องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 330 ได้ผลดีทั้งสองฝ่าย
“กงกง ช่วงนี้ฝ่าบาทประทับอยู่ที่ไหนหรือ” การที่ฮองเฮาถูกวางยาพิษเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง เพียงแต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจว่าฮองเฮาถูกวางยาพิษได้อย่างไร
สวีกงกงมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ประทับอยู่กับหวงกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”
“พระสนมเซียว?” ภายในวังนี้มีสตรีไม่มากนัก ซึ่งก็คือหวงกุ้ยเฟยเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ!” ดูเหมือนสวีกงกงจะตระหนักถึงอะไรบางอย่างและมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างลำบากใจ
“เช่นนั้นที่ฝ่าบาทออกมาตอนกลางดึก พระสนมเอกรู้หรือไม่”
“รู้พ่ะย่ะค่ะ ช่วงหลังมานี้พระสนมเอกก็ทรงไร้เรี่ยวแรง ทุกๆ คืนพระนางจะกลัวว่าคนจะรู้เรื่องนี้ จึงลั่นดาลประตูเอาไว้ พร้อมกันนั้นก็ให้บ่าวเตรียมยา รอจนถึงตอนที่นางกำนัลจะเข้านอนแล้วจึงให้ทุกคนกิน หลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนรู้
ทว่าถึงจะทำเช่นนี้แต่พระสนมเอกก็ยังทรงกังวลมาก
ทหารองครักษ์จำเป็นต้องลาดตระเวน ดังนั้นทุกวันพระสนมเอกจึงทรงนอนไม่หลับและคอยเฝ้ามองฝ่าบาทเกือบทั้งคืน
เมื่อคืนไม่รู้ว่าฝ่าบาทเป็นอย่างไร ทรงดูราวกับเป็นภูตผีปีศาจ พระองค์จะเสด็จออกไปจากตำหนักจิ่นซิ่ว พระสนมเอกพยายามจะห้าม แต่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ
พระสนมเอกไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้และรอคอยพระชายาเย่อยู่ตลอด”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ นางหันไปมองหนานกงเย่
“ในเมื่อหวงกุ้ยเฟยคิดถึงอวิ๋นอวิ๋น เช่นนั้นข้าจะคอยดูอยู่เป็นเพื่อนสักประเดี๋ยว”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้ารับขณะที่หนานกงเย่พูด “เช่นนั้นควรไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือว่าไปเข้าเฝ้าพระสนมเอกก่อนเพคะ”
“เข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน”
หนานกงเย่ก้าวเดินพลางขมวดคิ้ว หน้าตาดูแย่เหมือนอะไรสักอย่าง เมื่อเขามาในวัง ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกไม่ค่อยดี นางไม่ชอบการเข้าวัง เมื่อนึกถึงคนที่ต้องเผชิญหน้าและการที่ต้องคุกเข่านางก็รู้สึกกดดันขึ้นมา ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูไม่ดีนักของหนานกงเย่ นางก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก
สวีกงกงรีบตรงไปข้างหน้าและนำทั้งสองไปยังพระตำหนัก
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองอีกาตัวเล็กตัวหนึ่ง อีกาตัวนั้นบินไปเกาะอยู่ที่กระเบื้องบนหลังคาพลางยืนรอพวกเขา
เมื่อไปถึงพระตำหนักบำรุงฤทัย สวีกงกงจึงเข้าไปทูลรายงาน จากนั้นจักรพรรดิอวี้ตี้จึงรับสั่งให้พวกเขารีบเข้าไปหา
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
หลังจากทั้งสองถวายความเคารพ จักรพรรดิอวี้ตี้จึงกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด”
เวลานี้สวีกงกงถอยออกไปแล้ว เมื่อประตูพระตำหนักปิดลง หนานกงเย่จึงก้าวขึ้นบันไดไป ซึ่งนั่นทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ นี่มันจะผิดจารีตเกินไปแล้ว
ถึงอย่างไรจักรพรรดิอวี้ตี้ก็เป็นจักรพรรดิ แม้จะร้อนใจมากแค่ไหนก็ไม่ควรขึ้นไปเช่นนี้
ทว่าหนานกงเย่ขึ้นไปถึงข้างบนแล้ว และจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ไม่ได้ทรงคิดเล็กคิดน้อย พระองค์เงยหน้ามองหนานกงเย่ “กลับมาแล้วหรือ”
หนานกงเย่ถามว่า “เหตุใดสีหน้าพระองค์จึงดูแย่เช่นนี้”
“ช่วงหลังมานี้ไม่มีแรงกำลังเลย เมื่อวานไปนอนที่ราชสำนัก แล้วตอนค่ำก็ทำร้ายพระสนมเอกเซียว” จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ด้านล่าง “ขึ้นมาสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าเหมือนหนานกงเย่ ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อนนางก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามและไม่อยากจะเชื่อคำพูดอันหลอกลวงของจักรพรรดิอวี้ตี้อีก
“เพคะ ฝ่าบาท”
ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปและมองจักรพรรดิอวี้ตี้ พระองค์หันข้างอยู่ตลอด ฉีเฟยอวิ๋นจึงมองพระพักตร์ของพระองค์ไม่ชัด แต่ทันทีที่เข้าไปใกล้จนเห็นสีหน้าชัดๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นว่าพิษแล่นเข้าสู่หัวใจพระองค์แล้ว และก็เข้มข้นมากด้วย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอตรวจนะเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบบอก จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า จากนั้นหนานกงเย่จึงหาที่นั่งมาให้ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงตรวจข้อพระกรของจักรพรรดิอวี้ตี้ จากนั้นจึงเริ่มการตรวจภายใน
“พิษเข้มข้นเกินไป”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก นางละมือและมองจักรพรรดิอวี้ตี้เช่นนั้น
จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสว่า “พระสนมเอกเซียวถูกข้าทำให้บาดเจ็บ”
“อีกครู่หม่อมฉันจะตรวจให้ ฝ่าบาทโปรดดื่มเลือดหม่อมฉันสักนิดก่อนเพคะ บางทีอาจจะมีประโยชน์ ก่อนที่ไป๋ซู่ซู่จะเสียชีวิต นางได้ให้ยาแก้พิษเข้าไปในร่างกายของหม่อมฉัน ซึ่งล้างพิษได้ หม่อมฉันทำได้แค่ลองดู หวังว่าจะช่วยได้”
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบกริชขึ้นมา ทันทีที่ปาดลงไปเลือดก็ไหลออกมา ซึ่งนี่เป็นการกระทำที่ไม่มีใครคาดคิด
หนานกงเย่สีหน้าอึมครึม
เขารู้สึกสงสารแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นส่งเลือดไปที่พระโอษฐ์จักรพรรดิอวี้ตี้ แต่พระองค์ไม่เปิดพระโอษฐ์ “พันแผลเสีย เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ไม่ใช่ตัวคนเดียว ข้าทำร้ายจำไม่ได้”
เลือดไหลลงมาและตกลงไปบนพื้น ฉีเฟยอวิ๋นร้อนใจเพราะเกรงกว่าจะเสียเปล่า
นางบีบพระโอษฐ์ของจักรพรรดิอวี้ตี้และขยับข้อมือเข้าไปใกล้
เดิมที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นกับจักรพรรดิอวี้ตี้หรือหนานกงเย่ก็ตาม แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น
จักรพรรดิอวี้ตี้ลืมพระเนตรขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋นในขณะที่มีเลือดไหลออกมาจากมุมพระโอษฐ์ของพระองค์ พระองค์สูดลมหายใจและจับมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ก่อนจะออกแรงดูดเลือดของนาง
หนานกงเย่ค่อยๆ หันกลับไปมองสีพระพักตร์ของจักรพรรดิอวี้ตี้ สีพระพักตร์ของพระองค์ค่อยๆ ดีขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นโน้มตัวลงจับข้อพระหัตถ์ของจักรพรรดิอวี้ตี้ จากนั้นจึงเริ่มตรวจดูร่างกาย ในที่สุดก็พบว่าพิษเหล่านั้นกำลังถูกดูดกลืนหายไปอย่างไร้ความปรานี และพระวรกายของจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ค่อยๆ ดีขึ้น
“พอได้แล้ว!”
ยังไม่ทันที่จักรพรรดิอวี้ตี้และฉีเฟยอวิ๋นจะพูดอะไร หนานกงเย่ก็โมโหขึ้นมาอย่างฉับพลันและยื่นมือมาดึงฉีเฟยอวิ๋นออกไป จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงนั่งงุนงงอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งโดยไม่ตอบสนองใดๆ ราวกับคนสติไม่อยู่กับตัว
หนานกงเย่หยิบผ้าเช็ดหน้ามาพันไว้รอบข้อมือของฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งบาดแผลบนนั้นหายสนิทอย่างรวดเร็ว
หลังจากพันแผลเรียบร้อย หนานกงเย่จึงหันไปมองจักรพรรดิอวี้ตี้อย่างเหยียดหยาม “หากฝ่าบาทยังดึงดันต่อก็คงจะเป็นอมตะแล้วล่ะ!”
“เฮ้อ…”
จักรพรรดิอวี้ตี้แย้มสรวลอย่างช่วยไม่ได้ แต่พระองค์รู้สึกดีขึ้นมาก
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงขมวดพระขนงและตรัสว่า “บางทีไป๋ซู่ซู่อาจจะพูดถูกว่าทารกในครรภ์ของเจ้ามีหลายคน”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก พระองค์จะพูดแบบนี้ทำไม?
จักรพรรดิอวี้ตี้มองหนานกงเย่ “ลงไปเถิด ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
หนานกงเย่เตรียมจะจูงฉีเฟยอวิ๋นลงไป แต่จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสขึ้นมาว่า “รอก่อน”
เมื่อทั้งสองคนหยุด จักรพรรดิอวี้ตี้จึงตรัสว่า “ข้าจะไปด้วย ไม่รู้ว่าพระสนมเอกเซียวเป็นอย่างไรบ้าง จะได้ถือโอกาสคุยเรื่องตระกูลเฉินด้วย”
หนานกงเย่ถามว่า “ช่วงนี้ฮองเฮาอยู่ที่ไหน”
“อยู่กับเสด็จแม่”
จักรพรรดิอวี้ตี้ก้าวลงบันไดโดยมีหนานกงเย่เดินตามไป ทว่าฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้
ในเมื่อฮองเฮาอยู่กับพระพันปีแล้วจะวางยาพิษได้อย่างไรกัน?
ทั้งสามออกมาจากพระตำหนักบำรุงฤทัยโดยมีจักรพรรดิอวี้ตี้เสด็จอยู่ด้านหน้า สวีกงกงรีบตะโกนให้คนเตรียมขบวนเดินทาง แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกเพื่อไปที่ไหน ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปทางตำหนักจิ่นซิ่ว สวีกงกงจึงรีบตะโกนว่า “ฝ่าบาทเสด็จพระตำหนักจิ่นซิ่ว”
จักรพรรดิอวี้ตี้เสด็จไปยังพระตำหนักจิ่นซิ่วโดยมีขบวนนางกำนัลติดตามไปด้วย หนานกงเย่อยู่ข้างๆ พระองค์และเดินตามไปอย่างเบื่อหน่าย
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินจักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสว่า “ตระกูลเฉินมีกำหนดจะถูกประหารพรุ่งนี้เพราะความชั่ว อ๋องตวนเกิดป่วยหนักเสียก่อนจึงมาคุมการประหารไม่ได้ เจ้าไปสิ”
“กระหม่อมยังมีเรื่องต้องทำ ขอฝ่าบาทโปรดทรงยกเลิกกระแสรับสั่ง” หนานกงเย่กล่าวอย่างมั่นใจ
“ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีก” จักรพรรดิอวี้ตี้มีสีพระพักตร์เย็นชาและก้าวเดินไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เหล่านางกำนัลต่างต้องตามองค์จักรพรรดิไป ยังผลให้ขบวนใหญ่ทิ้งห่างออกไป เหลือเพียงฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ยืนอยู่ที่เบื้องหลังแค่สองคน
สองสามีภรรยาหันมาสบตากัน ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาหนานกงเย่ “เชิญท่านอ๋องเพคะ”
หนานกงเย่จูงมือฉีเฟยอวิ๋นและเดินไปยังพระตำหนักจิ่นซิ่ว
“ท่านอ๋อง ตอนนี้สบายแล้วนะเพคะ ปกป้องท่านอ๋องตวนสำเร็จแล้ว ทั้งยังทำให้ฝ่าบาทฮึกเหิมดุจมังกรดุจพยัคฆ์ด้วย” ฉีเฟยอวิ๋นกระซิบหยอกล้อ
หนานกงเย่หลุบตามอง “ข้าต้องขอบคุณอวิ๋นอวิ๋นจริงๆ ไว้กลับไปข้าจะประเคนอาหารให้เต็มอิ่มเลยทีเดียว”
“…ท่านอ๋องอย่าได้พูดเรื่องอาหารอะไรนั่นเลย” ฉีเฟยอวิ๋นหันหน้าหนีและหน้าแดงเล็กน้อย ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!
ทั้งสองคนมาถึงหน้าตำหนักจิ่นซิ่วซึ่งมีสวีกงกงยืนอยู่ สวีกงกงสะบัดพู่หางม้าและตะโกนบอกว่าอ๋องเย่และพระชายาเย่มาถึงแล้ว
ทั้งสองคนเข้าไปและคุกเข่าลง จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงไปยังตำหนักกลางของพระตำหนักจิ่นซิ่ว
จักรพรรดิอวี้ตี้ประทับนั่งอยู่ด้านนอก เมื่อทอดพระเนตรเห็นทั้งสองคนพระองค์จึงเรียกหนานกงเย่
หนานกงเย่ปล่อยมือฉีเฟยอวิ๋นและบอกให้นางระวังตัวให้มากกว่าเดิม จากนั้นจึงให้ฉีเฟยอวิ๋นตามสวีกงกงเข้าไปข้างในพระตำหนักจิ่นซิ่ว
อ่านคอมเม้นหนึ่งบอกว่ากลัวจะหยุดอัพ ขอแจ้งก่อนว่าเรื่องนี้อัพจนจบนะคะ