ตวนเจียงเหว่ยเกือบนิ่งค้างไปแล้ว เขารีบดึงสติกลับมาและหันไปตบไหล่ไก๋หนาน “ครั้งต่อไปนายควรเรียกเขาว่าพลเอก ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่นายก็ต้องทำตามระเบียบ”
ไก๋หนานพยักหน้ารับอย่างไวพร้อมกับเผยรอยยิ้มขอบคุณให้ตวนเจียงเหว่ย
“เอ้อ ใช่” อีกครั้งที่ตวนเจียงเหว่ยหันไปพูดกับไก๋หนาน “แล้วก็อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องถนัดซ้าย เพราะน้องชูฮันเปิดเผยแค่เรื่องขวานยักษ์เท่านั้น เราควรเก็บความลับให้เขาในฐานะเพื่อน”
“ใช่ ใช่ครับ!” ไก๋หนานรีบหยักหน้าตามด้วยสีหน้าจริงจัง
ทันทีหลังจากที่ยิ้มกว้างออกไป ไก๋หนานก็พลันคิดกับตัวเอง…พลเอกตวนเจียงเหว่ยช่างเป็นคนดีจริงๆ ท่านยังเตือนเขา ถ้าไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยหุนหันพลันแล่นของตัวเขาเอง มันอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นตามมาได้
ตวนเจียงเหว่ยเดินมาถึงเฮลิคอปเตอร์ที่จอดอยู่ในที่โล่ง ขณะในหัวกำลังขบคิดแต่เรื่องของชูฮัน…การที่ชูฮันซ่อนกริชไว้ในที่ลับอย่างแขนข้างขวา มันคือไพ่ลับที่ชูฮันจงใจซ่อนไว้ เมื่อได้ฟังจากไก๋หนานแล้วชูฮันน่าจะเป็นคนที่มีปฏิกิริยาจิตใต้สำนึกเมื่อถูกโจมตีทันที?
แสดงว่ามือข้างซ้ายของชูฮันต้องรวดเร็วมากแน่ๆ!
ตวนเจียงเหว่ยยิ้มมุมปากคล้ายกับแสยะยิ้ม เหอะ! ชูฮัน…ชูฮัน ในที่สุดนายก็ถูกฉันจับไต๋ได้ กลายเป็นว่านายถนัดซ้าย เขาจะขายข่าวนี้ในราคาดีๆหรือเก็บไว้เพื่อตัวเองดีนะ?
—————
ภายในห้องพยาบาลของซางจิง จางตงถูกพันแผลทั้งตัวราวกับมัมมี่ เมื่อครู่นางพยาบาลสาวคนสวยพึ่งจะเดินออกไป จางตงจึงรีบกลิ้งตัวลงจากเตียงและเริ่มคลานไปทางประตู เขาคลานไปอย่างยากลำบากหากเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม
ผั้วะ!
ประตูถูกกระแทกเปิดออก นางพยาบาลที่ควรจะจากไปพลันส่งเสียงแหกปากใส่จางตงดังลั่น “คลาน! คลานอีกแล้ว! คุณไม่เบื่อกับการทำแบบนี้ทุกวันบ้างเหรอไง!?”
“ฮึ่ย!” จางตงที่ไม่สามารถพูดได้ ได้แต่พยายามแสดงสีหน้าออกมาอย่างน่าสงสารด้วยเพราะไม่มีใครเข้าใจเขา…ปล่อยเขาไป เขาจะไปตามหาหัวหน้าชูฮัน ปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้!
ศีรษะของจางตงถูกพันรอบ ไม่เว้นแม้กระทั่งปากและจมูก นี่แค่ชูฮันเตะเขาถึงกับทำให้เขาเจ็บไปทั่วทั้งตัวขนาดนี้ได้เลยเหรอ ก่อนหน้านี้ที่จางตงถูกส่งตัวมาที่ห้องพยาบาล ทุกคนต่างกระวนกระวานที่ได้เห็นสภาพของจางตงและเป็นกังวล ทว่าวิวัฒนาการคนนี้กลับไม่แม้แต่จะสนใจอาการของตัวเองเลยสักนิด ทั้งๆที่ซี่โครงหักไป 2 ซี่ กระดูกหน้าแตกไปหลายจุด และอาจจะรวมไปถึงกระโหลกร้าวด้วย บาดเจ็บรุนแรงขนาดนี้แต่จางตงกลับยังรอดได้มาอย่างปาฏิหาริย์
นางพยาบาลคนสวยมองจางตงที่หน้าตาถูกผันแผลไว้อย่างหงุดหงิด เหลือเพียงแค่สายตาถูกเปิดโล่งไว้หากยังคงดุดัน นางพยาบาลคนสวยจ้องตาจางตงพลางพูดขึ้น “เฮ้ เฮ้ อะไรล่ะ? ทำแต่สีหน้าท่าทางแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณเป็นวิวัฒนาการระยะ 4 ละก็ คุณคิดว่าใครจะสนใจ?”
ทันทีที่พูดจบ นางพยาบาลคนสวยก็หันหน้าออกไปด้านนอกและตะโกนขึ้น “ขอคนแข็งแรงสองคน ผู้ชายคนนี้ตกพื้นมาอีกแล้ว มายกเขาขึ้นเตียงไปที”
—————-
2 วันต่อมา ชูฮันออกมาจากซางจิงได้เป็นระยะไกลพอสมควร ณ ตอนนี้เขาจอดรถไว้ข้างทางถนนที่ไม่เหลือสภาพถนน จากเดิมที่เป็นถนนปูซีเมนต์ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยหิมะที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งปิดกั้นทาง พื้นที่ตรงนี้มีอากาศหนาวมากกว่าซางจิงซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่มากทีเดียว
ด้านหลังชูฮันมีรถจี๊ป 20 คันจอดตามหลัง ภายในรถอัดแน่นไปด้วยวัสดุสินค้ามากมาย ทั้งหมดเป็นของชูฮันที่ได้มาจากพันชางเซียนหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์ ซึ่งในนั้นมีทุกอย่าง ชูฮันพบว่าเสื้อผ้ากันหนาวถูกสลับเปลี่ยน ซึ่งเป็นสาเหตุที่พลทหารสองร้อยนายไม่สบายตัวและทนต่อความหนาวไม่ไหว
ในมุมมองของพวกเขา ของพวกนี้เป็นของค่ายและชูฮันไม่มีสิทธิยึดเป็นของตัวเอง และไม่มีสิทธิที่จะส่งมอบเสื้อผ้าและอาหารพวกนี้ให้เฉินเสี้ยนกาวและคนอื่นๆ แน่นอนว่าพวกเขากลัวและไม่กล้าที่จะเอ่ยขัดชูฮันตรงๆ
มันแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งนำโดยเฉินเสี้ยนกาว และอีกกลุ่มนำโดยหลี่บี๋เฟิง ซึ่งตลอดการเดินทางทั้งสองมักจะทะเลาะและมีปัญหาขัดข้องกันเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อยู่บ่อยครั้ง
และแน่นอนว่าชูฮันไม่เอารถ Wrangler ออกมา ชูฮันนั่งมากับเฉินช่าวเย่และหลิวยู่ติงรวมกันแค่ 3 คนภายในรถ ทั้งๆที่รถจี๊ปคันนี้สามารถนั่งได้ 4 คน โดยเฉพาะด้านหลังที่มีพื้นที่กว้างกว่าคันอื่นๆที่ชูฮันเลือกมาเพื่อเฉินช่าวเย่โดยเฉพาะ เฉินช่าวเย่ที่ถึงกับลงมือปิ้งย่างอาหารกินอยู่ด้านหลัง
“นี่นายสนใจอะไรบ้างมั้ย?” หลิวยู่ติงมองสองคนด้านนอกที่เอาแต่ทะเลาะกันเรื่องการกระจายอาหาร และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว
“อะไรล่ะ? หัวหน้ากินเร็ว!” เฉินช่าวเย่ส่งชิ้นเนื้อบาร์บีคิวขนาดใหญ่ที่ย่างสุกแล้วและหน้าตาน่าอร่อยให้ชูฮัน
หลังจากชูฮันรับเนื้อมา เขาก็หยิบมีดที่อยู่ตรงช่องเก็บของในรถออกมาตัดแบ่งครึ่ง จากนั้นก็ส่งมีดให้หลิวยู่ติง
หลิวยู่ติงอึ้งไปครู่เดียว หลุบตามองพื้น จากนั้นก็ยื่นมือไปรับมีดใส่กลับเข้าไปในช่องเก็บของ หลังจากนั้นหลิวยู่ติงก็เอ่ยสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจออกมา “ฉันว่า ฉันรู้จักนายมา 20 ปีแล้วใช่มั้ย? ฉันไม่รู้เลยว่านายถนัดมือซ้าย?”
ชูฮันตอบกลับด้วยเสียงเรียบ “ฉันไม่ได้ถนัดซ้าย”
หลิวยู่ติงเกาศีรษะอย่างไม่เข้าใจ “งั้นคือแค่ฝึกเล่นมีดไว้หล่อๆ!”
“อืม แค่เล่นๆ” ชูฮันโกหกอย่างแนบเนียน แน่นอนว่าเขาไม่ได้เล่นๆและเขาไม่ใช่คนถนัดซ้าย การที่เขาใช้มีดมือซ้ายเมื่อครู่มันเป็นปฏิกิริยาจิตใต้สำนึกของการฝึกฝนตลอด 10 ปีต่างหาก
หลิวยู่ติงไม่ได้ถามอะไรต่อ เขามองไปที่เนื้อบาร์บีคิวในมือและรู้สึกอยากจะกัดมันกิน—–
“ปัง!”
เกิดเสียงดังขึ้นและตัวรถจี๊ปโคลงเคลงเล็กน้อยส่งผลให้เนื้อในมือหลิวยู่ติงร่วงลงพื้นทันที เฉินช่าวเย่มองชิ้นเนื้อที่ตกลงไปด้วยสายตาเจ็บปวด สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นมืดมน
ในตอนนั้นมันมีเสียงทะเลาะด้านนอกดังเข้ามาให้ได้ยิน
“หม้อซุปมีเนื้อเหลือแค่ไม่กี่ชิ้น พวกแกตักไปหมดไม่เหลือให้พวกเรากินเลยใช่มั้ย?” เป็นเสียงของเยวจึที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“แม่แกสิ! อย่ามาปากมาก กินข้าวเปล่าไปสิ! พวกแกมีสิทธิอะไรมากล่าวหาฉัน?” เป็นเสียงอวดดีของทหารนายหนึ่ง ซึ่งก็เป็นคนเดียวกันที่มีปัญหากับเฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกมาตลอด เขาชื่อว่าหลิวยี้เป็นวิวัฒนาการระยะ 2 พละกำลังเขาไม่ได้น้อยและยังเป็นคนกล้า
“แล้วแกเป็นใครถึงมาบอกให้พวกเรากินข้าวเปล่าๆ?” เยวจึที่มักมีอารมณ์ร้ายเสมอกระแทกประตูเดินตรงมา
“พวกแกก็กินข้าวเปล่าสิ! และแก แก แก!” หลิวยี้ไม่แม้แต่จะเห็นเยวจึในสายตา หลิวยี้ชี้ไปที่เฉินเสี้ยนกาวและพรรคพวกด้วยสายตาดูถูก “การที่ให้กลุ่มผู้ลี้ภัยตามมาก็มากพอแล้ว พวกแกยังหน้าไม่อาย กล้าดียังไงมาใส่เสื้อผ้าที่ควรเป็นของพวกเรา? นี่เป็นทรัพยากรที่ซางจิงมอบให้พวกเราทหาร 200 คน! แถมแกยังมากินอาหารของพวกเรา! แล้วไหนจะพวกผู้หญิงในกลุ่มพวกแกที่ได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ที่ควรจะเป็นพวกเราไปอีก! ในเมื่อแกบอกว่าแกเคยเป็นสิบเอก งั้นก็บอกว่าสิว่าในฐานะนายทหารสิบเอก แกไม่รู้สึกอายบ้างเลยเหรอไง!”