ภาค 3 บทที่ 154 ด้านนอกวุ่นวายยิ่ง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คุณหนูจวินพูดหยั่งเชิงออกมาทีหนึ่งก็ยิ้มไม่พูดไม่จา 

 

เซี่ยหย่งโกรธจนหายใจฟืดฟาดมองผู้ชายหลายคนที่ยังตามไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น 

 

“หุบปากให้หมด” เขาตวาด 

 

ผู้ชายหลายคนล้วนไม่พูดแล้ว รอบด้านเงียบลง 

 

เป็นคนที่ถูกอาจารย์วาดไว้ในภาพกระบวนทัพจริงๆ เห็นชัดมากว่าอยู่ที่นี่มีอำนาจนัก 

 

คุณหนูจวินมองเซี่ยหย่ง เซี่ยหย่งก็มองมาทางนาง 

 

แม่นางน้อยคนนี้ช่างเจรจาเกินไปแล้ว พวกเขาคนปากโง่ลิ้นเขลาเช่นนี้พบกับคนแบบนี้ก็ได้แต่รับมือด้วยการไม่ขยับ ไม่พูด 

 

“สรุปคุณหนูจวินไม่ต้องกังวล พวกเราจะไม่รบกวนเวลาของคุณหนูจวินมากเกินไป ” เขาเอ่ยรวบรัดตัดจบ “และขอคุณหนูจวินโปรดวางใจ พวกเราไม่มีทางทำร้ายท่าน แล้วก็ไม่มีทางจ่ายค่ารักษาของท่านขาด” 

 

พูดจบก็คำนับให้คุณหนูจวิน 

 

“คุณหนูจวินโปรดพักผ่อนก่อน ตอนนี้พวกเราจะไปจัดการเด็กๆ ในหมู่บ้านให้เตรียมพร้อม” 

 

ไม่รอคุณหนูจวินพูดอะไรอีกเขาก็หมุนตัวโบกมือให้คนที่มุงดูอยู่ แล้วเรียกคุณนายเซี่ยมาสั่งสองสามประโยคก็นำผู้คนออกไป ในเรือนพริบตาเหลือเพียงภรรยาของเซี่ยหย่งกับผู้หญิงไม่กี่คน 

 

“คุณหนูจวิน แม้ท่านอาจไม่เชื่อ แต่พวกเราไม่มีเจตนาร้ายจริงๆ” ภรรยาของเซี่ยหย่งเอ่ย “ให้ท่านลำบากแล้ว…” 

 

คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบ คุณหนูจวินก็ยิ้มพยักหน้า 

 

“ข้าเชื่อ” นางว่า “พวกท่านไม่มีเจตนาร้าย” 

 

นางยังไม่ทันเอ่ยอะไรเลย ก็เชื่อแล้ว? 

 

คำพูดที่เตรียมโน้มน้าวก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ภรรยาของเซี่ยหย่งมองนางครู่หนี่ง 

 

เชื่อจริงหรือเชื่อหลอกเล่า? 

 

“ไม่ว่าเชื่อจริงหรือเชื่อหลอก พวกเรามันคนซื่อพูดไม่เก่ง คุณหนูจวินท่านก็ดูพวกเราทำอย่างไรเถิด” นางปรบมือทีหนึ่งเอ่ยขึ้น 

 

คุณหนูจวินพยักหน้า 

 

“ใช่แล้ว ข้าเชื่อจริงหรือเชื่อหลอก พวกท่านดูข้าทำอย่างไรก็จะรู้” นางเอ่ย “แต่น้าเซี่ย ยังไงให้ข้าเขียนจดหมายบอกกล่าวคนของข้าดีกว่า” 

 

ภรรยาของเซี่ยหย่งยิ้มแล้ว 

 

“เร็ว ไปทำของกินมาให้คุณหนูจวิน นี่ทนทรมานมาคืนหนึ่งแล้ว เหนื่อยแย่แล้ว” นางเลี่ยงไม่ตอบ เอ่ยกับพวกผู้หญิงคนอื่น แล้วยังคล้องแขนคุณหนูจวิน “มา คุณหนูจวิน เก็บห้องไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านพักผ่อนก่อน” 

 

มือของนางหยาบกระด้างแต่กลับเปี่ยมกำลัง คุณหนูจวินมองทีหนึ่ง ก็คงฝึกฝนมานานปีเหมือนกัน 

 

แม้ไม่มีเจตนาร้าย แต่พวกนางไม่มีทางเชื่อว่านางจะทำตามที่พวกนางบอก ตนเองก็ไม่ใช่เช่นนี้หรือ เป็นกันเองกับพวกนางนักแต่ก็ไม่บุ่มบ่ามเผยไต๋ออกไปหมด 

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกท่านก็ระวังหน่อย ด้านนอกน่าจะวุ่นวายยิ่งแล้ว” นางเอ่ย ไม่ได้ขัดขืนเดินเข้าไปในห้อง 

 

พวกผู้หญิงมองไปทางภรรยาของเซี่ยหย่ง ภรรยาของเซี่ยหย่งโบกมือให้พวกนาง ทุกคนล้วนเริ่มวุ่นวายทำงาน 

 

ใต้ต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าหมู่บ้านคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ นั่งยองอยู่ พากันถกเถียง 

 

“ด้านนอกสืบมาถึงพวกเราแล้วจริงหรือ?” คนที่อายุมากคนหนึ่งมองเซี่ยหย่งถามขึ้น 

 

เซี่ยหยงนั่งอยู่บนหินเขียวก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งใต้ต้นไม้ สีหน้าเคร่งขรึมไม่เอ่ยวาจา 

 

“แม่นางน้อยคนนี้ขู่ให้กลัวหรือเปล่า?” 

 

“ไหนเลยจะเร็วปานนั้น?” 

 

ทุกคนพากันพูด 

 

“พอแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว พวกเจ้าจับตาดูข้างนอกไว้แล้วกัน” เซี่ยหย่งขัดการถกเถียงของทุกคน 

 

เขาลุกขึ้นยืน เอารองเท้าข้างหนึ่งที่วางไว้เคาะบนก้อนหิน สวมเข้าไป 

 

“ไม่ว่านางพูดอย่างไร เป็นการข่มขู่ หลอกล่อหรือไม่ เรื่องที่พวกเราควรทำก็ยังคงต้องทำ เพิ่มสายสืบข้างนอกไปอีกสักหลายคน” 

 

เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปนิดหนึ่ง สายตากวาดมองผู้คนตรงหน้าทีละคนๆ 

 

“ทุกคนทำงานระวังสักหน่อย ครั้งนี้คาดว่าพวกเราคงต้องเปลี่ยนสถานที่อาศัยแล้ว หวังว่าจะได้ไปด้วยกัน สักคนก็ไม่หลุดขบวน” 

 

ทุกคนล้วนยืนขึ้นมาบ้าง หลังคำพูดของเขาร่างกายเปลี่ยนกลายมาเป็นยืดตัวตรง ไม่ว่าคนที่อายุมากหรือเด็กน้อยที่ยังมีความอ่อนวัยอยู่ล้วนสีหน้าเคร่งขรึม แววตาแน่วแน่ ประหนึ่งนักรบที่รับฟังคำสั่ง 

 

“รับคำสั่ง” พวกเขาขานรับพร้อมเพรียง เสียงทุ้มต่ำและเปี่ยมด้วยพลัง 

 

ผู้คนแยกย้ายไป ใต้ต้นไม้ใหญ่เหลือเพียงเซี่ยหย่งกับอีกสองคน 

 

“ทำเช่นนี้ใช่เสี่ยงอันตรายเกินไปหรือไม่” บุรุษคนหนึ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น 

 

เซี่ยหย่งเงียบงันไปครู่หนึ่ง 

 

“โอกาสนี้หายากจริงๆ” เขาว่า แล้วก็หัวเราะหยันตนเอง “ไม่ใช่ทำเช่นนี้เสี่ยงอันตราย แต่เพราะพวกเราโง่เกินไปแล้ว ไม่ได้ทำให้ดีถึงเสี่ยงอันตราย…” 

 

พูดถึงตรงนี้ ตรงหน้าเขาคุณหนูจวินก็ลอยขึ้นมาอีกครั้ง 

 

‘ที่สำคัญที่สุดคือพวกท่านก็ไม่ใช่ไม่มีช่องโหว่’ 

 

‘กวนน้ำให้ขุ่นนั่นถูกต้องแล้ว แต่ยามกวนน้ำให้ขุ่น พวกท่านก็ยืนอยู่ในน้ำด้วย’ 

 

เสียงของนางอ่อนโยนนัก ไม่ทำให้คนรู้สึกถึงอารมณ์ใดๆ แต่เวลานี้ย้อนคิดดู เซี่ยหย่งกลับมองเห็นคิ้วของนางเลิกขึ้นอย่างแจ่มชัด 

 

เลิกคิ้วแบบนั้น…ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการเสียดสี แต่เป็นรู้สึกเชื่อมั่นในตนเองและมั่นใจ 

 

เขาเชื่อคำพูดของนางจริงๆ 

 

ประหลาดแท้ ทำไมเขาต้องเชื่อคนที่ไม่เคยพบหน้าแล้วยังถูกเขาจับมาด้วย? 

 

“ก็ไม่มีอะไร ระวังกันหน่อย ต่อให้ปัญหามาแล้วก็ไม่มีอะไรน่ากลัว” เขาเอ่ย 

 

บุรุษสองคนก็ฟื้นสีหน้าสงบกลับมาเช่นกัน 

 

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อพวกเราทราบว่าเวลานี้เมืองชิ่งหยวนวุ่นวายขึ้นมาแล้วจะยังนิ่งสงบเช่นนี้ได้ไหม อย่างไรแม่ทัพใหญ่เผิงก็ไม่สงบสนักนิด 

 

เขายืนอยู่บนถนนใหญ่มองคนกลุ่มหนึ่งที่แห่มาทิศทางหนึ่งดั่งน้ำหลาก 

 

“แจกเงิน?” เขาเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “หมายความว่าอย่างไร?” 

 

“หมายความว่าอย่างไร? ตามหาคนไง” เจ้าเมืองชิ่งหยวนเอ่ยขึ้นไม่สบอารมณ์ พลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผากอีกครั้ง ตั้งเต่ได้ทราบว่าคุณหนูจวินถูกลักพาตัวสูญหายไป เหงื่อของเขาก็ไม่เคยหยุดไหล 

 

“เต๋อเซิ่งชางแจกเงินให้ทุกคน ให้ทุกคนหาคนด้วยกัน?” แม่ทัพใหญ่เผิงเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาเอ่ยถาม 

 

“แน่นอน นี่คนเขาแสดงออกว่าไม่เชื่อมั่นในพวกเราแล้ว” เจ้าเมืองโจวเอ่ยเย็นชา “ให้พวกเจ้าอารักขาคุณหนูจวิน พวกเจ้ากลับทำคนหาย ใครยังกล้าให้พวกเจ้าไปหาคนอีก ไม่แน่ไม่ระวังทำร้ายคนตายขึ้นมาเล่า” 

 

คำพูดประชดประชันเช่นนี้ ตั้งแต่ข่าวคุณหนูจวินหายสาบสูญแพร่ออกไปแม่ทัพใหญ่เผิงก็ได้ยินตลอดเวลา 

 

“ข้าก็บอกแล้วว่าเป็นคุณหนูจวินไม่ให้พวกเราตาม จะไปเอง” เขาหน้าแดงเอ่ยแย้ง 

 

เจ้าเมืองโจวแค่นเสียงเหอะ 

 

แม่ทัพใหญ่เผิงไม่ยินดีต่อบทสนทนานี้ ไม่รอเขาเอ่ยคำก็ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ขมวดคิ้วมองฝูงชนด้านนั้น 

 

“คนเหล่านี้ทำอะไรได้เล่า ก่อเรื่องวุ่นวายชัดๆ” เขาเอ่ย 

 

คนของสำนักคุ้มภัยคนนั้นบอกว่าจะไปเรียกคน ก็คือเรียกคนเหล่านี้หรือ? บ้าไปแล้วรึ? 

 

เหลยจงเหลียนไม่ได้รู้สึกว่าบ้า คนของเต๋อเซิ่งชางก็ไม่รู้สึกเช่นกัน พวกเขาสีหน้านิ่งสงบ รีบแต่ไม่วุ่นวายจัดการฝูงชนที่แห่แหนมา 

 

“สิ่งที่พวกเราต้องการให้พวกเจ้าทำง่ายดายยิ่ง” เหลยจงเหลียนเอ่ยซ้ำเสียงดังกับฝูงชนที่เข้ามาใกล้ตรงหน้า “ข้อมูลทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาจางชิงซาน สืบถามได้ข่าวมายังมีเงินพิเศษให้ต่างหาก” 

 

“คุณหนูจวินถูกคนจับตัวไปจริงๆ หรือ?” ในฝูงชนเสียงสอบถามดังขึ้นมา 

 

ข่าวนี้ปิดไม่อยู่แล้ว เหลยจงเหลียนพยักหน้า 

 

“จากข้อมูลตอนนี้ เป็นคนที่อยู่ใกล้ๆ เขาจางชิงซานทำ” เขาเอ่ย “พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่ครั้งแรกไม่คุ้นเคย ดังนั้นจึงไหว้วานทุกท่านลำบากแล้ว” 

 

เขาพูดพลางคำนับ ผู้คนของเต๋อเซิ่งชางก็รีบร้อนคำนับตามด้วย 

 

“โปรดไปด้านนั้นรับเงินเล็กน้อยเป็นค่าเหนื่อย เป็นน้ำใจของพวกเรา” เหลยจงเหลียนเอ่ย ชี้ไปอีกด้านหนึ่ง 

 

มองเห็นเหลยจงเหลียนชี้นิ้วมา พนักงานหลายคนก็เปิดผ้าที่คลุมบนโต๊ะออก ในที่นั้นฮือฮาทันที 

 

บนโต๊ะวางกระบุงใบใหญ่ไว้ไม่ต่ำกว่าสิบกว่าใบ ด้านในล้วนเต็มไปด้วยเงิน ใต้แสงตะวันแสบตา 

 

ภาพนี้ในเจียงหนานดินแดนอันมั่งคั่งเห็นบ่อยยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงชมคลื่น ได้ยินว่าสมาคมพ่อค้าที่ร่ำรวยพวกนั้นจะเอาเงินเป็นกระบุงๆ สาดลงไปในน้ำ ชักนำให้คนนับไม่ถ้วนฝ่าคลื่นแย่งชิงกัน 

 

งมเงินท่ามกลางคลื่นน้ำอันตรายเกินไปแล้ว นั่นต้องเอาชีวิตมาแลก แต่ตอนนี้พวกเขาเพียงต้องสืบถามข่าวเรื่องเดียวก็แย่งเงินเหล่านี้ได้แล้ว นี่ง่ายเกินไปแล้ว ยั่วยวนคนเกินแล้ว 

 

สิบปีนี้ชายแดนสงบสุขทำให้ชีวิตชาวบ้านแดนเหนืออยู่ดีขึ้นมาก แต่การแจกเงินเช่นนี้เพิ่งพบเป็นครั้งแรก ฝูงชนวุ่นวายทันที 

 

เจ้าเมืองโจวกับแม่ทัพใหญ่เผิงมองดูอยู่ด้านข้างก็ตาโตอ้าปากค้าง 

 

ขอแค่บอกข้อมูลเกี่ยวกับเขาจางชิงซานก็ให้เงิน หากข้อมูลสำคัญก็เพิ่มเงินอีก ชาวบ้านในเขตเมืองชิ่งหยวนนี่จะไม่คลั่งกันหมดแล้วหรือ 

 

สำหรับโจรภูเขากองโจรอาชาแล้ว ชาวบ้านไม่กี่คนหรือกระทั่งทหารไม่กี่สิบนายล้วนไม่นับเป็นภัยคุกคามอะไร แต่ผู้คนนับพันกระทั่งผู้คนนับหมื่นคนมุ่งไปยังเป้าหมายเดียว นั่นก็น่ากลัวแล้ว 

 

มารดา รวยจริงๆ ร่ำรวยดีจริงๆ 

 

บุรุษพิการที่ดูไปแล้วโง่ๆ ทึ่มๆ คนนั้นบอกว่าจะไปเรียกคน คนที่ไปเรียกมานี่ก็น่ากลัวจริงๆ 

 

แม่ทัพใหญ่เผิงจิ๊ปาก  

 

ส่วนจินสือปาที่ยืนอยู่บนถนนอีกด้านหนึ่งมองเห็นภาพนี้ก็หัวเราะ 

 

“หากคุณหนูจวินถูกพวกเราจับไปจริงๆ เกรงว่าพวกเราก็คงเดินออกไปไม่พ้นจริงๆ แล้ว” เขาเอ่ย 

 

ลู่อวิ๋นฉีให้พวกเขารอหลังคุณหนูจวินปลูกฝีเสร็จสิ้นค่อยจับคน ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ชาวบ้านที่เป็นห่วงตนเองจะเสียผลประโยชน์บ้าคลั่งขัดขวาง 

 

หลังปลูกฝีเสร็จสิ้น สำหรับชาวบ้านจะมีหรือไม่มีคุณหนูจวินก็ได้แล้ว ยามคนเผชิญหน้ากับเรื่องเรื่องหนึ่งที่มีหรือไม่มีก็ได้ ย่อมคิดมากขึ้นอีกนิด ลังเลขึ้นอีกหน่อย 

 

แต่คนเกิดเรื่องไม่คิดพูดถึงคุณธรรมน้ำใจกับผู้คน พูดถึงเงินตรงๆ 

 

บนโลกนี้ยังมีคำพูดกล่าวว่ามีเงินเรียกผีผลักโม่ได้ รางวัลใหญ่ย่อมมีผู้กล้า คนมอดม้วยเพื่อทรัพย์ สกุณาวางวายเพื่ออาหาร 

 

“ร่ำรวยดีจริงๆ” จินสือปายิ้มเอ่ย