เสียงของเขาเบาหวิว แต่มันก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นที่เขามีให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาค่อยๆ พูดออกมาทีละคำอย่างอ่อนโยน “รุ่ยรุ่ย…เจ้าโทษพี่ห้าของเจ้าหรือเปล่า? ตอนแรกเป็นข้าเองที่หลอกลวงเจ้ามาตลอด หลอกให้เจ้าติดตามข้ามาเส้นทางนี้ เส้นทางตันที่มันไม่มีหนทางให้ถอยกลับ ข้าเอาแต่พูดตัดพ้อใส่ร้ายป้ายสีว่าฉู่เป้ยเห็นแก่ตัวจิตใจอำมหิต แต่ที่จริงหากต้องพูด ข้าเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเขาเท่าไรหรอก เจ้าควรจะได้มีชีวิตอย่างสุขสบายแท้ๆ แต่ข้ากลับเป็นคนมอบความตายให้เจ้าด้วยตัวของข้าเอง”
“ไม่เจ้าค่ะ! ไม่ใช่นะเจ้าคะ พี่ห้าอย่าพูดแบบนี้สิเจ้าคะ!” ฉู่ซินรุ่ยร้องไห้ยิ่งกว่าเก่า นางยกมือขึ้นไปเช็ดน้ำตาพลางสะอึกสะอื้นพูดว่า “เป็นเพราะข้าดื้อรั้นเกินไปต่างหากล่ะเจ้าคะ เป็นเพราะข้าแย่เอง ข้าไม่ควรตัดสินใจเองไปโดยพลการ หากข้าไม่ได้ตัดสินใจผิด พี่ห้าก็คงไม่ต้องก่อเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ ก็คงไม่ต้องมาเสี่ยงตายเช่นนี้ พี่ข้า ท่านตบตีข้าเลย ต่อว่าข้าเลย ข้ารู้ตัวดีว่าข้าเป็นคนทำให้พี่เจ็บ!”
ที่จริงฉู่ซินรุ่ยก็ติดตามเขามาตั้งแต่ตอนแรกที่ฉู่อี้เจี่ยนกุมอำนาจของจวนอ๋องรุ่นชินไว้ตอนนั้นแล้ว ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ทำลงไปอย่างไม่ทันได้คิดจริงๆ
แต่นางสัมผัสความรักที่เขามอบให้ได้จริงๆ จากนั้นความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคารพรักเชื่อมั่นในตัวผู้เป็นพี่คนนี้
ตลอดเส้นทางเดินที่ผ่านมา พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาตลอด มองว่าอีกฝ่ายเป็นครอบครัวที่เกี่ยวพันทางสายเลือดจริงๆ
ฉู่ซินรุ่ยร้องไห้อย่างเจ็บปวดทรมาน
ฉู่อี้เจี่ยนได้ยินแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
“หยุดร้องได้แล้ว เดี๋ยวอีกไม่นานพวกเขาก็จะไล่ตามมาถึงที่นี่ เจ้ารีบหนีไปเถอะ อย่าให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าอยู่กับข้าเด็ดขาด!” ฉู่อี้เจี่ยนยิ้มขมขื่นออกมา
“ไม่เจ้าค่ะ!” ฉู่ซินรุ่ยส่ายหัว
ถึงแม้พระราชวังจะใหญ่โตกว้างขวาง จะซ่อนคนคนหนึ่งไว้มันก็เป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าหากฮ่องเต้ต้องการจะไล่ล่าตามหาใครสักคน ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน
“ถือโอกาสตอนที่พวกเขายังไม่มา พวกเรารีบหนีไปกันเถอะเจ้าค่ะ!” นางเช็ดน้ำตาแล้วพูดขึ้น จากนั้นก็เข้าไปช่วยประคองให้ฉู่อี้เจี่ยนลุกขึ้นมา
ถึงแม้ร่างกายของฉู่อี้เจี่ยนจะผอมบาง แต่อย่างไรแล้วเขาก็ยังสูงโปร่ง
คนที่ได้รับการประคบประหงมอย่างนางจะแบกเขาไหวงั้นหรือ?
ฉู่ซินรุ่ยพยายามหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายก็ทำได้แค่ช่วยพยุงอีกฝ่ายเดินไปได้เพียงสองก้าวก็ล้มลงอยู่ดี
เมื่อพยายามหลายครั้งเข้า ฉู่ซินรุ่ยก็ปวดเนื้อปวดตัวไปทั่วร่าง สิ้นหวังจนอยากจะตะโกนร้องไห้ออกมา
“รุ่ยรุ่ย เจ้าอย่าได้เปลืองแรงไปมากกว่านี้เลย!” ฉู่อี้เจี่ยนไม่แรงที่จะต่อล้อต่อเถียงกับนาง เลยพูดโน้มน้าวอีกฝ่ายเสียงเบา
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะปล่อยให้ท่านเป็นอะไรไปไม่ได้ ตลอดหลายปีมานี้เป็นเพราะท่านปกป้องข้า ข้าถึงได้มีชีวิตอยู่อย่างมั่นคงและสุขสบาย หากไม่มีท่านอยู่แล้วข้าจะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ?” ฉู่ซินรุ่ยพูดแล้วพยายามลุกขึ้นมาอีกครั้ง
เขาคุกเข่าลงไปแล้วยกสองมือที่ไร้เรี่ยวแรงของฉู่อี้เจี่ยนวางไว้บนไหล่ของตน จากนั้นก็กัดฟันออกแรงทั้งหมดที่มีค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
ฉู่อี้เจี่ยนทำได้แค่เพียงปล่อยให้นางพยายามไป
เขารู้นิสัยดื้อรั้นดึงดันของน้องสาวคนนี้มาตลอด
ครั้งนี้นางฮึดแรงเต็มที่ จนในที่สุดก็แบกเขาลอยขึ้นจากพื้นได้
แต่ส่วนสูงที่ต่างกันระหว่างนางกับฉู่อี้เจี่ยน ทั้งยังมีพละกำลังน้อย แทนที่จะพูดว่านางแบกเขาเอาไว้อยู่ แต่ที่จริงแล้วขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายยังห้อยลากพื้นอยู่ดี
ฉู่ซินรุ่ยเงียบไม่พูดอะไรอีก นางกัดฟันแล้วค่อยๆ เดินออกจากพุ่มไม้เข้าไปในตรอกด้านหลัง
นางเดินไปอย่างทรมาน
เวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงมากเหลือเกิน
แต่วินาทีนั้นสติสัมปชัญญะทั้งหมดที่มีมันได้มลายหายไปจนสิ้น นางไม่สนใจอะไรอีก ในหัวมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือต้องพาฉู่อี้เจี่ยนหลบหนีให้พ้นจากภยันตรายครั้งนี้ให้ได้ ไม่งั้น…
นางก็จะไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ
สภาพของฉู่อี้เจี่ยนตอนนี้มันก็ทำให้นางหวาดกลัวจนตัวสั่นไม่น้อย
ทว่านางกลับพยายามไม่ไปคิดถึงเรื่องน่าเศร้าโศกพวกนั้น นางแค่ดื้อดึงพยายามลากเขาค่อยๆ เดินหน้าออกไป
“รุ่ยรุ่ย เจ้าฟังที่ข้าบอกเถอะ!” ฉู่อี้เจี่ยนเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เขาพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว เขาอยากให้นางมีชีวิตอยู่รอด แต่เด็กคนนี้กลับดื้อรั้นไม่ยอมฟังที่เขาบอกสักนิด
ฉู่ซินรุ่ยกัดฟันไม่เอ่ยเสียงใด กลัวว่าถ้าปริปากพูดออกไปแล้วจะหมดแรงจนไม่สามารถยืนหยัดลุกขึ้นมาได้อีก
นางเดินไปอย่างช้าๆ
เพียงแค่ระยะทางไม่กี่ก้าว แต่นางก็ค่อยๆ ขยับเดินทีละนิดๆ ใช้เวลาไปถึงครึ่งถ้วยชา[1]เต็มๆ
เมื่อเลี้ยวออกมาจากตรอกเล็กๆ ตรงนั้นแล้ว ไม่ไกลจากตรงนั้นมีซุ้มประตูอยู่
นั่นเป็นทางเดินที่พวกข้ารับใช้ใช้เดินเข้าออกตำหนักที่บรรทมของฮ่องเต้ แต่ในเวลานี้ผู้คนต่างกระจัดกระจายไปหมดแล้ว ตรงนั้นจึงกลายเป็นทางออกไปโดยปริยาย
“พี่ห้า ท่านอดทนอีกนิดนะเจ้าคะ พอเราข้ามผ่านประตูนั้นไปก็จะถึงอุทยานหลวงแล้ว ตรงนั้นมีทางแยกมากมาย ถึงเวลานั้นเดี๋ยวข้าหาที่หลบซ่อนให้ท่านก่อน” ฉู่ซินรุ่ยพูด
คำพูดพวกนี้ หากจะบอกว่าพูดปลอบใจฉู่อี้เจี่ยน สู้บอกว่านางพูดเพื่อปลอบใจตัวเองเสียจะดีกว่า
ฝั่งตรงข้ามของซุ้มประตูอันนั้นก็คือพระราชวังที่กำลังลุกโชนด้วยเพลิงไหม้
สองพี่น้องเดินออกมาจากที่มืดอย่างสะบักสะบอม แสงไฟกระทบลงบนใบหน้า กลิ่นควันแสบจมูกก็ถาโถมเข้ามา จนทำให้ฉู่ซินรุ่ยสำลักปไม่น้อย
นางไอออกมา เมื่อนางผ่อนแรงลง ก็ไม่สามารถรวบรวมพละกำลังได้อีก ขาก็อ่อนล้าทำให้ทั้งสองคนทรุดล้มลงไปบนพื้น
ฉู่อี้เจี่ยนล้มไปด้านข้าง
ทว่าฉู่ซินรุ่ยเองก็ไม่ได้สนใจเขาที่กระแทกล้มจนได้รับบาดเจ็บ นางคลานไปหาเขาพยายามจะประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาให้ได้
แต่ทว่ายังไม่ทันได้จับถูกชายกระโปรงของอีกฝ่าย จู่ๆ ก็มีเงาของคนในชุดสีดำแวบเข้ามาเห็นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“พวกเจ้าสองคนร่ำลากันเสร็จหรือยัง?” มีเสียงคนพูดอย่างเย็นชาดังขึ้น
น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำแต่เรียบเฉย ราวกับว่าเป็นคนตายที่ไม่มีความรู้สึกแบบนั้น
ฉู่ซินรุ่ยกลัวว่าทหารองครักษ์จะตามตัวพวกเขาเจอ มือจึงสั่น ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นไปมองอยู่นานสองนาน มีแต่ไหล่ที่สั่นไม่หยุดด้วยความกลัวอยู่ตรงนั้น
ฉู่อี้เจี่ยนร่างกายอ่อนเปลี้ยนอนหงายอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วหันไปมองยังทิศทางที่ย้อนแสงทางนั้น
ผู้หญิงในชุดกระโปรงตัวใหญ่ตรงหน้าไม่ได้ปิดบังหน้าของตนเอาไว้ ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของคนธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แววตานิ่งเฉยเย็นชาไร้ความรู้สึก นางอยู่ในชุดกระโปรงสีดำตัวใหญ่ เหมือนกับการมีอยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาของนางเป็นแบบนั้นเช่นกัน…
เหมือนกับว่าไร้ตัวตน เป็นเพียงแค่เงาที่คอยหลบอยู่หลังผู้อื่นเท่านั้น
ความรู้สึกแต่เดิมที่เคยสิ้นหวังเต็มประดาของฉู่อี้เจี่ยนก็มลายหายสิ้นไปหมดแล้ว วินาทีนี้ แววตาของเขากลับส่องประกายไปด้วยเปลวเพลิงสว่างไสวที่ส่องสะท้อนมาเท่านั้น
ริมฝีปากของเขาขยับขึ้นอย่างทรมาน ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะโดนรมควัน หรือว่าดวงตาพร่ามัวเพราะแสงเปลี่ยนทันควัน แต่ราวกับว่าในแววตาของเขานั้นมีอะไรบางอย่างที่ใสบริสุทธิ์กำลังขยับไปมา
“เจ้ามาแล้วรึ…” ฉู่อี้เจี่ยนพูด
ฝ่ามือขององครักษ์ลับที่ผลักตัวเขาไปนั้น มันทำให้ชีพจรของเขาเหลวแหลกไม่เป็นท่า เวลานี้เขาก็ไม่คิดที่จะพยายามฮึดแรงลุกขึ้นมา จึงนอนหงายมองฟ้า แล้วพูดขึ้นมาทั้งแบบนั้น
ฉู่ซินรุ่ยได้ยินเขาพูดขึ้น นางก็รู้สึกสับสนงุนงง ถึงได้ค่อยๆ หันศีรษะไปมอง
เมื่อเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นชัดเจนแล้ว นางก็ตกใจชะงักขึ้นมาทันที ความรู้สึกดีใจที่เคยมีแต่เดิม แต่เมื่อคิดถึงความสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่ซื่อหรงกลับเข้าวังกับจวนอ๋องรุ่ยชินของพวกนางแล้ว นางกลับรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“เจ้ามาได้อย่างไร?” ฉู่ซินรุ่ยขมวดคิ้วถาม
“มาส่งเขาไง!” ซื่อหรงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
อาจจะเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้มีแรงอาฆาตสังหารที่แผ่กระจายออกมาตั้งแต่เกิด ถึงแม้จะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นพี่น้องสายเลือดของตน ฉู่ซินรุ่ยเองก็ไม่ได้คิดเชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย ไม่อาจวางใจลงได้
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?” ฉู่ซินรุ่ยหวาดกลัวจนน้ำเสียงที่เปล่งออกสูงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
นางพยายามออกแรงลุกขึ้นมาแล้วกางแขนบังฉู่อี้เจี่ยนเอาไว้ นางคุกเข่าอยู่บนพื้น ทว่ากลับเงยหน้าจ้องเขม็งมองซื่อหรงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยงรูปสลักน้ำแข็งด้วยแววตาเย็นชา
“รุ่ยรุ่ย เจ้าถอยไป!” ทัศนียภาพเบื้องหน้าของฉู่อี้เจี่ยนถูกบดบัง จึงหันมองอย่างไม่สบายตัว
น้ำเสียงของเขาอ่อนแรงโรยริน ไม่มีพลังเลยสักนิด
ทว่าฉู่ซินรุ่ยกลับไม่ยอม
ซื่อหรงเองก็หาได้สนใจนางไม่ นางเพียงโยนมีดสั้นข้ามผ่านตัวฉู่ซินรุ่ยไปตกอยู่ข้างมือของฉู่อี้เจี่ยน แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้ายังพอมีแรงเหลืออยู่ ก็จัดการเองแล้วกัน!”
ฉู่อี้เจี่ยนหันไปมองมีดสั้นข้างๆ มือเล่มนั้น
————————————————–
[1] หนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที