บทที่ 486 สัมผัสแห่งการคุกคาม
บทที่ 486 สัมผัสแห่งการคุกคาม
“นักเวทแนวหลังกระจายตัว! สายระยะประชิดพุ่งเข้าไป!”
“นักรบโล่นั้นดึงความสนใจเร็ว! บอสเล็งความสนใจไปที่พวกระยะไกลแล้ว!”
“ฉันตายแล้ว รอฉันฟื้นคืนชีพก่อน!”
“เครื่องหมายฟื้นคืนชีพของฉันก็ถูกใช้หมดแล้ว เจ้าแห่งฮีลเลอร์ยังคูลดาวน์ไม่เสร็จอีกเหรอ?”
“ทุกคนระวังตัวด้วย! พยายามอย่าตาย! รอสกิลชุบชีวิตของเจ้าแห่งฮีลเลอร์คูลดาว์นก่อน!”
…
เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วที่การต่อสู้กับบอสเริ่มขึ้น และกลุ่มบุกดันเจี้ยนเหลือผู้เล่นไม่ถึงหกสิบคน และพวกเขายังคงตายในสนามรบอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นบางคนที่ไปฟื้นคืนชีพที่ประตูดันเจี้ยนรีบวิ่งกลับไปยังสนามรบอย่างรวดเร็ว!
เซียวเฟิงเลิกรับผิดชอบหน้าที่ในฐานะนักบวชและอยู่ใจกลางสนามรบ โดยปล่อยแนวหลังให้นักบวชคนอื่น ๆ ในกลุ่มดันเจี้ยนเป็นฝ่ายรับผิดชอบ เขาสามารถดูแลได้เฉพาะคนที่อยู่ในขอบเขตการมองเห็นของเขาเท่านั้น
บอสเถาวัลย์ทั้งสองมีพลังชีวิตเหลือน้อยกว่า 30% และในตารางสถิติการทำความเสียหายของกลุ่มดันเจี้ยน เซียวเฟิงเพียงคนเดียวก็คิดเป็น 40% ของผลรวมทั้งหมด! เป็นอันดับ 1!
ผลรวมของไทแรนนี่และซีเหมินชุยเสวียอยู่ที่ประมาณ 10% ตามลำดับ แต่เนื่องจากการที่เครื่องหมายการฟื้นคืนชีพของไทแรนนี่ถูกใช้ไปหมดแล้ว ผลรวมที่นำอยู่ในตอนนี้ ก็ค่อย ๆ ถูกซีเหมินชุยเสวียแซง
ยอดผีมือที่เหลือกว่าเก้าสิบคนแบ่งปัน 40% ของผลรวมเท่า ๆ กัน ใครก็คงสามารถจินตนาการได้ว่ามันยากแค่ไหน นี่คือการเล่นมานานนับชั่วโมง!
แม้ว่าความเสียหายจากเซียวเฟิงจะมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของปาร์ตี้ แต่เซียวเฟิงก็ไม่พอใจ คิ้วของเขาก็มีรอยย่นลึก ๆ เนื่องจากความเสียหายส่วนเล็ก ๆ ของอัตราส่วนความเสียหายทั้งหมดของเขามาจากเสี่ยวไป๋ และผลดาบศักดิ์สิทธิ์ของเสี่ยวไป๋ที่ทำให้การโจมตีมีความเสียหาย การโจมตีนี้ดูเหมือนว่าจะโจมตีผ่านเกราะได้เลย ช่างเป็นความเสียหายที่น่าทึ่ง
ในทางกลับกัน เซียวเฟิงซึ่งมีสกิลทำความเสียหายที่มีประสิทธิภาพเพียงถ้อยคำแห่งเงาอย่างเดียว เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณสมบัติของเถาวัลย์เป็นปีศาจหรือเพราะความต้านทานตามธรรมชาติของสกิลติดตัวถึงได้ต้านทานถ้อยคำแห่งเงาได้มาก มันสามารถอยู่ได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น และความเสียหายที่ทำได้นั้นอยู่ที่ประมาณ 2% หรือ 3% เท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกลำบาก ท้ายที่สุดแล้วอาชีพของเขาคือนักบวช แม้ว่าความเสียหายจะสูง แต่ก็ยังขาดสกิลทำความเสียหายอยู่ โดยพื้นฐานแล้ว เขาใช้แค่สกิลค้อนแห่งการพิพากษาและถ้อยคำแห่งเงาเพื่อทำความเสียหายสลับไปมา ใช้มันเท่าที่จำเป็นเพราะเซียวเฟิงเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และบอสทั้งสองก็มีกลไกที่สนใจเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งทำให้ความสนใจนั้นตกอยู่กับเซียวเฟิงเสมอ ดังนั้นจึงไม่มีสภาพแวดล้อมที่เพียงพอเลย
ตัวอย่างเช่น เมื่อสร้างความเสียหายจำนวนกับบอสระยะประชิด มันจะดึงดูดความสนใจของบอสระยะไกลด้วย และถูกรุมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ทำให้แยกจุดสนใจกันไม่ได้เลย
แม้ว่าจะมีสกิลการฟื้นคืนชีพอันศักดิ์สิทธิ์ของเซียวเฟิง จำนวนผู้เล่นในกลุ่มดันเจี้ยนก็ถูกสังหารไปมากกว่าสองร้อยครั้ง ความอันตรายของสถานการณ์นั้นชัดเจน
สิ่งที่ทำให้เซียวเฟิงหงุดหงิดจริง ๆ ไม่ใช่ความยากของดันเจี้ยนนี้ แต่ความกดดันที่ไทแรนนี่และซีเหมินชุยเสวียส่งมาให้เขา!
หลังจากต่อสู้ร่วมกันมานานกว่าหนึ่งชั่วโมง เซียวเฟิงก็แน่ใจแล้วว่าความแข็งแกร่งของไทแรนนี่และซีเหมินชุยเสวียมาจากตัวของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นอาชีพลับหรือสกิลที่สร้างขึ้นเอง ทั้งหมดนี้มาจากตัวพวกเขาเอง!
ซีเหมินชุยเสวียเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของลูกหลานตระกูลขุนนางรุ่นนี้ ตอนที่อายุยังน้อย เขาก็ได้มองเห็นวิถีแต่กำเนิดของเขาแล้ว
สำหรับตระกูลที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน เส้นทางสู่ประตูโดยกำเนิดไม่ใช่การพูดเกินจริง เป็นการเบิกศักยภาพชนิดหนึ่ง ศักยภาพของร่างกายมนุษย์ที่ได้รับการพัฒนาถึงขั้นที่สอง และได้กลายเป็นตัวตนอยู่ที่อยู่เหนือคนธรรมดา นั่นคือ ทั้งพิเศษและถูกขัดเกลา ความสามารถที่ยอดเยี่ยม แม้แต่ในประวัติศาสตร์ของตระกูลใหญ่ ผู้ที่ไปถึงระดับนี้หาได้ยากมาก และพวกเขาทั้งหมดจัดว่าอยู่ในระดับของโลกในสายตาของคนธรรมดา
และเท้าของซีเหมินชุยเสวียก็ได้ก้าวเข้าสู่ประตูนั้นไปข้างหนึ่งแล้ว ในยุคนี้ ใคร ๆ ก็นึกถึงความวิเศษของเขาได้ สมกับชื่ออัจฉริยะอันดับหนึ่งของคนชั้นสูงรุ่นใหม่!
ตัวตนของไทแรนนี่ตอนนี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก เขาปกคลุมไปด้วยความลึกลับ แต่ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเขาก็มีความพิเศษไม่แพ้กับซีเหมินชุยเสวีย หรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ เขาสร้างอาชีพของตัวเอง สร้างสกิลของเขาเอง และมีแม้แต่อาวุธที่เติบโตได้ที่เป็นของเขาเอง! นี้เป็นศูนย์รวมของความแข็งแกร่งส่วนบุคคลที่แข็งแกร่ง!
และเซียวเฟิงแม้จะเกิดในตระกูลจาง แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าพวกเขาในแง่ของภูมิหลัง แต่เขาก็ไม่ได้รับมรดกสืบทอดจากตระกูลจางแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าโชคดีทีเดียวที่มาถึงจุดนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ สัตว์เลี้ยง หรือสกิลก็ตาม ไอเทมที่เหนือกว่าคนอื่นเหล่านี้ได้รับมาเพราะโชคช่วย…
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะมีผลอยู่บ้าง แต่ความแข็งแกร่งของเซียวเฟิงนั้นมาจากร่างกายของตัวเอง แต่ไม่ใช่พรสวรรค์หรือมรดกสืบทอด ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลมาจากการดัดแปลงร่างกาย และเขาได้รับการปฏิบัติเหมือนหนูตะเภาในการทดลอง เขาเอาชีวิตรอดอย่างไร้ความปรานี และจนถึงตอนนี้ การใช้ความสามารถมากเกินไปจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตอีกด้วย!
นี่คือเหตุผลที่เซียวเฟิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย โชคมักมีขีดจำกัดเสมอ เห็นได้จากความจริงที่ว่าค่าพลังต่อสู้ของชายหนุ่มไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลานานแล้ว
แม้ว่าเซียวเฟิงจะอยู่ในอันดับหนึ่งในอันดับพลังการต่อสู้ตอนนี้ แต่เขาไม่มีความสามารถในการสร้างอาชีพหรือสกิลของตัวเองได้ เขาไม่ได้รับมรดกสืบทอดจากตระกูลจาง และสิ่งที่เขาได้รับในเกมนั้นไม่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างของที่ผู้เล่นสร้างขึ้น อาจกล่าวได้ว่าเวทีเกมปัจจุบันมาถึงช่วงกลางแล้ว และเซียวเฟิงก็รู้สึกว่ามันยากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากดันเจี้ยนในตอนนี้
นี่ไม่ใช่จุดอ่อนของอาชีพ เซียวเฟิงไม่เคยเสียใจที่เลือกอาชีพนักบวช แต่ตอนนี้เซียวเฟิงรู้สึกได้ถึงความกดดันหรือคุกคาม
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าบอสไม่ถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกคุกคามของเซียวเฟิงนั้นมาจากซีเหมินชุยเสวีย!
เดิมทีเซียวเฟิงคิดว่าซีเหมินชุยเสวียผู้ซึ่งถูกชิงคู่หมั้นของเขา พ่ายแพ้เขาในที่สาธารณะ และถูกทำลายออร่าของอัจฉริยะของเขาจะเสียหายอย่างหนัก
แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะอยู่ในอารมณ์ปกติ! สภาพจิตใจนี้เหนือกว่าปกติด้วยซ้ำ และมันเป็นสัญญาณของการก้าวเข้าสู่ประตูโดยกำเนิดแล้ว!
เมื่อซีเหมินชุยเสวียถึงระดับนั้นได้ เซียวเฟิงก็ถามตัวเองว่าเขาจะยังเป็นคู่ต่อสู้อีกฝ่ายต่อไปได้หรือไม่
ในเวลานั้น ไม่ว่าซีเหมินชุยเสวียจะแก้แค้นหรือไม่ก็ตาม มันจะไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเซียวเฟิงที่เป็นศัตรูกับตระกูลซีเหมินแน่นอน!
เซียวเฟิงไม่เคยเป็นคนใจกว้างหรือใจดี เขาทั้งถูกรังแกในตอนที่ยังเป็นเด็ก และถูกดัดแปลงร่างกายเป็นเครื่องจักรสังหาร ด้านมืดของมนุษย์ในตัวเซียวเฟิงนั้นเหนือกว่าด้านดีอยู่แล้ว
“ต่อสู้รอบ ๆ เจ้าแห่งฮีลเลอร์! อยู่กับเจ้าแห่งฮีลเลอร์จะรอดได้อย่างแน่นอน!”
“ลุยเลย บอสเหลือพลังชีวิตแค่ 25% เท่านั้น!”
“ทำลายบอสระยะไกลก่อน! มันเหลือพลังชีวิตแค่ 21%!”
แม้ว่ากลุ่มดันเจี้ยนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาได้รับการฟื้นฟูและเติมเต็มทันเวลาด้วยสกิลการฟื้นคืนชีพศักดิ์สิทธิ์ของเซียวเฟิง และผู้เล่นภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวยังคงรักษาจำนวนคนไว้ได้มากกว่าหกสิบคนเสมอ และปริมาณพลังชีวิตของบอสก็ลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้ทุกคนมองเห็นความหวังของความสำเร็จเช่นกัน!
สิ่งเลวร้ายเพียงอย่างเดียวคือผู้เล่นจำนวนมากกำลังติดตามเซียวเฟิงโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนจะพยายามปกป้องเซียวเฟิง แต่ในความเป็นจริงพวกเขาต้องการเพียงเครื่องหมายการฟื้นคืนชีพ
ด้วยพลังโจมตีของบอสระดับเทพเจ้า แม้แต่นักรบโล่ถึกมากที่สุด ในตอนนี้ก็ไม่สามารถทนรับสกิลบอสได้ถึงสองสามสกิล ดังนั้นการป้องกันความเสียหายสำหรับเซียวเฟิงจึงเป็นเรื่องไร้สาระอย่างยิ่ง แม้ว่าเซียวเฟิงจะดึงดูดความสนใจไว้ แต่บอสก็เล็งเซียวเฟิงเมื่อเขาโจมตีเท่านั้น คนที่เหลือโจมตีได้ถี่กว่าเซียวเฟิงเสียอีก
คนที่พึ่งพาเซียวเฟิงคือคนที่ใช้เครื่องหมายการฟื้นคืนชีพไปแล้ว พวกเขาต้องการรอให้สกิลการฟื้นคืนชีพศักดิ์สิทธิ์ครั้งต่อไปคูลดาวน์ เพราะหลังจากที่เซียวเฟิงออกจากแนวหลัง สกิลการฟื้นคืนชีพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่สามารถครอบคลุมทั้งกลุ่มได้ และครอบคลุมเฉพาะทิศทางที่หลิวเฉียงเหว่ย จืออี้ และซือเยี่ยจิ๋งอยู่เท่านั้น
เซียวเฟิงได้คุยกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวล่วงหน้า เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่อยู่ห่างกันมากเกินไป
แม้ว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ จะไม่รู้ขอบเขตสกิลของเซียวเฟิง แต่ก็รู้ดีว่าการอยู่ใกล้เซียวเฟิงเป็นเรื่องถูกต้อง ดังนั้นผู้ที่ใช้เครื่องหมายการฟื้นคืนชีพไปแล้วจึงอยู่รอบ ๆ เซียวเฟิง
“แยกย้ายกันไป! อยู่ให้ห่างจากฉัน!”
เซียวเฟิงขมวดคิ้วและตะโกนออกไป เพราะบอสระยะไกลก็ปล่อยสกิลออกมาเมื่อพลังชีวิตของมันลดลงเหลือ 20% และแน่นอนว่าเป้าหมายคือเซียวเฟิงที่มีผลงานสูงสุดตลอดการต่อสู้
พวกเขาเห็นเซียวเฟิงที่อยู่ในชุดเกราะกระดูกสีซีด ราวกับว่าเขาตกลงไปในถังสีย้อมสีเขียว ปกคลุมด้วยชั้นเถาวัลย์ที่ปล่อยเมล็ดพืชสีเขียวบนพื้นในขณะที่เคลื่อนไหวไปด้วย
หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของเซียวเฟิง ผู้เล่นส่วนใหญ่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและหลบไปด้านข้าง แต่ก็มีสองสามคนที่ตอบสนองช้าไป
จากนั้น ที่ด้านหลังเซียวเฟิง บนเส้นทางที่เขาวิ่ง ดอกไม้สีเขียวขนาดใหญ่ก็ผลิบาน!
อย่างไรก็ตาม ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นรูปทรงดอกไม้ แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกถึงความงามเลย มันเป็นเหมือนดอกไม้ปิรันย่าที่ใหญ่โตและน่าเกรงขาม ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมล็ดที่กระจัดกระจาย และผลิบานดอกแล้วดอกเล่า!
ผู้เล่นที่ตอบสนองช้าไปหนึ่งก้าวถูกกลืนกินทั้งหมด และพวกเขาถูกกลืนกินโดยดอกไม้ขนาดใหญ่ที่เปล่งแสงสีเขียวโดยไม่มีโอกาสได้ต่อต้าน และพวกเขาก็ถูกฆ่าตายทันที
ผู้เล่นคนอื่น ๆ หวาดกลัว เมื่อมองดูเซียวเฟิงหลบเส้นทางแห่งความตายขณะที่วิ่ง
ชำระล้าง!
เซียวเฟิงโบกคทานักปราชญ์ และแสงศักดิ์สิทธิ์ก็หมุนรอบตัวเขา ชำระล้างหญ้าสีเขียวและเถาวัลย์ จากนั้นหันหลังกลับและพุ่งไปในทิศทางของบอสระยะประชิด
คูลดาวน์ของถ้อยคำแห่งเงาและโฮลี่ไลท์นั้นเสร็จพร้อม ๆ กัน เซียวเฟิงขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจคนอื่น ๆ จึงหันกลับไปทำความเสียหายโดยตรง
-1,647!
-1,647!
-1,647!
-1,647!
…
ถ้อยคำแห่งเงาห่อหุ้มบอสสองตัวพร้อมกัน และดึงดูดความสนใจของบอสทั้งสองได้สำเร็จ แต่เดิมมีแค่บอสระยะไกลที่จดจ่อกับเซียวเฟิงส่วนบอสระยะประชิดที่ไนฟใช้สกิลล่อเป้าไว้อยู่ ตอนนี้มันได้เปลี่ยนเป้าหมายทันทีและพุ่งมาทางเซียวเฟิง
ความโหดร้ายของมังกร!
ค้อนแห่งการพิพากษา!
-21,868! คริติคอล!
[ติ๊ง! เอฟเฟกต์ของรู้แจ้งทำงาน และสกิลค้อนแห่งการพิพากษาของคุณคูลดาวน์เสร็จสิ้นทันที]
เซียวเฟิงหลบการโจมตีของบอสระยะประชิด การโจมตีคริติคอลทำความเสียหายกับบอสระยะประชิดมากกว่า 20,000 หน่วยโดยตรง แต่การแจ้งเตือนของระบบทำให้เซียวเฟิงประหลาดใจอีกครั้ง และค้อนแห่งการพิพากษาก็คูลดาวน์เสร็จสิ้น
ค้อนแห่งการพิพากษา!
-22,042! คริติคอล!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในขณะที่เอฟเฟกต์คริติคอล 10 วินาทีของความโหดร้ายของมังกรยังคงอยู่ ค้อนแห่งการพิพากษาก็ฟาดลงอีกครั้ง และตัวเลขความเสียหายอีก 20,000 หน่วยก็ลอยขึ้นมา
เดิมทีบอสระยะประชิดเหลือพลังชีวิตเพียง 70,000 หน่วยเท่านั้นค้อนแห่งการพิพากษาสองครั้งติดทำให้พลังชีวิตตกต่ำทันที และถ้อยคำแห่งเงาที่มีผลไม่กี่วินาทีก็ทำให้บอสระยะประชิดเหลือพลังชีวิต 20,000 หน่วยสุดท้าย!
เสียงคำรามของมังกร!
การเหยียบย่ำของมังกร!
หอกแสงศักดิ์สิทธิ์!
โดยไม่คิดให้โอกาสสุดท้ายแก่บอสระยะประชิดได้หลบหนี เซียวเฟิงใช้สกิลควบคุมโดยตรงและต้องการฆ่าบอสระยะประชิดในไม่กี่วินาทีนี้ และผู้เล่นคนอื่นเข้าใจทันที พวกเขาพากันระดมยิงตามแผนของเซียวเฟิงทันที
-421!
-375!
-63!
-188! คริติคอล!
-74!
-201!
-49!
-168! คริติคอล!
…