ปกคลุมด้วยความมืดมิด มุ่งหน้าสู่แสงสว่าง
ไม่มีทางที่คาวาโยชิจะรู้ได้เลยว่ายามาดะ อาคิระ ที่อยู่ระดับ D คนนี้จะเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าที่พลิกแผ่นดินตามหามานาน
คาวาโยชิคงคิดอยากจะฆ่าหลี่ว์ซู่แทบตายแต่ก็คงทำได้แค่ฝัน ไม่มีใครในกลุ่มทวยเทพทำอะไรหลี่ว์ซู่ได้ คงจะมีแต่ทาคาชิมะ ทาอิรัตสึกับคิตะมุระ คิจิโทริเท่านั้นแหละที่พอจะเป็นไปได้
แต่ก็นะ คิตะมุระ คิจิโทริก็ไม่อยู่ที่ฐาน และคนระดับ B อย่างทาคาชิมะ ทาอิรัตสึก็ไม่น่าอยู่ประจำฐานตลอดเวลาแน่ๆ ไม่มีใครที่จะมาประมือกับหลี่ว์ซู่ในตอนนี้ได้หรอก
แต่ก็ไม่รู้ว่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึจะมาถึงที่ฐานตอนไหน หลี่ว์ซู่กะเวลาไม่ได้เลย เขาไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้เชื่อมต่อรับข้อมูลจากข้างนอก เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทาคาชิมะจะโผล่มาเมื่อไหร่
หลี่ว์ซู่มองคาวาโยชิที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น คอเขาพับหักอย่างดูไม่ได้ หลี่ว์ซู่ไม่ได้รู้สึกสงสารเขาเลยสักนิด ถ้าเป็นพวกทวยเทพ หลี่ว์ซู่ก็ฆ่าทิ้งได้หมดทั้งนั้น
แต่หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าตอนนี้เขาไม่ควรจะฆ่าใครทิ้งมั่วซั่วเพราะในบรรดาทวยเทพมีสายลับจากเครือข่ายฟ้าดินอยู่หลายคนเหมือนกัน เขาอาจจะพลั้งมือไปฆ่าสายลับพวกนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ ถ้าเป็นงั้นหลี่ว์ซู่คงรู้สึกผิดมาก เขาไม่ได้ใจร้ายใจดำขนาดนั้นหรอกนะ แค่บางทีเขาก็เห็นแก่ตัวไปบ้างเท่านั้นเอง
แต่ถึงยังไงการฆ่าคนย่อมต้องเป็นไปตามแผนอยู่เหมือนเดิม เป้าหมายที่เขาต้องเก็บยังมีอีกเยอะ รวมถึงคุริยามะด้วย
ในสายตาหมอนั่นคงมองว่าเขาเป็นแค่ระดับ D ไร้น้ำยา ไม่คู่ควรแก่การยอมรับสินะ หลี่ว์ซู่แค่นหัวเราะ เขาหยิบศิลาวิญญาณออกมาจากตัวคาวาโยชิจนหมดทุกเม็ดแล้วเก็บลงตราแผ่นดิน รวมถึงเม็ดที่คาวาโยชิกำไว้ในมือและดูดพลังออกไปแล้วครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม
ถึงพลังจะหายไปครึ่งหนึ่งแต่ทั้งหมดนี่เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้น ถึงจะมีศิลาวิญญาณเป็นแสนเม็ดแต่คนเราก็ยังต้องทำมาหากินอยู่ดีละนะ
คนจนเปลี่ยนมาใช้ชีวิตอู้ฟู่แบบคนรวยน่ะไม่ยากหรอก แต่ถ้ารวยแล้วเกิดจนขึ้นมาคงลำบากหน่อยล่ะ หลี่ว์ซู่ยังติดนิสัยประหยัดและทำงานอย่างขยันขันแข็งอยู่
ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลออกมาจากตราแผ่นดินเพื่อทำลายหลักฐาน หลี่ว์ซู่พบว่าดาบคาตานะของคาวาโยชิมอบพลังที่แปลกใหม่ให้กับธารน้ำ เขาคิดอยากจะปลอมตัวเป็นคาวาโยชิเพื่อเข้าหาคุริยามะ แต่ไม่น่าจะทำได้เพราะส่วนสูงของพวกเขาต่างกันอยู่
หลี่ว์ซู่มุ่งหน้าไปทางห้องทำงานของคุริยามะ เขาเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา เขาจึงเคาะอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว เขาเพิ่งนึกออกว่ากำแพงที่ฐานนี้มันกันเสียงได้ดีขนาดไหน สรุปว่ากำแพงมันกันเสียงได้ดีหรือว่าไม่มีใครอยู่ข้างในกันแน่เนี่ย
แต่ยังไงก็ตาม หลี่ว์ซู่ต้องได้คำอนุมัติออกจากฐาน เขาเลยลองเคาะดูอีกครั้ง
ปัง! ปัง! ปัง! หลี่ว์ซู่เกือบทำประตูพังด้วยแรงเคาะแล้ว!
[ได้แต้มจากคุริยามะ คุโมะ +399!]
[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +499!]
หลี่ว์ซู่ได้ยินเสียง ติ๊ง! เขาเห็นว่าไฟหน้าประตูเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว แล้วเสียงเกรี้ยวกราดของคุริยามะก็ดังลอยมาจากข้างใน “เข้ามา”
ยะฮู้! ในที่สุดประตูก็เปิด หลี่ว์ซู่ผลักประตูเปิดออก เขาเห็นผู้บำเพ็ญหญิงที่ชื่อมิยาซากิกำลังติดกระดุมเสื้ออยู่ กระทั่งคนของทาคาชิมะสองคนก็อยู่ในนี้ด้วย
หลี่ว์ซู่พูดไม่ออก คาวาโยชิหนอคาวาโยชิ นี่แกเทิดทูนคนแบบนี้จริงดิ…
คุริยามะพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “กดกริ่งไม่เป็นหรือไง” ส่วนมิยาซากินั่งเช็คเมคอัพอย่างเฉิดฉายอยู่บนโซฟาที่อยู่ด้านข้าง เธอเมินหลี่ว์ซู่ไปโดยสิ้นเชิง
หลี่ว์ซู่ลืมเรื่องกริ่งไปเสียสนิท…
“ผมเพิ่งเคยมาที่ฐานใต้ดินเป็นครั้งแรก ไม่รู้เรื่องกริ่งมาก่อน ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ แล้วปิดประตูตามหลัง
“แล้วที่มานี่มีเรื่องอะไร” คุริยามะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องหลี่ว์ซู่เข้ามาเห็นว่าเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับมิยาซากิ
“เรื่องมีอยู่ว่า ผมอยากกลับไปที่นิชิโนเกียวน่ะครับ” หลี่ว์ซู่พูดติดตลก
คุริยามะถึงกับงง เขาชักเริ่มสงสัย “นายเพิ่งมาถึงเองนี่ จะขอกลับแล้วงั้นเหรอ”
“ก็แหม วันนี้เป็นวันที่เจ็ดหลังจากโนกิวะ ฮากุชุนเสียชีวิตนี่ครับ ผมอยากจะไปทำความเคารพศพสักหน่อย” หลี่ว์ซู่ตอบ
คุริยามะนิ่งไป
เขาไม่เคยคิดเลยว่ายามาดะจะอยากทำความเคารพศพโนกิวะ ฮากุชุน ไอ้หมอนี่ก็มีอารมณ์เห็นอกเห็นใจคนอื่นเหมือนกันนะ
“งั้นก็ไปเถอะ” คุริยามะอนุมัติวันลาให้ยามาดะ อาคิระในคอมพิวเตอร์ หลี่ว์ซู่ต้องได้คำอนุญาตจากคุริยามะเท่านั้นถึงจะออกไปจากที่นี่ได้
แต่แล้วคุริยามะก็เอ่ยต่อว่า “ถ้านายพอจะช่วยฉันแบบเดียวกันบ้าง ฉันก็จะไม่ขวางนายหรอก”
หลี่ว์ซู่อึ้งกิมกี่ เขาแค่หาข้ออ้างไปเรื่อยจะได้ออกจากที่นี่เฉยๆ ไม่ได้จะมาฟังพี่แกเล่นบทดราม่าอะไรทั้งนั้นซะหน่อย
เขาหยุดคิดชั่วครู่แล้วตอบกลับ “ได้เลยครับ ถ้าท่านซี้แหงแก๋เมื่อไหร่ ผมจะช่วยไปเยี่ยมท่านหลังครบเจ็ดวันแน่นอน”
[ได้แต้มจากคุริยามะ คุโมะ +999!]
[ได้แต้มจากมิยาซากิ ยู +399!]
คุริยามะอ้าปากค้าง ฉันยังไม่ได้พูดเรื่องตายเลยโว้ย ไอ้หมอนี่เสียสติไปแล้วรึไง
สีหน้าคุริยามะมืดครึ้ม “เหอะๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไปเยี่ยมศพโนกิวะ ฮากุชุนเถอะ เดี๋ยวนายก็รู้เองว่าอวดดีแล้วจะมีจุดจบยังไง”
ขณะที่เขาพูด คุริยามะก็หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา เป็นโทรศัพท์ที่ดูจะถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในฐานใต้ดินและสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เขาจิ้มโทรศัพท์กดเบอร์” ไปขุดโนกิวะ ฮากุชุนขึ้นมาจากหลุมให้ฉัน!”
คุริยามะกดวางสายแล้วหัวเราะเ**้ยมๆ “ไปลิ้มรสรสชาติแห่งความเจ็บปวดเถอะ แล้วจำไว้ด้วยว่าครั้งหน้ากดกริ่งก่อนเข้ามาล่ะ”
หลี่ว์ซู่เหม่อซึม จะดีแค่ไหนนะ ถ้าความตายของโนกิวะ ฮากุชุนจะมอบแต้มให้เขาด้วย
“ผมว่าท่านไม่น่าจะต้องใช้กริ่งประตูอีกต่อไปแล้วล่ะครับ พอเรื่องออกมาเป็นงี้ เห็นทีผมไม่น่าจะได้ไปเยี่ยมศพท่านหลังครบรอบเจ็ดวันแล้วล่ะ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ
หลี่ว์ซู่ไม่รอจนพูดจบประโยค เขาถือโอกาสตอนที่คุริยามะกำลังวางโทรศัพท์ ปลดปล่อยซือโก่วและฝูฉื่อออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วทั้งห้องก็สั่นสะท้านไปด้วยพลัง คุริยามะไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมโต้กลับอะไรทั้งนั้น
ความหวาดกลัวฉายชัดในดวงตาของมิยาซากิ เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็นกระบี่ของคนจากเครือข่ายฟ้าดิน โดยเฉพาะกระบี่สองเล่มนี้ที่แทบไม่มีใครเคยสัมผัสด้วยตา!
คุริยามะอยากหนีไปหลบที่มุมห้อง แต่ตัวเขาลอยอยู่กลางอากาศ มือพยายามเอื้อมไปหยิบอาวุธดาวกระจาย
ทว่าคมกระบี่กลับพุ่งทะลุเข้ามาแทงทะลุศีรษะลงไปถึงหัวใจขณะที่เขาไร้การป้องกัน
มิยาซากิไม่อาจรักษาภาพลักษณ์งามสง่าของเธอได้อีกต่อไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของคุริยามะแข็งค้าง เลือดของเขาสาดกระจายไปในอากาศราวกับการดอกกุหลาบที่เบ่งบานยามรุ่งสางในนรกอเวจี แม้จะถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด แต่ก็มุ่งหน้าไปสู่แสงสว่าง
หลี่ว์ซู่ยืนนิ่งในห้องทำงาน อา… ราวกับว่าอยู่ๆ อากาศในนี้ก็บริสุทธิ์ขึ้นมา เขาสูดหายใจเข้าลึก
นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของเขา