคำช้าๆ

 

“พระราชวังตะวันออก?”

 

หลี่เชิงผงะไปชั่วขณะแล้วพูดว่า “ข้าจะเก็บของแล้วไปที่พระราชวังตะวันออกพร้อมกับจ้าวกงกงในทันที”

 

“ไม่จำเป็น”

 

จ้าวกงกงส่ายศีรษะน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “พระองค์สามารถตามเกล้ากระหม่อมไปยังพระราชวังตะวันออกตอนนี้ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างได้เตรียมพร้อมรับรองเอาไว้ที่นั่นหมดสิ้นแล้ว”

 

“แต่ว่า…”

 

หลี่เชิงดูลังเล เขาเหลือบไปมองซูเยว่หยุนที่อยู่ข้างๆ เขาถามออกอย่างไม่แน่ใจ “เช่นนั้นข้าขอไปที่พระราชวังตะวันออกพร้อมกับจ้าวกงกงและเหนียงหยุน”

 

“เหนียงหยุน?”

 

จ้าวกงกงหันมาสบตากับซูเยว่หยุนแล้วจึงส่ายหัว “มีเพียงองค์รัชทายาทและพระชายาเท่านั้นที่สามารถอยู่ในพระราชวังตะวันออกได้ ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”

 

แม้ว่าซูเยว่หยุนจะเป็นคู่สมรสของหลี่เชิง แต่นางก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระชายาอย่างเป็นทางการ

 

สุดท้ายแล้วแม้แต่ตัวหลี่เชิงเองก็เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาทในวันนี้นี่เอง แล้วจะมีเวลาไหนไปแต่งตั้งซูเยว่หยุนกันเล่า

 

“เจ้าจงไปพระราชวังตะวันออกก่อนเถิด ข้ามิได้รีบร้อนอันใด”

 

ซูเยว่หยุนพลันกระซิบบอกเมื่อเห็นหลี่เชิงมีอาการลังเล

 

ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือจ้าวกงกง ขันทีชุดม่วง หากจ้าวกงกงไม่พอใจเพราะความลังเลของหลี่เชิงมันจะเป็นปัญหาต่อเนื่องไปยังองค์จักรพรรดิได้

 

“ฝ่าบาท เร็วเข้าเถอะ”

 

เมื่อจ้าวกงกงเห็นว่าหลี่เชิงไม่ตอบสนอง เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซูเยว่หยุนอีกครั้ง

 

ด้วยการเหลือบมองนี้จึงทำให้จ้าวกงกงเห็นจี้หยกที่แขวนอยู่บริเวณเอวของซูเยว่หยุน

 

จี้หยกนี้ดูธรรมดามาก แต่ซูเยว่หยุนกลับห้อยไว้ข้างกายเห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับมันมาก

 

กระนั้นจ้าวกงกงดูเหมือนจะค้นพบบางสิ่งเข้า สายตาของเขาจดจ้องไปที่จี้หยกข้างเอวของซูเยว่หยุน

 

“นี่คือ?”

 

ยิ่งมองดูจ้าวกงกงก็ยิ่งใจสั่นขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป ความตกใจ ความไม่เข้าใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า