885 หมอก
หลังจากความสัมพันธ์ของทั้งสองได้รับการยืนยันแล้วหวังเย้าก็ได้ให้คําแนะนําไปเล็กน้อยพัฒนาการของซูเสี่ยวซวีนั้นน่าทึ่งมากกําลังภายในของเธอเหนือกว่าจงหลิวชวนไปมากด้วยความสําเร็จเล็กๆน้อยนี้ทําให้ความหนาวเย็นหรือความร้อนไม่อาจกล้ำกลายเธอได้
“ทางนั้นหนาวมากไหมคะ?”
“ก็ไม่มากเท่าไหร่
ในหมู่บ้านไม่ได้หนาวมากนัก อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 10 องศาทั้งสองคุยกันได้สักพักก็วางสาย
ฉันไม่ได้เจอเธอนานแล้ว! หวังเย้าคิด
หรือจะไปปักกิ่งดีนะ?
ท้องฟ้าเป็นสีหม่น
ปรากฏการณ์นี้มันคืออะไร?
หวังเย้าสังเกตท้องฟ้าเป็นเวลานาน
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะ
เช้าวันต่อมาหมู่บ้านกลางเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาบ้านเรือนต้นไม้และทิวเขาล้วนซุกซ่อนตัวอยู่หลังม่านหมอกดูราวกับสรวงสวรรค์
หมอก?
หวังเย้ายืนอยู่บนยอดเขาหนานชานและมองลงไป
มันมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างที่ฉันมองเห็นเมื่อคืนใช่ไหม?
หมอกได้มีการแผ่กระจายมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้านออกไปไกลหลายร้อยไมล์มีรัศมีการมองเห็นรอบตัวน้อยกว่า 5 เมตรหมอกหนาแบบนี้ทําให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้น
“หมอกหนามาก!”
“อย่าเพิ่งพูด ตั้งใจขับรถดีดีก่อน”
“สบายใจได้ ฉันขับรถดีจะตายไป”
อยู่ๆก็มีเสียงดังโครมทําให้ตัวรถสั้นรถคันหลังขับชนกันชนหลังรถของพวกเขา
“บ้าเอ้ย!” เขาอดสบถออกมาไม่ได้
“ระวัง”
เกิดอุบัติเหตุรถชนหลายครั้ง
รถพยาบาลไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้มีผู้คนได้รับบาดเจ็บมากมาย เสียงร่ําไห้ดังมาจากทุกทิศทาง
ในหมู่บ้านมีหมอกหนามาก
“วันนี้ นายยังจะขึ้นไปบนเขาอยู่อีกเหรอ?”หูเหมยมองดูหมอกหนาด้านนอก
“ทําไมล่ะ?” เจี้ยจื้อจายพูด
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
ทั้งสองเดินออกจาบ้าน จงหลิวชวนได้เริ่มทําการบ่มเพาะพลังอยู่บนเนินเขาหนานชานไปแล้วหมอกบนเขาหนาแน่นกว่าด้านล่างเล็กน้อย
“ศิษย์พี่มาเร็วนะ”หลังจากเดินขึ้นเขามาแล้วทั้งสองก็เอ่ยทักทายอีกฝ่าย
“ฉันมาได้สักพักแล้วล่ะ”
ทั้งสามเริ่มต้นการฝึกประจําวันในเช้าที่เต็มไปด้วยหมอก
ไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“เชียนเชิง?”
หวังเย้าเดินออกมาจากม่านหมอก
“ฝึกต่อเถอะ” หวังเย้าพูดกลั้วหัวเราะ
“ครับ/ค่ะ”
ทั้งสามฝึกต่อไป ในขณะที่หวังเย้านั่งมองการฝึกของพวกเขา
จงหลิวชวนพัฒนาขึ้นแล้วหวังเย้าคิด
หวังเย้าพึงพอใจในตัวชายที่แก่กว่าเขาไม่กี่ปีคนนี้มากเขามีพรสวรรค์ในการมุมานะฝึกฝนสูงมากส่วนเจี้ยจื้อจายถือว่าแย่กว่าเล็กน้อยเขามีพรสวรรค์แต่จิตใจไม่หนักแน่นเท่าถึงขนาดแย่กว่าหูเหมยที่ฝึกทีหลังเขาด้วยซ้ำ
“ไม่รีบ ไม่รีบ” หวังเย้ากระซิบเสียงเบา
หลังจากที่พวกเขาฝึกการบ่มเพาะพลังฉีเสร็จ พวกเขาก็เริ่มฝึกหมัดมวยต่อโดยมีหวังเฝ้าคอยสั่งสอน
หลังการฝึกเสร็จสิ้น ก็ได้เวลาลงจากเขา
“เชียนเชิง พลังฉีมีดีอะไรเหรอครับ?”เจี่ยจื้อจายถาม
เขาอยากรู้มานานแล้วและในที่สุดก็ถามออกไป
“ภายในพลังฉีเป็นเหมือนตัวเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย นอกจากนั้นมันยังสามารถช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับฟ้าดินได้”
“โดยทั่วไป มันมีประโยชน์อย่างมากกับร่างกายของผู้ฝึก หลังจากฝึกไปจนถึงระดับหนึ่งคุณก็จะสามารถสื่อสารกับฟ้าดินได้”หวังเย้าพูด
“สื่อสาร? สื่อสารยังไงเหรอครับ?”
“ฮาฮา ตอนนี้คุณยังไปไม่ถึงตรงนั้นหรอก!” หวังเย้าหัวเราะ
“เชียนเชิงแสดงให้ดูหน่อยได้ไหมครับ?”
“อาจารย์!”จงหลิวชวนขมวดคิ้วเล็กน้อย“ไม่เป็นไร”หวังเย้าหัวเราะ
“ถ้าอยากเห็นก็ไม่มีปัญหา”
ลมพัด
หวังเย้าโบกมือ สายลมพัดผ่านใบหน้าของเขาและหมอกที่อยู่รอบตัวพวกเขา
หยุด!
เขายืนนิ่งพร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยื่นออกไป สายลมหายไป แล้วทุกอย่างก็หยุดนิ่ง“เห็นรึยังนี่คือการสื่อสารกับฟ้าดิน”หวังเฝ้าพูด เจี้ยจื้อจายกับหูเหมยต่างตะลึงงัน
นี่มันเวทมนตร์อะไรกัน?
ซี้ด!
หวังเข้าสูดลมหายใจเข้าลึก ฝ่ามือทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน
เปิด!
เขาผลักฝ่ามือออก
เกิดเสียงฟุบ เขายิงกระสุนออกไป
ม่านหมอกที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาถูกผลักออกไปด้วยพลังงานที่มองไม่เห็นม่านหมอกเป็นเหมือนสระน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำหมึก ฝ่ามือของหวังเย้าผลักมันออกไปราวกับผลักสายน้ำ มันแยก น้ำหมึกออกเป็นสองฝั่งและผลักออกไปไกลกว่าสิบเมตร
“นี่ก็คือพลังฉี!” เจี้ยจื้อจายกลืนน้ำลาย
หลังจากที่เขาได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว เจี่ยจื้อจายก็พูดว่า “เชียนเชิง ผมคิดว่าตัวเองตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงเกินไป เรามาเริ่มกันที่พื้นฐานก่อนดีกว่า”
“ใช่ คุณคาดหวังไว้สูงตั้งแต่แรก คุณก็ต้องฝึกฝนให้มาก”
“เชียนเชิง ถ้าเราฝึกฝนได้สําเร็จ เราจะยึดอายุได้ไหมครับ?” เจี่ยจื้อจายถาม
“ผมคงไม่กล้าพูดเรื่องนี้มาก แต่ถ้าคุณฝึกตามที่ผมสอน การมีชีวิตอยู่ถึงร้อยปีก็ไม่ใช่ปัญหา”หวังเย้าตอบอย่างมั่นใจ
“อายุหนึ่งร้อยปี! มันเกินพอแล้วครับ!” เจียจื้อจายอุทาน
เขาลงจากเขาด้วยท่าทางร่าเริง
“ดูนายท่าเข้า! มีความสุขมากเลยสินะ!” หูเหมยยิ้ม
“เธอจะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 100 ปี เธอไม่มีความสุขเหมือนกันเหรอ?”
“ฉันมีความสุขส ขอแค่ได้อยู่กับนาย ฉันก็มีความสุขแล้ว” “ไม่ใช่แค่พวกเราสองคนเท่านั้นเราจะมีลูกสักสองสามคน แล้วก็หลานอีกหลายคนเลย”หูเหมยไม่ตอบเธอเพียงยิ้มให้เท่านั้นดวงตะวันลอยขึ้นและขับไล่ม่านหมอกหนาให้จางลง
ในคลินิก หวังเย้าดูข่าวจากในมือถือของเขา สองชั่วโมงก่อน บนทางหลวงที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ หมอกหนาแน่นจนทําให้เกิดอุบัติเหตุติดต่อกันหลายครั้งมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคนจนไม่สามารถระบุจํานวนผู้บาดเจ็บได้
“ใช่จริงๆด้วยสินะ” หวังเย้าพิมพ์
“หวังว่าจะไม่มีใครตาย”
หมอกจางหายไปแล้ว คนในหมู่บ้านก็สามารถเริ่มต้นการทํางานของพวกเขาได้
คลินิกเปิดทําการตามปกติ คนไข้หลายคนเดินทางมาหาหมอ ซึ่งอาจเกิดจากอากาศที่เย็นลงอย่างกะทันหันเด็กบางคนเป็นหวัดและมีน้ำมูกตอนเช้ามีคนไข้เข้ามาเจ็ดถึงแปดคนบางคนเป็นไข้ หวังเย้าจึงนวดตามร่างกายของพวกเขาเพื่อส่งพลังเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตเมื่อคนไข้เหงื่อออกก็จะเป็นการขับความเย็นออกจากร่างกายของพวกเขา เขายังได้จ่ายยาให้กับคนไข้ที่อาการหนักไปด้วย
ครึ่งเช้าได้ผ่านไป
ตอนเที่ยง พระอาทิตย์บนท้องฟ้าดูเจิดจ้าแต่ลมที่พัดผ่านยังคงเย็นเยียบถึงยังไงตอนนี้ก็คือฤดูหนาวแล้วได้เวลาที่ต้องสร้างความอบอุ่นให้ภายในบ้านบ้านของหวังเย้าใช้เตาถ่าน
หลังทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็พักผ่อน
ตอนกลางวัน เจิ้งเหว่ยจวินมาหาเขาที่คลินิก
“เชียนเชิง บริษัทพร้อมแล้วนะครับ เขียนเชิงว่างตอนไหนก็แวะไปดูได้เลยเชียนเชิงช่วยเลือกวันมงคลสําหรับเริ่มต้นการผลิตด้วยเลยสิครับ”เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“วันมงคลเหรอครับ?” หวังเย้าเงียบไปพักหนึ่ง
“ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย ครั้งก่อน คุณบอกว่าได้เชิญอาจารย์ดูฮวงจุ้ยมาไม่ใช่เหรอครับ?”
“เอ่อ เชียนเชิงไม่รู้เรื่องพวกนี้เหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินตกใจ ครั้งก่อนหวังเย้าได้ช่วยเรื่องการดูฮวงจุ้ยและสิ่งที่เขาบอกไปก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องดังนั้นเขาจึงคิดว่าหวังเย้ามีความเชี่ยวชาญในเรื่องของฮวงจุ้ยด้วย หากดูจากความสามารถในเรื่องนี้แล้วในเมื่อเขาเข้าใจเรื่องฮวงจุ้ยเขาก็ควรเข้าใจเรื่องวันมงคลด้วยเพราะมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายกว่ามากเขาจึงไม่คิดว่าหวังเย้าจะปฏิเสธในเรื่องนี้
“ได้ครับ ผมจะไปถามอาจารย์ท่านนั้นด” เจิ้งเหว่ยจวินพูดกลัวหัวเราะเขาได้สอบถามกับอาจารย์ท่านนั้นและได้วันมงคลจากอีกฝ่ายมากแล้วเขาเพียงแค่ต้องการถามหวังเย้าเพื่อตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น