เล็กน้อยกว่าต้นหญ้า โดย Ink Stone_Fantasy

แขกรออยู่ที่ตีนเขา เมื่อได้รับคำสั่งก็ย่อมปล่อยให้เข้ามา ชิงจวี๋กำลังรออยู่ที่ประตูจวนผู้การใหญ่ ประสานมือเข้าด้วยกัน ดูค่อนข้างกังวลใจ

ผ่านไปไม่นาน แขกก็มาถึงแล้ว เป็นสตรีคนหนึ่งที่รูปร่างอรชรอ่อนช้อย แต่งกายเรียบง่าย สวมหมวกงอบและปิดบังใบหน้าด้วยผ้ามุ้งสีดำ ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่กลับปิดบังความถือตัวที่ซ่อนอยู่ในอากัปกิริยาไม่ได้

ชิงจวี๋โบกมือให้คนที่นำทางออกไป สีหน้านางสื่ออารมณ์ซับซ้อน มองสำรวจใบหน้าที่อยู่หลังผ้ามุ้งไม่หยุด เหมือนอยากจะวินิจฉัยใบหน้าที่อยู่เบื้องหลัง

สตรีที่สวมหมวกงอบคลุมผ้ามุ้งสีดำจ้องมองชิงจวี๋เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า “เป็นพวกเจ้าจริงๆ ด้วย จวี๋เอ๋อร์ ไม่เจอกันนานเลยนะ”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ชิงจวี๋ก็ตัวสั่นเล็กน้อย เหลียวซ้ายแลขวาไปทั่ว ไม่กล้าทำให้คนนอกสงสัย เพียงเบี่ยงตัวหลีกทางแล้วยื่นมือเชิญ  “นายท่านรออยู่ข้างใน เชิญเจ้าค่ะ!”

ผู้ที่มาก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน เดินเนิบนาบตามหลังชิงจวี๋ มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของหยางชิ่ง

หยางชิ่งเอามือไขว้หลังยืนมองภาพวาดบนผนัง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้ามาอย่างช้าๆ

ชิงเหมยมองดูผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาในห้องตาปริบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยการเฝ้าคอย แววตาที่จ้องมองผ้ามุ้งสีดำฉายแววเหมือนกำลังสำรวจค้นหา

ผู้ที่มากำลังยืนอยู่ในห้อง หลังจากสบตากับหยางชิ่งเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!” พูดจบก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นถอดหมวกงอบที่มีผ้ามุ้งห้อยลงมา เปิดเผยโฉมหน้าที่งามล่มเมือง หน้าตางดงามดุจภาพวาด ดวงตาชุ่มฉ่ำดุจหนองน้ำในฤดูใบไม้ร่วงจริงๆ

เมื่อโฉมหน้าที่แท้จริงปรากฏ ชิงเหมย ชิงจวี๋ก็ตัวสั่นพร้อมกัน รีบเข้ามาคำนับอย่างฮึกเหิม “บ่าวคำนับฮูหยิน!”

ถ้าตอนนี้เหมียวอี้ได้มาเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ที่มา ก็จะต้องตกตะลึงมากแน่นอน นางคือฉินซี ฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน!

ฉินซีผายมือเล็กน้อย “เหมยเอ๋อร์ จวี๋เอ๋อร์ ไม่เจอกันนานเลยนะ ไม่ต้องมากพิธี”

หญิงรับใช้ทั้งสองยืนตัวตรง แล้วชิงจวี๋ก็รีบถอยออกไปเฝ้าประตู ป้องกันไม่ให้คนนอกเข้าใกล้ ส่วนชิงเหมยก็รีบนำน้ำชามารินให้ แต่ฉินซีโบกมือบอกใบว่าไม่ต้อง

หยางชิ่งเม้มริมฝีปากแน่น แววตาค่อนข้างตื่นเต้นหวั่นไหว แต่สีหน้ากลับค่อยๆ นิ่งเฉย แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

“หยางก่วง… ไม่สิ ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าหยางก่วง หรือควรจะเรียกเจ้าว่าหยางชิ่งดีล่ะ?” ฉินซีถาม

“แล้วข้าควรจะเรียกเจ้าว่าฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน หรือควรจะเรียกเจ้าว่าฉินซีล่ะ?” หยางชิ่งถามกลับ

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นชิงเหมยที่ยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ หรือชิงจวี๋ที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี ฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน? อย่าบอกนะว่านายท่านรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของฮูหยินลึกลับคนนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว?

“อย่าบอกนะว่าเจ้ารู้ถึงฐานะของข้าตั้งแต่ปีนั้นแล้ว?” ฉินซีขมวดคิ้วถาม

ในดวงตาหยางชิ่งฉายแววตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ตอนแรกก็ไม่รู้ ถ้ารู้ข้าจะกล้าแตะต้องเจ้าเหรอ ตอนหลังพอเริ่มจะมีประสบการณ์ความรู้ขึ้นมาบ้าง ก็เลยเดาได้นิดหน่อย แม่น้ำจัวสุ่ยถือว่าห่างจากสำนักงามวิจิตรไม่ไกล สตรีแซ่ฉินคนหนึ่ง หน้าตางดงามดุจเทพธิดา สามารถอาศัยอยู่ตรงนั้นลำพังได้โดยไม่มีใครกล้ารบกวน ทั้งยังมีวรยุทธ์ระดับบงกชม่วง ได้ยินว่าฮูหยินของปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยก็เฉินแซ่ฉิน มีหน้าตางดงามเหมือนกัน และมีวรยุทธ์ระดับบงกชม่วงเหมือนกัน กอปรกับกิริยาท่าทางของเจ้าในปีนั้น ข้าจะไม่นึกเชื่อมโยงไปได้อย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้ข้าคิดไม่ตกมาตลอดก็คือ ถ้าเจ้าเป็นฉินซีท่านนั้นจริงๆ เหตุใดจึงลดตัวลงมาให้คนต่ำต้อยอย่างข้าล่ะ จนกระทั่งลองถามดูเมื่อครู่นี้ ข้าถึงได้แน่ใจแล้วจริงๆ!”

ฉินซีถอนหายใจแล้วบอกว่า “หยางก่วง… หยางชิ่ง เจ้ายังฉลาดเหมือนเดิม นี่คือเหตุผลที่ตอนนั้นข้าไม่กล้าอยู่กับเจ้านาน กลัวว่าเวลานานไปจะปิดบังเจ้าไม่ได้”

หยางชิ่งแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “ตอนนี้ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ เหตุใดในปีนั้นเฟิงฮูหยินจึงยอมร่วมมีความสุขกับหยางคนนี้? หยางยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายมากความสามารถที่ผู้หญิงเห็นแล้วจะตกหลุมรักแน่นอน ช่างเข้าใจยากจริงๆ!”

ฉินซีตอบเสียงเรียบว่า “เรื่องที่ไม่ควรรู้ก็ไม่ต้องถามแล้ว ใช่ว่าเจ้าจะไม่ปิดบังเหมือนกัน ข้าคิดมาตลอดว่า ‘หยางก่วง’ คนนั้นเป็นนักพรตของแดนอู๋เลี่ยง ใครจะคิดว่าจะเป็นนักพรตของแดนเซียน ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่นได้?”

หยางชิ่งตอบว่า “ตอนนั้นได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ไปทำงานนอกสถานที่ นักพรตเล็กๆ ของแดนเซียนอย่างข้าจะกล้าเปิดเผยตัวตนที่แดนอู๋เลี่ยงได้อย่างไร ย่อมต้องปลอมตัวเป็นนักพรตแดนอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว เจ้าไม่เต็มใจบอกชื่อแซ่ของตัวเอง หยางคนนี้ย่อมไม่กล้าเปิดอกพูดตรงๆ! เฟิงฮูหยิน เรื่องในอดีตไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว ข้าว่าถ้าเรื่องราวในช่วงนั้นถูกเปิดโปง ก็จะไม่เป็นผลดีอะไรกับเจ้าเช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ทำร้ายกันอย่างนั้น ตอนนี้ข้ากลับแปลกใจ เจ้ามาหาข้าที่นี่โดยตรงเลยเหรอ?”

ฉินซีตอบว่า “ชื่อของลูกสาว ข้าเป็นคนตั้งเอง ข่าวที่เวยเวยจะแต่งงานโด่งดังไปทั่ว จะไม่ดึงดูดความสนใจของข้าได้อย่างไร?”

หยางชิ่งส่ายหน้า “คำพูดหลอกลวงแบบนี้ไปพูดกับคนอื่นอาจได้ผล แต่หลอกข้าไม่ได้หรอก ต่อให้เรื่องงานแต่งงานของเวยเวยจะดึงดูดความสนใจของเจ้า แต่ก็ใช่ว่าโลกนี้จะไม่มีคนชื่อแซ่เดียวกัน เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเราคือคนที่เจ้าตามหา ยอมเสี่ยงที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเพื่อมาหาด้วยตัวเองเลยเหรอ? ยอดเขาหยกนครหลวงไม่ใช่สถานที่ธรรมดาทั่วไป เจ้าเข้ามาไม่รู้ตาม้าตาเรือแบบนี้ ใช่ว่าเจ้าคิดอยากจะไปที่ไหนก็ไปได้นะ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่กังวลเลยสักนิด? ก่อนหน้านี้เจ้าต้องแน่ใจแล้ว ถึงได้กล้าบุกเข้ามาตรงๆ!”

ฉินซีพยักหน้า “ไม่ผิดหรอก ก่อนหน้านี้ข้าแน่ใจแล้ว ข้าเคยเจอเวยเวยที่สำนักงามวิจิตร เคยยืนยันต่อหน้า”

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ ชิงเหมย ชิงจวี๋และหยางชิ่งก็พากันงุนงง หยางชิ่งขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าเคยเจอเวยเวยที่สำนักงามวิจิตรเหรอ?”

ฉินซีตอบว่า “พอพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังคิดจะถามเจ้าอยู่เลย เจ้าน่าจะรู้นะว่าเหมียวอี้เป็นศัตรูกับแดนอู๋เลี่ยง ทำไมยังให้เวยเวยตามเหมียวอี้ไปสำนักงามวิจิตรเพื่อร่วมงานประลองของวิเศษอีก? เจ้ารู้รึเปล่า ถ้าตอนนั้นข้าไม่ได้แอบมาแทรกแซงให้เวยเวยแยกกับเหมียวอี้ได้ทันเวลา เกรงว่าเวยเวยคงจะไม่รอดชีวิตกลับมาแล้ว เจ้าดูแลลูกสาวแบบนี้เหรอ?”

หยางชิ่งตกใจมาก “เวยเวยก็ไปงานประลองของวิเศษของสำนักงามวิจิตรเหรอ? เอ่อ…” เขาเหม่อลอยไปพักใหญ่ เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ส่ายหน้าไม่หยุดพร้อมบอกว่า “ลูกสาวโตขึ้นแล้วรั้งไว้ไม่อยู่จริงๆ ขนาดเรื่องแบบนี้ก็ยังปิดบังข้า!”

ชิงเหมย ชิงจวี๋ก็เดาออกแล้วเช่นกัน ในช่วงเวลานั้นเหมือนฉินเวยเวยจะติดธุระ บอกว่าจะไปตรวจตรากำลังพลเบื้องล่าง ที่แท้ก็ตามเหมียวอี้ไปสำนักงามวิจิตรนี่เอง หญิงรับใช้ทั้งสองคิดแล้วขนลุก เรื่องในครั้งนั้นใหญ่โตขนาดไหน เป็นการร่วมตัวของกลุ่มพี่ใหญ่ทั้งนั้น นักพรตบงกชทองตายไปเป็นโขยง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนอี้ ที่ขนาดก่อเรื่องไปทั่วแล้วยังรักษาชีวิตไว้ได้ ในที่สุดตอนนี้ทั้งสองก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมหยางชิ่งไม่กล้าบอกฉินเวยเวยเรื่องที่เตรียมตัวจะหนีเหมียวอี้ ขนาดเรื่องแบบนั้นยังกล้าช่วยเหมียวอี้ปิดบัง ลูกสาวโตแล้วรั้งไม่อยู่จริงๆ

ที่จริงสำหรับพวกนางสองคน ฉินเวยเวยก็เหมือนกับเป็นลูกสาวของพวกนางครึ่งหนึ่งเหมือนกัน

หลังจากทำสีหน้ากลัดกลุ้มได้สักพัก หยางชิ่งก็เอาแต่ส่ายหน้า มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีความหมายแล้ว นางกำลังจะแต่งงานกับเหมียวอี้ ให้ไปถามซักไซ้เหมียวอี้อีกจะมีความหมายอะไร? จึงถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าเฟิงฮูหยินมาด้วยเจตนาอะไร คงไม่ได้คิดจะมาร่วมงานแต่งงานของเวยเวยหรอกใช่มั้ย ด้วยฐานะของเจ้า ทำแบบนี้เหมือนจะไม่เหมาะสมกระมั้ง?”

ฉินซีแสยะยิ้ม “ข้าแค่อยากจะมาถามสักหน่อย ถึงอย่างไรเวยเวยก็เป็นลูกสาวเจ้า เจ้าทำใจเห็นลูกสาวตัวเองไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้อย่างไร ผู้ชายดีๆ ในโลกนี้ตายไปหมดแล้วรึไง”

หยางชิ่งตอบเสียงเรียบว่า “เวยเวยจะแต่งงานกับใคร เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ? ถ้าเจ้าหวังดีกับนางจริงๆ ข้าแนะนำว่าให้เจ้ามาเงียบๆ แล้วกลับไปเงียบๆ อย่าทำให้เวยเวยหนักใจโดยไม่จำเป็น!”

ฉินซีกัดริมฝีปาก แล้วพยักหน้าบอกว่า “ข้าเข้าใจแล้ว นักพรตเล็กๆ คนหนึ่งสามารถไต้เต้าเป็นผู้การใหญ่ได้ด้วยเวลาสั้นๆ สองพันปี ช่างเป็นคนที่สามารถทำในเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ เพื่อที่จะขึ้นสู่ตำแหน่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะขายลูกสาวตัวเองทิ้งอย่างไม่เสียดาย ใช้ฐานะของลูกสาวแลกเกียรติยศความร่ำรวยให้ตัวเอง เจ้านี่ใช้ได้จริงๆ!”

ชิงเหมย ชิงจวี๋แอบร้องในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว คำพูดพวกนี้สามารถยั่วโมโหนายท่านได้แน่นอน ชิงเหมยรีบบอกว่า “ฮูหยิน ไม่ใช่อย่างนี้เจ้าค่ะ นายท่านพยายามขัดขวางอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่คุณหนูไม่สนใจและต่อต้านนายท่าน…”

“หุบปาก! ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับนางทั้งนั้น!” หยางชิ่งโบกมือ ทำสีหน้าเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ถามเหน็บแหนมกลับว่า “เฟิงฮูหยิน ใครก็มีสิทธิ์พูดแบบนี้ได้ แต่มีเจ้าคนเดียวที่ไม่มีสิทธิ์! เจ้าจำได้รึเปล่าว่าหลังจากเจ้าให้กำเนิดเวยเวยแล้ว ตอนที่ตั้งชื่อให้เวยเวย เจ้าพูดว่าอะไร?”

ฉินซีเงียบไป หยางชิ่งจึงยิ้มเย้ย แล้วบอกว่า “เกรงว่าคงจะลืมแล้ว? ข้าจะเตือนเจ้าสักหน่อย เจ้าบอกว่า จอกแหนสายน้ำต่างที่มา เล็กน้อยกว่าต้นหญ้า เจ้าบอกว่าเดิมทีนางไม่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้ ถึงได้ตั้งชื่อให้นางว่าฉินเวยเวย[1] หึหึ ไม่น่าเชื่อว่าในสายตาเจ้า นางจะเล็กน้อยกว่าต้นหญ้า… สามเดือนหลังจากนั้น เจ้าก็จากไปโดยไม่บอกลา เคยแสดงความรับผิดชอบต่อลูกสาวสักนิดหรือเปล่า เจ้ามีสิทธิ์มาพูดแบบนี้กับข้าเหรอ? ลูกสาวคนนี้ข้าเลี้ยงมาเองกับมือ!”

ฉินซีเหน็บแหนมกลับว่า “ใช่ เจ้าได้ทำหน้าที่พ่อสุดความสามารถแล้ว หลอกนางว่านางเป็นเด็กกำพร้าที่เก็บมาจากข้างทาง จากนั้นเจ้าก็เลี้ยงนางจนเติบใหญ่อย่างซื่อสัตย์จงรักภักดี แล้วก็ให้นางไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นอย่างสบายใจ เพื่อให้เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น”

หยางชิ่งเดือดดาลทันที ชี้มาที่นางแล้วตะคอกว่า “ที่ข้าไม่บอกนางว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของนางเป็นใคร ก็เพื่อปกป้องนาง ที่สำคัญที่สุดคือไม่อยากให้นางรู้ ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับคนอื่นถึงได้ให้กำเนิดนางออกมา ให้เป็นเด็กกำพร้าก็ยังดีกว่าให้นางแบกคำว่า ‘ลูกนอกคอก’ ไปทั้งชีวิต เจ้าคิดว่าข้าอยากให้นางเป็นเด็กกำพร้าเหรอ!”

ฉินซีหน้าซีดทันที คำว่า ‘ลูกนอกคอก’ ทำให้นางเหมือนโดนโจมตีเป็นสองเท่าจริงๆ

หยางชิ่งหันหลังให้ แล้วโบกมือบอกว่า “เฟิงฮูหยิน ข้าแนะนำว่าให้เจ้ารีบออกไปให้เร็วที่สุด ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า ถ้าทำให้หยางชิ่งรำคาญ หยางชิ่งแค่ถ่ายทอดคำสั่งลงไปคำเดียว เกรงว่ะเจ้าจะหนีไม่พ้นแล้ว ต่อให้ข้าจับตัวเจ้าไว้ เจ้าก็ไม่กล้าจะเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นอยู่ดี”

“ให้ข้าพบเวยเวยสักครั้ง ข้ามีของจะให้นางนิดหน่อย!” ฉินซีกล่าว

หยางชิ่งไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ต้องแล้ว! เจ้าไม่ต้องมาเกี่ยวพันอะไรกับเวยเวยทั้งนั้น ข้าแนะนำว่าต่อไปนี้เจ้าอย่ามาเจอนางอีก นางรับความรักจากเจ้าไม่ไหวหรอก ถ้าเจ้ายังมีมโนธรรมอยู่บ้าง ก็ให้นางแต่งงานไปอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ต่อให้เป็นอนุภรรยาก็ให้เป็นอย่างมีความสุข อย่าให้ฝ่ายสามีดูถูกนาง เส้นทางของนางต่อจากนี้ ข้าจะทุ่มเทช่วยเหลือเต็มที่ ไม่ต้องให้เจ้ามากังวล! เฟิงฮูหยิน ถ้าเจ้ายังไม่ไปอีก เชื่อมั้ยว่าข้าจะจับตัวเจ้าไว้ให้เฟิงเป่ยเฉินมารับเอง เหมียวอี้ไม่ปรานีเจ้าแน่!”

บอกไม่ถูกว่าฉินซีทำสีหน้าอย่างไร มีทั้งอารมณ์ผิดหวัง เศร้าโศก โกรธแค้นเสียใจรวมกัน นางค่อยๆ หยิบหมวกงอบห้อยผ้าคลุมขึ้นมาใส่ใหม่ สุดท้ายก็วางกำไลเก็บสมบัติไว้บนโต๊ะข้างๆ “นี่คือของขวัญเล็กน้อย คิดเสียว่าเป็นสินเดิมของเจ้าสาว”

หยางชิ่งโบกมือ “ไม่ต้อง! สินเดิมเจ้าสาวของนาง เจ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมให้ เอากลับไป!”

ฉินซีกลับไม่ได้นำไปด้วย ทิ้งกำไลเก็บสมบัติไว้อย่างนั้น แล้วหันตัวเร่งฝีเท้าเดินออกไป ชิงจวี๋รีบเดินตามไปส่ง

หยางชิ่งหันตัวมาหยิบกำไลเก็บสมบัติวงนั้น กำลังคิดจะโยนทิ้ง ทว่าพอยกมือขึ้น สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเกินไป เขาหลับตาลงสองข้าง ปั้ง! ตบกำไลเก็บสมบัติวางกลับไปบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าถอนหายใจยาว!

…………………………

[1] 微微 เวยเวย แปลว่าเล็กน้อย ไม่สำคัญ