ตอนที่ 362 เหตุใดเจ้าถึงมิอยากสืบบัลลังก์ ?

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 362 เหตุใดเจ้าถึงมิอยากสืบบัลลังก์ ?

หญิงชราผู้นั้นดูสะอาดสะอ้าน

นางสวมชุดผ้าปอสีขาวล้วน ผมหงอกขาวของนางนั้นถูกจัดทรงอย่างเป็นระเบียบและได้มวยผมบันไว้ด้านหลังของศีรษะซึ่งประดับด้วยปิ่นปักผมสีเงิน นอกเหนือจากนั้นนางก็ไร้ซึ่งเครื่องประดับอื่นใดอีก ช่างดูเรียบง่ายแต่ก็มิได้ดูปล่อยปละละเลยแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกช่ำชองต่อโลกแต่ก็สบายตาแก่ผู้พบเห็นอยู่ทันที

แม้ว่าบนใบหน้าของนางจะมีรอยเหี่ยวย่นมากมาย แต่แก้มนั้นกลับดูชมพูระเรื่อและดูสุขภาพดียิ่ง สิ่งที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าหญิงชราผู้นี้ช่างมิเหมือนใครคือแววตาคู่นั้นของนาง ที่ดูราวกับมีอำนาจบางอย่างแต่บางคราก็ดูเหมือนมิมีอันใด และรัศมีของนางที่กำลังนั่งหลังตั้งตรงอยู่นั้นดูองอาจยิ่ง

ราวกับว่านางจะเป็นผู้อาวุโสประจำตระกูลใหญ่สักตระกูลของเมืองกวนหยุน

ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปในศาลาแล้วคำนับต่อหญิงชราท่านนี้ “ข้าน้อยนามว่าฟู่เสี่ยวกวน ขอคารวะท่านผู้อาวุโส”

หญิงชราท่านนี้ได้จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนนับตั้งเเต่ก้าวแรกที่เขาได้เข้ามาเหยียบในศาลา ใบหน้าของนางแสดงความเคร่งขรึมเล็กน้อย นางได้กระพริบตาคู่นั้น เหมือนมันจะทำให้นางมองเห็นฟู่เสี่ยวกวนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ยืนอยู่ด้านหน้าของหญิงชรา นางได้เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน สายตานิ่งเรียบไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ

“นั่งลงเถิด”

“ขอบคุณขอรับ ! ”

ซูซูหันมองซ้ายมองขวา หญิงชราผู้นี้มิได้เอ่ยเรียกนาง นางจึงลอบกลอกตาแล้วจึงเลือกนั่งลงข้างฟู่เสี่ยวกวน

หญิงสาวที่นำฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปที่ศาลานั้น ได้เอากาน้ำทองแดงเดินไปที่ด้านล่างของริมผา ที่แห่งนั้นได้มีหินสีน้ำเงินที่มารวมตัวกันจนกลายเป็นลักษณะคล้ายกับปากถ้วยขนาดใหญ่ และมีน้ำพุหยดมิขาดสาย

“ได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันแรกของงานชุมนุมวรรณกรรม เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวน เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ได้เล่า ? ”

“ท่านผู้อาวุโสข้าน้อยได้ต่อซั่งเหลียนทั้งสองบทนั้นเสร็จแล้ว เห็นว่าไร้ธุระอื่นใดจึงได้ปลีกตัวกลับมาเสียก่อน”

“อ่า…” หญิงชราพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หนานกงตงเซวี๋ยหิ้วกาน้ำชากลับมาที่ศาลาแล้วนำกาน้ำขึ้นตั้งบนเตาไฟ หญิงชรายังคงจ้องมองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน แล้วจึงเอ่ยถาม “ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองจินหลิงนานาบุปผาบานสะพรั่ง ผู้มีปัญญาเกลื่อนล้นแผ่นดิน เป็นศูนย์รวมของเหล่าหนอนหนังสือ ด้วยชื่อเสียงของคุณชายฟู่แล้วการคว้าชัยชนะในงานแข่งขันครานี้คงง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก”

ฟู่เสียวกวนส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านผู้อาวุโสกล่าวสรรเสริญข้าน้อยเกินไปแล้ว ด้านการประพันธ์ไร้ซึ่งผู้ใดเป็นหนึ่งตั้งแต่โบราณกาล แม้ว่าข้าน้อยจะเป็นผู้ที่มีนามเลื่องลือแต่ก็มิกล้าเอ่ยได้เต็มปากว่าข้าน้อยเก่งกาจมิเป็นสองรองใคร เมืองจินหลิงและเมืองกวนหยุนต่างมีจุดดีจุดด้อยเป็นของตนเอง แม้ว่าบัดนี้จะเป็นยุครุ่งเรืองด้านการประพันธ์ของเมืองจินหลิง แต่ทว่าบัดนี้ด้านการประพันธ์ของเมืองกวนหยุนก็กำลังอยู่ในช่วงกำลังก่อตัวเช่นกัน งานประพันธ์ของจินหลิงล้วนแต่ได้รับอิทธิพลจากคำสอนของขงจื้อ ซึ่งย่อมมีทั้งด้านดีและด้านเสียในตัวของมันเอง”

เมื่อหญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการตื่นเต้น “อ่า…ลองกล่าวให้ข้าฟังได้หรือไม่ ? ”

“แนวคิดของขงจื้อนั้นมีมานานนับพันปี สืบสานกันมาอย่างยาวนานและฝังรากลึกลงไปในสังคม ทว่าหากมองในอีกแง่มุมหนึ่งก็เปรียบดั่งพันธนาการ ที่ทำให้มีงานประพันธ์แพร่หลาย แต่ก็ทำให้ราชวงศ์หยูมีโซ่ตรวนพันรอบและยากที่จะก้าวออกไปข้างหน้าสู่ความหลากหลายที่มากกว่า”

หนานกงตงเซวี๋ยเงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนในทันใด จากนั้นก็หยิบดอกแพร์จากกระบอกไม้ไผ่ใส่ลงไปในกาต้มชา

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยวาจาด้วยความหนักแน่นท่วมท้น “จะทลายโซ่พันธนาการนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก แต่ทว่าราชวงศ์อู๋นั้นมิได้ประสบกับปัญหาเฉกเช่นเดียวกัน แม้ว่าแนวคิดของขงจื๊อจะเข้าสู่ราชวงศ์อู๋มาช้านาน แต่ก็เพิ่งได้รับการผลักดันอย่างเป็นจริงเป็นจังด้วยน้ำมือของท่านเหวินสิงโจว ทุกวันนี้เยาว์ชนแห่งราชวงศ์อู๋แม้จะได้ร่ำเรียนแนวคิดของขงจื้อมาเช่นกัน แต่พวกเขามิได้นับถือเสียจนหน้ามืดตามัว ด้วยเหตุนี้ด้านงานประพันธ์จึงมิได้มีโซ่ตรวนพันธนาการเอาไว้ พวกเขามองพื้นฐานแนวคิดของขงจื้อด้วยสายตาที่ลึกยิ่งกว่า อนาคตของพวกเขาช่างหน้าจับตามองยิ่ง มิเหมือนกับราชวงศ์หยูที่เต็มไปด้วยขวากหนามหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้า ! ”

หญิงชรายิ้ม “แต่เจ้าเป็นคนของราชวงศ์หยู”

“นี่เป็นเพียงมุมมองของข้าเท่านั้นขอรับ ในส่วนที่ว่าข้าเป็นคนที่ไหนนั้นมิสำคัญหรอกขอรับ”

“สิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อถึงก็คือในอนาคตราชวงศ์อู๋จะมีความหวังมากว่าราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ข้อนี้ยากนักที่จะคาดเดาได้อย่างแม่นยำขอรับ”

“เพราะเหตุใดกัน ? ”

“เพราะแนวคิดของขงจื้อนั้นคือสิ่งตายตัว และหากผู้คนยังมีชีวิตอยู่ แนวคิดนี้ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ เครื่องมือนี้ต้องดูว่าจะถูกใช้เยี่ยงไรจึงจะเหมาะสม”

แววตาของหญิงชราเป็นประกายวาวขึ้นมา นางได้หักเหสายตาแล้วจมดิ่งลงในความเงียบได้เพียงอึดใจแล้วจึงเอ่ยถามต่อว่า “ในใจข้ามีปัญหาหนึ่งที่ยากจะหาทางออก อาจจะเป็นเพราะข้าตกอยู่ในความลังเล ข้าจะเอ่ยให้เจ้าฟังเสียหน่อย ถือเสียว่าช่วยรับฟังข้าก็แล้วกัน หากเจ้าสามารถคลายปมปัญหาให้กับข้าได้ก็ยิ่งดี”

หนานกงตงเซวี๋ยเงยหน้าขึ้นมามองหญิงชราอีกครา นางลอบคิดในใจว่านางควรจะปลีกตัวหนีไปสักพักดีหรือไม่

“ข้าขอเอ่ยตามตรง ตัวข้านั้นมาจากตระกูลใหญ่ แต่มีบุตรชายเพียงคนเดียว บุตรชายของข้าตอนที่อายุเท่าเจ้านั้นกระทำตนเสเพล ก่อเรื่องโง่เขลาไว้เสียมากมายแต่ทว่าเมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นมาก็พอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย” อยู่ ๆ หญิงชราก็เงยหน้าขึ้นมาถามฟู่เสี่ยวกวน “ข้าได้ยินมาว่าแต่ก่อนเจ้าก็กระทำตนเสเพลเช่นกันใช่หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนกุมจมูกทำท่าครุ่นคิด นี่มันเอ่ยเสียดสีกันชัด ๆ เลยนี่ !

“ขอเอ่ยต่อท่านผู้อาวุโสตามตามตรง เมื่อคราที่ข้าน้อยยังเยาว์ข้าน้อยนั้นมิได้เรื่องอันใดมากมายนัก”

“อ่า…บุตรชายของข้าก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ”

“บุตรชายของข้าได้เป็นใหญ่เป็นโตในวงศ์ตระกูล ปัญหาทุกอย่างภายในจวนเขาจัดการได้อย่างมิขาดตกบกพร่อง เขามีภรรยาเอก 1 คนและอนุอีก 1 คน ภรรยาเอกได้ให้กำเนิดบุตรชาย 1 คนและบุตรสาวอีก 1 คน ส่วนอนุนั้นได้ให้กำเนิดบุตรชาย 1 คน บัดนี้หลาน ๆ ทั้งหลายของข้าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทว่าปัญหาก็ได้เกิดขึ้น”

“ทรัพย์สินแห่งวงศ์ตระกูลมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ ตามธรรมเนียมนั้นควรตกเป็นของบุตรชายคนโต แต่บังเอิญบุตรชายคนโตนั้นดันเป็นพวกมิได้ความ ข้าจึงมองถึงแผนยกสมบัติทั้งหมดให้อยู่ในความดูแลของบุตรชายของอนุผู้นั้น แต่คาดมิถึงว่าฝั่งภรรยาเอกได้ทำร้ายเด็กคนนั้นจนถึงแก่ชีวิต”

“ชีวิตข้านั้นช่างโหดรายเสียยิ่งกว่าบทละครใน ทุกวันนี้ข้าใคร่ครวญมาตลอด หากเจ้าหลานคนโตจะสำนึกขึ้นมาได้เหมือนพ่อของเขาบ้าง ข้ามิได้ขอให้เขามีความสามารถเพิ่มพูนทรัพย์สินของวงศ์ตระกูลหรอก แต่ขอเพียงแค่มิทำให้สิ่งที่มีอยู่ได้หล่นหายไปก็เพียงพอ แต่เนื่องด้วยสิ่งที่ภรรยาเอกได้ทำลงไป ทำให้บุตรชายของข้าจงเกลียดจงชังบุตรชายคนโตของตนเองมากยิ่งนัก”

หญิงชราถอนหายใจ หนานกงตงเซวี๋ยนำชาที่ต้มเดือดรินใส่จอก 4 จอกแล้วส่งมอบให้กับผู้มาเยือน

“บุตรชายของข้านั้นเป็นผู้ที่ลุ่มหลงในความรัก เฉกเช่นบทประพันธ์นั้นที่เจ้าได้มอบแก่ภาพวาดของเหยียนหรูยวี่ เมื่อคราเป็นหนุ่มเขาได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ่งกับหญิงสาวผู้หนึ่ง แต่เนื่องด้วยสารพัดปัญหาเป็นเหตุให้พวกเขามิอาจอยู่ด้วยกันได้ เดิมทีข้ามิได้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด แต่ในยามคับขันเช่นนี้ข้าได้ยินมาว่าบุตรชายของข้าเอ่ยว่าเขามีลูกนอกสมรสอีก 1 คน”

หญิงชราได้หันไปสบตาฟู่เสี่ยวกวน “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเองก็เป็นลูกนอกสมรสของฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน เรื่องราวของพวกเรานั้นช่างละไม้คล้ายคลึงกันยิ่ง บุตรชายของข้าอยากจะนำบุตรชายนอกสมรสของตนนั้นมาเคารพบรรพบุรุษและกลับคืนแก่วงศ์ตระกูล เหตุผลและการกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นที่โจ่งแจ้งว่าเขาต้องการยกกองมรดกให้กับบุตรชายนอกสมรสผู้นี้ สิ่งที่ข้าอยากจะถามเจ้าก็คือ หากสมมุติหากฝ่าบาททรงยกบัลลังก์ให้แก่เจ้า เจ้าจักสืบบัลลังก์ต่อจากเขาหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเสียจนแทบสะดุ้ง แล้วหญิงชราผู้นั้นจึงได้เอ่ยเสริมอีกว่า “ที่ข้าเอ่ยถามนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องสมมุติ แค่เพียงเรื่องของเจ้าคล้ายคลึงกับสิ่งที่ข้ากำลังเผชิญอยู่มากยิ่งนัก”

“ท่านผู้อาวุโส หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยคงมิอาจสืบบัลลังก์ต่อได้”

หญิงชราขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเอ่ยถาม “เจ้าจะกลายเป็นดั่งเทพเจ้าในชั่วพริบตา เหตุใดเจ้าถึงมิอยากสืบบัลลังก์กัน ? ”