ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 278 รู้ชัดบนเขามีเสือ กลับรั้นไปทางเขาเสือ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอเร่งเดินทางไปยังเขตเชื่อมทะเลสาบ พร้อมกับอาหู่และพ่านพ่าน

ที่นั่น เขาพบกับสือเถี่ยและสวีเฟยที่มาถึงที่นี่เช่นกัน

ในที่สุดแล้วก็เป็นสือเถี่ยที่ออกโรงจัดการกับปัญหา ณ เขตเชื่อมทะเลสาบแห่งนี้ ซึ่งเยี่ยนจ้าวเกอเองก็ทราบข่าวที่เกี่ยวข้องกับฟางจุ่นและลู่เวิ่นเช่นกัน

อาหู่มองทางเยี่ยนจ้าวเกอ ดวงหน้าเจื่อน ฝ่ายชายหนุ่มนวดขมับตนเองเบาๆ “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ศิษย์พี่สวี ตอนนี้ยอดฝีมือระดับสุดยอดคนอื่นๆ ในสำนักเป็นอย่างไรบ้าง?”

สวีเฟยกล่าวตอบ “ท่านอาจารย์อาเยี่ยนต่อสู้ดุเดือดกับจอมมารศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมิติต่างแดน ส่วนผู้อาวุโสจางและผู้อาวุโสซินเฝ้าระวังมหาค่ายกลสำนัก ขณะที่เสริมกำลังให้กับท่านอาจารย์อาเยี่ยน ก็เตรียมพร้อมรับมือศัตรูอื่นเข้าโจมตี ผู้อาวุโสเหอกำลังคุ้มกันท่านอาจารย์ปู่ และท่านอาจารย์ป้าฟู่กำลังตามหาท่านอาจารย์อาฟาง”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะไร้สุ้มเสียง กลุ่มคนพลางพูดพลางเดิน

บนเขตแดนเขตเชื่อมทะเลสาบมีทะเลสาบมากมาย ทอดยาวเหยียดเป็นผืนหนึ่ง ประหนึ่งดินแดนบึงแห่งวารีพิภพขนาดย่อมๆ

สืบเท้ามาถึงตรงนี้ ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอมีความรู้สึกเหมือนกลับไปยังแถบทะเลสาบปิดนภาแห่งบึงพิภพอย่างไรอย่างนั้น

ครั้นเข้าใกล้ส่วนใต้ของเขตเชื่อมทะเลสาบ พลังปราณน่าผวาที่ดูดจิตวิญญาณผู้คน ทำให้จิตใจผู้คนไหววูบไม่สงบก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ชายหนุ่มทอดมองไปไกลโข ก็แลเห็นหมอกดำหนาทึบแผ่กระจายทั่วท้องฟ้า ภายในเมฆหมอกสีดำมีสายฟ้าแลบสีแดงโลหิตวาบวับขวักไขว่ ปรากฏเป็นทัศนียภาพคล้ายวันสิ้นโลกผืนหนึ่ง

ใต้ทะเลสาบทอดยาวมืดสนิทดุจน้ำหมึก คล้ายเห็นได้ว่าค่ายกลมหึมาวางอยู่บนพื้นดินรางๆ ลวดลายค่ายกลแต่ะลายทอธารแสงสีดำวามวาว

เยี่ยนจ้าวเกอหันศีรษะมองทางสือเถี่ย “ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ศาสตร์วิชาที่อีกฝ่ายเคลื่อนย้ายสถานที่มาเยือนของประตูนพยมโลก ลึกล้ำพิศวงยิ่งยวด คลายออกไม่ง่าย น่าจะไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว หนนี้พวกเราต้องเตรียมป้องกันล่วงหน้าให้ดีก่อนเช่นกันถึงจะได้”

สือเถี่ยเอ่ย “เกินกว่าครึ่งเป็นเช่นนี้”

พวกเขาห้อตะบึงไปทางเขตศูนย์กลางมหาค่ายกลแดนมาร ที่ค่อนข้างผิดแผกไปคือไม่ได้พบจอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตสักคนคอยขัดขวาง

ม่านตาดำเยี่ยนจ้าวเกอหดลงเล็กน้อย “พวกเขาต้องวางเล่ห์กลเป็นแน่ หากศูนย์กลางมหาค่ายกลแดนมารของที่นี่ถูกทำลาย สถานที่มาถึงของประตูนพยมโลกจะแปรเปลี่ยนอีกหน”

“ตอนนี้ไม่ขัดขวาง แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สนใจ หากแต่อีกฝ่ายต้องการหลอกใช้จังหวะที่พวกเราปิดผนึกประตูนพยมโลกอีกครั้ง ถึงค่อยเข้ามาจู่โจมโดยพลัน”

“ยามนั้น พวกเราเบนความสนใจอยู่ที่การปิดผนึกประตูนพยมโลก สถานการณ์ก็จะเอื้ออำนวยพวกเขา”

สือเถี่ยและคนอื่นๆ ได้ยินแล้ว ต่างมุ่นหัวคิ้วแน่น

เยี่ยนจ้าวเกอพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมายาวๆ คำหนึ่ง “ซึ่งพวกเรา ไม่อาจนิ่งดูดายมองดูประตูนพยมโลกมาเยือนได้ แต่ว่า…”

ชายหนุ่มมองดูรอยประทับมารบนหลงมือซ้ายตนเอง ก่อนจะหรี่ลง “แต่ความเข้าใจที่มีต่อมหาค่ายกลแดนมารของพวกเรา ก็พัฒนาขึ้นกว่าสองคราก่อนมากนักแล้วเช่นกัน”

พวกเขาครุ่นคิดตลอดทาง สืบเท้าเขตศูนย์กลางแดนมารสีแดงก่ำนั่นอีกครั้ง แลเห็นเจดีย์สูงสีทองตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าตนเองอีกหน สีหน้าอารมณ์เยี่ยนจ้าวเกอเรียบเฉยไร้ทุกข์ไร้สุข

ที่แห่งนี้ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด เหลือเพียงมหาค่ายกลแดนมารยังคงโคจรเสียงดังกึกก้อง

ยอดเจดีย์สูงสีทอง สะท้อนฉายประตูแสงสีแดงลงบนพื้น ต้องการชักนำนพยมโลกมาเยือนโลกใบนี้

ลวดลายค่ายกลสีดำแต่ละสาย ยื่นขยายออกไปทั่วสารทิศ แล้วรวมเข้าหากันอีกครั้ง พันอยู่บนเจดีย์สูงสีทองราวกับสายโซ่อย่างไรอย่างนั้น

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ลังเลแม้แต่น้อย ลอยตัวขึ้นเบื้องบน สองฝ่ามือเหินขึ้นลง ตบฟาดไปบนลวดลายค่ายกลสีดำแต่ละเส้นเหล่านั้นฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่าราวกับทะลุดอกไม้แฉลบต้นหลิวก็ไม่ปาน

ระหว่างที่ลวดลายค่ายกลเหล่านี้ถูกเยี่ยนจ้าวเกอฟาด ด้านบนพลันปรากฏวงแหวนเล็กๆ ออกมาวงหนึ่ง

ในวงแหวนเปล่งประกายแสงขาววิบวับ ลวดลายหนึ่งที่ซับซ้อนและยังลี้ลับมหัศจรรย์ปรากฏให้เห็น สลักไปบนลวดลายค่ายกลของมหาค่ายกลแดนมารประหนึ่งรอยตรา

“ถึงเสาทางเดินวังเทพจะใช้การไม่ได้ชั่วขณะ…” แววตาเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่ง โจมตีออกไปฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่า

สุดท้ายเขาก็มาถึงฐานเจดีย์สูงสีทอง เขายื่นสองมือออกไปวาดเค้าโครงลายยันต์ขนาดยักษ์ออกมา จากนั้นประทับไปบนเจดีย์สูงสีทอง

“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่!” เยี่ยนจ้าวเกอร้องตะโกนเรียก สือเถี่ยเตรียมการเอาไว้แล้ว บัดนี้เขาเหินขึ้นก้าวใหญ่เช่นกัน เหยียบย่ำอากาศเปล่าจนมาถึงยอดเจดีย์สูง ก่อนจะฟาดฝ่ามือหนึ่งลงไป

เจดีย์สูงสีทองสั่นไหวดังสนั่น ลวดลายค่ายกลสีดำแต่ละสายที่พันรอบมัน เริ่มม้วนกลับคืนเสียงดัง

มหาค่ายกลแดนมารค่อยๆ มลายหาย ทว่าไอมารกลับไม่ได้ย้ายยังสถานที่อื่นแบบที่จอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตคาดหวังเช่นนั้น

ส่วนพลังปราณของนพยมโลกที่นี่ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ เจดีย์สูงตระหง่านสีทองนั่น บัดนี้แจ่มชัดว่าเริ่มค่อยๆ หดเล็กลง

หดเล็กอย่างสงบปลอดภัย หาใช่พังถล่มทลายชั่วพริบตาไม่

สวีเฟยและอาหู่เห็นดังนั้น ต่างก็ผ่อนลมหายใจ อาหู่ยิ้มอ้าปากกว้างพลางเอ่ย “คุณชาย จนถึงวันนี้ ต่อให้ค่ายกลของบรรดาภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตจะยอดเยี่ยม ในด้านมหาค่ายกลแดนมารนี้ เกรงว่าล้วนจะไม่เชี่ยวชาญสู้ท่านกระมัง?”

ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอได้ชักมือทั้งสองออกจากเจดีย์สูงแล้ว มีสือเถี่ยมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณท่านนี้ระงับ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว

ยังไม่ทันได้ตอบกลับ ตรงหน้ากลุ่มคนเยี่ยนจ้าวเกอก็ปรากฏแสงโชติช่วงทรงพลังสายหนึ่ง เจาะทะลุความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด เจาะทะลวงมาทางฝูงชนได้อย่างง่ายดาย!

แสงโชติช่วงนั่นเร็วรี่ ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอ สวีเฟย และอาหู่ ทั้งสามไม่อาจตอบสนองได้ทัน

ราวกับสายฟ้าแลบสีดำจริงแท้ พลังทรงอานุภาพกระชับรวมถึงขีดสุด ประหนึ่งสามารถฉีกแผ่นดินได้!

กระนั้นสือเถี่ยกลับสังเกตเห็นการรุกโจมตีของอีกฝ่ายได้ทันท่วงที

ร่างเขาแปรเป็นเพชร ส่องแสงหมื่นจั้ง แม้จะอยู่ในแดนไอมาร ก็เหมือนกับหินหลักกลางกระแสน้ำ ทำให้ไอมารยากเข้าใกล้ร่าง ไล่หมอกดำโดยรอบกระจายออกไปกว่าครึ่ง

มือข้างหนึ่งของสือเถี่ยยังคงยันอยู่บนเจดีย์สูงสีทอง อีกมือหนึ่งต่อยหมัดหนึ่งออกไป กระแทกแข็งชนแข็งกับแสงโชติช่วงน่าหวาดหวั่นที่จู่โจมเข้ามาโดยตรง

แสงวาวโรจน์ทอประกายขึ้นมาพร่างพราวทั่วฟ้าดิน ส่องสว่างพื้นดินอันมืดครึ้ม

สือเถี่ยแลมองผู้มาเยือน เป็นศัตรูเก่า ‘ราชันมังกร’ ซือหม่าฉุยนั่นเอง

ทั้งสองนับว่ารู้ลึกตื้นหนาบางกันแล้วเช่นกัน ประสบพบเพราะโลกกลม ล้วนไม่เหลวไหล ลงมือโดยพลัน

ทว่าสัตย์จริงเช่นที่เยี่ยนจ้าวเกอคาด สือเถี่ยที่เบนความสนใจอยู่กับการระงับมหาค่ายกลแดนมารและประตูนพยมโลก ไม่อาจตอบโต้ซือหม่าฉุยได้เต็มกำลัง

ฝ่ามือยันอยู่บนเจดีย์สูงสีทอง สือเถี่ยถึงขนาดหมดทางเคลื่อนที่ร่างกายได้อิสระชั่วขณะหนึ่ง ได้เพียงแต่รอประจันศัตรูอยู่กับที่

หากแต่เขาน้ำนิ่งไหลลึก ประหนึ่งหินโสโครกที่อยู่กลางลมกระหน่ำและห่าฝน คลื่นลมโหมซัดบ้าคลั่ง ตระหง่านไม่เอนล้มอยู่เช่นนั้น

ระหว่างที่กระบวนท่าเปิดปิดคล้ายปิดคล้ายผนึก ปกป้องน้ำไม่รั่วแม้แต่หยดเดียว มิปล่อยโอกาสใดๆ ให้ศัตรูได้ฉกฉวย

ซือหม่าฉุยก็รุกหนักต่อเนื่องหลายครั้ง แต่ล้วนไม่อาจก้ำกรายได้สักก้าว

ทว่า สีหน้าอารมณ์บนดวงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอสงบเย็นแลเคร่งขรึม หาได้ปล่อยสบายไม่

อาหู่เองก็ไม่ยิ้มแย้มแล้วเช่นกัน หันศีรษะมองไปอีกทิศทางพร้อมกับสวีเฟย

ที่แห่งนั้น มีเงาร่างจำนวนมากวาบวับ สืบเท้าบนโลกที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงตรงหน้า

มีบางคนในนั้น เยี่ยนจ้าวเกอคุ้นตา ต่อให้ไม่คุ้นตา อีกฝ่ายสวมอาภรณ์ตามแบบจอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิง ก็บอกเขาเช่นกันว่านั่นคือจอมยุทธ์กว่างเฉิงที่แต่เดิมตั้งมั่นอยู่ที่เขตเชื่อมทะเลสาบ

พลังฝึกปรือฝูงชนมีสูงมีต่ำ ที่สูงมีจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ ที่ต่ำกลับมีเพียงระดับพลังฝึกปรือระดับยุทธ์หลอมกาย

กระนั้น สิ่งที่เหมือนกันของทุกคนในตอนนี้ ก็คือสติเซื่องซึม ร่างกายไร้เรี่ยวแรง เห็นได้ชัดว่าถูกควบคุมโดยคนบางคน

มีบางคนบาดเจ็บบนร่าง หากแต่ขณะนี้ก็ไม่ได้รับการรักษา ได้เพียงแต่ปล่อยให้โลหิตสดไหลโชก

ข้างกายบรรดาจอมยุทธ์กว่างเฉิง กลับเป็นจอมยุทธ์ที่อีกกลุ่มหนึ่งที่มีไอชั่วร้ายอยู่บ้าง

ครั้นแลเห็นหนึ่งคนในนั้น สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็ชะงักเล็กน้อย

ทั่วสรรพางค์กายของคนผู้นั้นคลุมอยู่ภายในชุดคลุมยาวสีดำ เสื้อคลุมมีหมวกกันลมซ่อนเร้นศีรษะแลใบหน้า มีเพียงใบหน้าครึ่งดวงที่โผล่พ้นออกมา ยังสวมหน้ากากสีดำมืดเอาไว้

—————————