เมื่อเห็นภาพที่หลิวยี้กำลังวิ่งพุ่งมาหาติงเซว เฉินเสี้ยนกาวและทุกคนรีบเข้ามาขวางไว้อย่างโกรธจัด

 

“วันนี้ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ฉันจะบอกแกให้ฟัง—-” เฉินเสี้ยนกาวแหกปากใส่หลิวยี้ “ติงเซวไม่ใช่ข่าวร้ายสำหรับแกหรอก”

 

เยวจึยืนข้างเฉินเสี้ยนกาวโดยไม่ปริปากพูดอะไร หากมือที่ยกขึ้นตั้งท่าเป็นสัญญาณให้พรรคพวกได้รู้ว่าเขาพร้อมจะลงมือแล้ว!

 

แววตาของหลิวยี้เป็นประกายดุดัน เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับก้าวเข้ามาอย่างไร้ซึ่งความกลัว น้ำเสียงราวกับคนบ้าคลั่ง “แกมีแค่ 80 คนอยู่ในมือ แต่พวกเรามีกัน 200 ไม่ต้องพูดถึงจำนวนวิวัฒนาการที่แกมีหรอกนะ แกคิดว่าแกจะสู้กับความแตกต่างนี้ได้งั้นเหรอ?”

 

“รำคาญชิบหาย!” เยวจึตะโกนใส่หลิวยี้ “กูสามารถจัดการพวกมึงได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ!”

 

“ฮ่าฮ่า!” หลิวยี้ระเบิดหัวเราะออกมาพลางจ้องเยวจึ “ก็แค่พวกผู้ลี้ภัยบวกกับวิวัฒนาการระยะ 1? พวกมึงทั้งหมดจง ฟังวันนี้กูต้องได้ติงเซว!”

 

“คนเลว! หน้าไม่อาย!” ติงเซวที่ถูกดูถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าทนไม่ไหว หน้าของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธจัด

 

“ฮืม?” หลิวยี้ยิ่งใช้สายตาหยาบคายกว่าเดิมมองติงเซวทั้งเนื้อทั้งตัวพลางพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “ใครหน้าไม่อาย? มีผู้ชายมากมายตรงนี้ ทำไมเราถึงใช้งานผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ล่ะ? ทำไมไม่ใช้เพศของตัวเองทำตัวให้มีประโยชน์ซะหน่อยละคนสวย? ฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

เมื่อได้ยินคำพูดดูถูกเหยียดหยามจากหลิวยี้ ภายในรถของชูฮันก็เงียบสนิท มือของเฉินช่าวเย่ที่ถือปืนอยู่สั่นระริก หน้าตาบิดเบี้ยว หายใจฟืดฟาด

 

และต่อมา มันก็มีเสียงด่าทอเหยียดหยามดังลั่นขึ้นไม่หยุดจากด้านนอก

 

เสียงดูถูกและสาดน้ำใส่กันไปมาของทั้งสองฝ่ายยิ่งทำให้เส้นความอดทนของเฉินช่าวเย่แทบไม่เหลือแล้ว

 

“กร๊ดดดดด” ในตอนนั้นเองก็มีเสียงกรี๊ดของติงเซวดังขึ้น

 

ชูฮันทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตบเข้าที่หน้าของเฉินช่าวเย่พร้อมกับสายตาดุดันที่พร้อมจะฆ่าคน “ฉันจะออกไป อย่าขวาง!”

 

“แต่หัวหน้า แผนของหัวหน้า??” เฉินช่าวเย่ที่ถูกตบก็มีสีหน้ายุ่งเหยิงและเป็นกังวล

 

“ช่างหัวแผนมัน” ชูฮันไม่สนใจแล้ว “ถึงเวลาที่ต้องเร่งแผนให้เร็วขึ้นแล้ว!”

 

“เอ่อ” เฉินช่าวเย่พยักหน้าจากนั้นก็กระโดดออกไปจากรถอย่างรวดเร็ว

 

ชูฮันและหลิวยี้รีบชะโงกหน้าไปดูตรงหน้าต่างทันทีที่เฉินช่าวเย่พุ่งตัวออกไป คงจะพูดได้ว่ามันเหนือความคาดหมายที่เฉินช่าวเย่แอบชอบติงเซวแต่ชูฮันก็มองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ไม่อย่างนั้นเขาคงกลัวว่าเจ้าอ้วนกับหัวล้านเหอซางคงจะอยู่เฝ้าค่ายอย่างแห้งเหี่ยวไปจนตาย!

 

เฉินช่าวเย่ที่กระโดดออกมาจากรถพุ่งมาที่จุดเกิดเหตุทนที ในตอนนี้มันเต็มไปด้วยความโกลาหล ทุกคนตะลุมบอนกันเละเทะไปหมด อาหารหกเทกระจัดกระจาย เฉินเสี้ยนกาวและเยวจึถูกล้อมไว้ดังเช่นที่หลิวยี้พูด ความต่างระหว่างจำนวนคนทำให้ฝ่ายเฉินเสี้ยนกาวไม่สามารถสู้ได้

 

ส่วนติงเซวก็จับมือชูเซี่ยซ่อนตัวอยู่ข้างทาง น้ำที่สาดมาโดนพวกเธอจนเปียกทำให้สามารถมองเห็นรูปร่างพวกเธอได้อย่างชัดเจน ทหารรอบตัวยิ่งหื่นกระหายขึ้นไปอีกเมื่อได้เห็นภาพนี้ ทุกคนพยายามพุ่งตัวมาทางติงเซว

 

ทหารวิวัฒนาการระยะ 2 หลายคนพุ่งตัวเข้ารุมใส่เฉินเสี้ยนกาว และในที่สุดหลิวยี้ก็เจอช่องที่จะหลบออกมาจากวงต่อสู้ หลิวยี้รีบพุ่งตัวเข้าหาติงเซวทันทีพร้อมยิ้มอย่างชั่วร้าย “กว่าจะได้ตัวนะคนสวย ลำบากดีนัก กูจะฉีกเสื้อผ้ามึงออกเอง”

 

พรึบ!

 

หลิวยี้ฉีกเสื้อที่หัวไหล่ติงเซวออกทันทีพร้อมกับอ้าปากกว้างด้วยความถูกใจเมื่อได้เห็นหัวไหล่ขาวกลมมนที่เปิดเผยสู่สายตา ทหารหลายคนที่มองติงเซวมานานยิ่งเริ่มคลั่งขึ้นเมื่อได้เห็นภาพนั้น ต่างวิ่งแห่ออกมาจากวงต่อสู้เข้าใส่ติงเซว

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! ฉีกออก!”

 

“ดีจริงๆ!”

 

ติงเซวทั้งช็อคและนิ่งค้างอย่างหวาดกลัว เธอมองไปที่กลุ่มคนตรงหน้าที่กำลังจะฆ่าเธอทั้งเป็นอย่างสั่นเทิ้ม หัวไหล่ของเธอเย็นเฉียบ ลมเย็นของฤดูหนาวทะลุผ่านเสื้อเข้าร่างเธอ

 

“ปัง!”

ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น มันมีเสียงปืนดังลั่นขึ้นมา ทันใดนั้นทุกอย่างก็หยุด

 

ผู้ชายคนที่พยายามจะพุ่งไปหาติงเซวทันใดนั้นก็มีเลือดพุ่งกระฉูกออกมาตามมาด้วยร่างที่กระแทกลงพื้น ของเหลวในสมองพุ่งกระจายทะลักออกมา

 

“ใครแม่งเปิดยิงวะ?” มีคนพูดตะโกนถามขึ้นมาทันที “ใครกล้าฆ่าคนของพวกเรา!”

 

“ปัง!”

กระสุนอีกนัดยิงเข้าใส่ชายที่ตะโกนทันที ร่างของชายคนนั้นล้มลงไปนอนจมกองเลือดเช่นเดียวกับชายคนที่ตายไปก่อนหน้านี้ เลือดของทั้งสองคนนองเยิ้มไปทั่วพื้นหิมะจนแดงเดือด

 

ทุกคนหวาดกลัวและนิ่งค้าง และก่อนที่ทุกคนจะได้ทันตอบสนอง มันก็เสียงยิงปืนรัวดังขึ้น

 

“ปัง! ปัง! ปัง!——”

กลุ่มคนรอบติงเซวต่างล้มลงไปกองที่พื้นกันหมด ยกเว้นแค่หลิวยี้ที่เฉินช่าวเย่จงใจเหลือไว้

 

การยิงปืนและเฉินช่าวเย่ที่ปรากฏตัวขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่กำลังสู้กันอยู่หยุดชะงักทันที และพลทหารทั้งหลายมีอาการหวาดกลัวพร้อมแสดงความเคารพต่อเฉินช่าวเย่

 

“ท่านเฉิน พลโทเฉินช่าวเย่”

 

“ท่านเฉิน”

 

“ท่านออกมาได้ยังไง ท่านเฉินช่าวเย่?”

 

ทุกคนตะลึงค้าง พวกเขาแทบลืมไปแล้วว่ายังมีชูฮันและเฉินช่าวเย่อยู่ในรถจี๊ปถัดไป ด้วยเพราะพวกเขาไม่เคยได้เห็นทั้งคู่เลยตลอดสองวันที่ผ่านมาทำให้พวกเขาลืมนึกถึงไปเลยอย่างสิ้นเชิงว่าฝั่งนั้นยังมีท่านพลเอกและพลโทอยู่

 

หน้าของเฉินช่าวเย่ดุดัน เขาก้าวเท้าเพียงแค่สองสามก้าวก็เดินไปถึงติงเซวผู้หวาดกลัวที่มีเพียงแค่เสื้อส่วนหัวไหล่เท่านั้นที่ฉีกขาด ติงเซวรู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นว่าทุกคนมีท่าทีหวาดกลัวเฉินช่าวเย่หากเธอก็ยังคงระแวงและพูดอะไรไม่ออก จากนั้นเฉินช่าวเย่ก็ตวัดสายตาไปที่หลิวยี้

 

ฟึบ!

เฉินช่าวเย่ถือไปไรเฟิลไว้ด้วยมือข้างเดียวเล็งจ่อไปที่หัวของหลิวยี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวและเย่อหยิ่ง “ชื่อของแกคือหลิวยี้?”

 

ในที่สุดมือปืนพระเจ้า….เฉินช่าวเย่ผู้ดุดันที่ชูฮันเคยได้เห็นในชาติที่แล้วก็ปรากฏตัวขึ้น

 

“ครับ ” หลิวยี้ที่ถูกเฉินช่าวเย่เอาปืนจ่อหัวอยู่เกร็งจนแทบคอหัก ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว “ท่านเฉิน ออกมาได้อย่างไร? นี่มันเป็นการเข้าใจผิด ทุกอย่างมันเข้าใจผิดนะครับ”

 

ปึก!

สีหน้าของเฉินช่าวเย่เดือดดาลอย่างมากและกดปืนลงหน้าปากของหลิวยี้แรงขึ้นไปอีก “นี่่มึงยังกล้าหลอกกูอีกเหรอ?!”

 

หลิวยี้ไม่พอใจทว่าแน่นอนเขาต้องแสร้งฝืนยิ้มพลางพูดเอาใจเฉินช่าวเย่ “พวกเราแค่ถกเถียงกับเฉินเสี้ยนกาวและมีปัญหาไม่ลงรอยกันเรื่องที่เราใช้คนของเขาไม่ได้ครับ!”

 

แน่นอนว่าหลิวยี้ไม่สามารถยอมได้รับว่าตัวเองคิดจะข่มเหงผู้หญิง การยอมรับว่าทะเลาะต่อสู้กัน โทษที่ได้รับมันคนละเรื่องกันเลย

 

“แก—–” ทันใดนั้นเฉินช่าวเย่ก็ปล่อยจิตสังหารและระเบิดพลังผันผวนของพรสวรรค์ระยะ 4 ออกมา “แกกำลังพูดถึงใคร?”

 

“ติง—ติงเซวและชูเซี่ย ครับ” หลิวยี้ยืดคอและพูดออกไป เขาคิดว่ายังไงก็ตามพลโทไม่สามารถฆ่าทหารทั้งหน่วยได้ ยังไงพวกเขาก็มีตัวตนและเป็นคนของซางจิง