ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 209 ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ยามอรุณ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ลานสวนเงียบสงบทั่วบริเวณ บรรยากาศกดดันเศร้าหมองอย่างยิ่ง ผู้ที่โจมตีสิ่งเหล่านี้จนแตกกระเจิงคือเฉินฉางเซิง

เขาเดินเข้าไปในกระท่อม มองข้าวต้มชาที่ถังซานสือลิ่วกินเหลือน้อยกว่าครึ่ง ไม่ทราบเพราะเหตุใด จู่ๆ ก็โมโหอย่างยิ่ง หากเป็นยามปกติ ส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนไปล้างชามเอง แล้วเช็ดโต๊ะครั้งสองครั้งอย่างละเอียด แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ พูดกับทุกคนว่า “ข้าจะไปนอน”

พูดประโยคนี้เสร็จ เขาหันหลังเข้าไปยังห้องหลัก นำผ้าห่มและฟูกหนึ่งผืนที่เจอ ห่มคลุมใบหน้าตนเอง

ส่วนคนที่เหลือยังคงจมอยู่ในอารมณ์สับสนซับซ้อนและเศร้าหมองโศกสลดชนิดนั้น เห็นเขา ไม่คิดเลยว่าจะไปนอนจริงๆ ต่างพลันรู้สึกตกใจเล็กน้อย กวนเฟยไป๋เลิกคิ้วนิดหนึ่ง พูดอย่างไม่ปีติว่า “เจ้าช่างเป็นคนเลือดเย็นจริงๆ”

โก่วหานสือส่ายหัวส่งสัญญาณให้เขาว่าอย่าพูดอีก

ถังซานสือลิ่วยิ้มเยาะ “เจ้านี่ก็เป็นชาวยุทธ์ที่ชอบเอาชนะ ต่างอะไรกับเจ้าคนแก่ที่อยู่ใต้ศาลา?”

ณ ตอนนี้ เจ๋อซิ่ว จู่ๆ พูดขึ้นมาว่า “เลือดเย็นดีกว่า”

ทุกคนได้ยินแล้วชะงัก แม้จะเป็นถังซานสือลิ่วก็ยังรู้สึกว่าคำพูดนี้มันฝืนเกินไป

“เลือดเย็นหน่อยถึงจะไม่ตัวร้อนง่าย ยิ่งไม่เป็นบ้า”

เจ๋อซิ่วอธิบายด้วยประโยคหนึ่งอย่างไร้สีหน้า จากนั้นหันหลังเข้าไปในห้อง หาผ้าห่มและฟูกอีกผืน ล้มตัวนอนลงบนที่นอนแล้วเริ่มหลับ

ถังซานสือลิ่วจู่ๆ นึกถึงเรื่องหนึ่ง เดินตามเข้าไปข้างในห้อง กล่าว “ทั้งหมดมีผ้าห่มและฟูกกี่ผืนกี่แผ่นกัน? ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าใช้มันไปทั้งหมดเลยนะ?”

กวนเฟยไป๋ได้ยิน กระโดดขึ้นมาจากธรณีประตู ตะโกนใส่ข้างในว่า “ไม่ว่าจะมีกี่ผืนกี่หลัง พวกข้าฝั่งนี้อย่างน้อยต้องใช้สองผืนสองแผ่น!”

……

……

สวินเหมยก่อนตายได้มอบกระท่อมหลังนี้เหลือไว้ให้บรรดาเด็กหนุ่ม ความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ราวกับกระท่อมหลังนี้เป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาบนโลกใบนี้ แต่ความจริงแล้ว กระท่อมหลังนี้โกโรโกโสอย่างยิ่ง ชำเลืองดูมีสามห้อง นอกจากห้องครัว ยังมีห้องหลักและห้องใน แต่ห้องครัวคนไม่สามารถอาศัยได้ ห้องสองห้องที่เหลือเล็กแคบ อยู่กันเจ็ดคนมันช่างเบียดเสียดเสียนี่กระไร

เฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่ว และเจ๋อซิ่วอาศัยอยู่ห้องในที่ดีกว่าหน่อย อย่างไรพวกเขาก็มาก่อน และที่สวินเหมยเหลือห้องไว้ให้ทุกคน สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากพวกเขา ฉะนั้นคนสี่คนของพรรคกระบี่หลีซานไม่ได้แสดงความไม่เห็นด้วยใดๆ มีเพียงกวนเฟยไป๋แย่งผ้าห่มและฟูกสองผืนสองแผ่นอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น

สวินเหมยเหลือไว้เพียงแค่ผ้าห่มและฟูกสามผืนสามแผ่นที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ถูกแย่งไปแล้วสองผืนสองแผ่น ดีที่เจ๋อซิ่วตั้งแต่เด็กโตในที่ราบหิมะ สำหรับคนอื่นแล้วเป็นฤดูที่เหน็บหนาวของฤดูใบไม้ผลิ สำหรับเขาแล้วเย็นสบายเหมือนกับต้นฤดูร้อน ไม่ต้องห่มผ้าห่มโดยสิ้นเชิง ถังซานสือลิ่วเป็นลูกเศรษฐีถึงกับพกหนังขนติดตัว ฉะนั้นเฉินฉางเซิงโชคดีที่ไม่ต้องนอนร่วมผ้าห่มกับคนอื่น

แสงม่านฟ้ารัตติกาลค่อยๆ เข้ม เฉินฉางเซิงยังคงลืมตา ไม่ได้นอน

ไม่ใช่เป็นเพราะกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่ส่งมาจากผ้าห่มและฟูก แม้ว่านั่นจะเป็นหนึ่งในสาเหตุนั้น

คนคนหนึ่งที่นอนอยู่บนที่นอนผืนนี้มาสามสิบเจ็ดปี เมื่อครู่ตายไปต่อหน้าต่อตา ใครจะไปหลับลง?

คนที่นอนไม่หลับเหมือนเขา ยังมีอีกมาก

“คุ้มหรือ?” ถังซานสือลิ่วมองดูเหล่าดวงดาวในท้องนภายามราตรีนอกหน้าต่างแล้วเอ่ยถาม แสดงให้เห็นว่าอารมณ์หดหู่เซื่องซึมเล็กน้อย

เจ๋อซิ่วหลับตาอยู่ มิได้นอนหลับ และมิได้กล่าววาจาเช่นกัน เพราะจากมุมมองเขาแล้ว นี่กลับไม่ใช่ปัญหาที่ต้องไปขบคิด

เฉินฉางเซิงก็มิได้กล่าวคำใด เพียงแต่มือที่กำก้อนหินสีดำก้อนนั้นอยู่ใต้ผ้าห่มและฟูกกลายเป็นแน่นขึ้นมาบ้าง เมื่อคืนอยู่ในหอหลิงเยียน เขาเข้าใจเรื่องราวบางอย่าง คืนนี้อยู่ในสุสานเทียนซู เขาพบพานเรื่องราวบางอย่าง เรื่องราวเช่นนี้มากเกินไปและกะทันหันเกินไป ทำให้เขาผู้เพิ่งอายุสิบห้าขวบปีรับมือไม่ทันอย่างยิ่ง จริงๆ แล้วเขารู้สึกคล้ายมีบางอย่างหล่นหาย อ้างว้างยิ่งกว่าถังซานสือลิ่ว

มองดูดวงดาวประดับท้องฟ้า รู้สึกถึงดาวสีแดงดวงเล็กๆ ที่เป็นของตัวเองดวงนั้นที่อยู่ไกลๆ เขาคิดอย่างเงียบขรึม ถ้าคิดอยากจะเปลี่ยนโชคชะตาของตนเอง ก่อนอื่นต้องไปเปลี่ยนพลิกโชคชะตาคนเหล่านั้นที่เชื่อมกับตนเอง เพื่อให้ดวงดาวเหล่านั้นเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าคนรอบตัวข้างๆ คนไหนตรงกับดาวดวงไหน? สวินเหมย…แล้วเขาคือดาวดวงไหน? ระหว่างตัวเองและเขาเกิดความเชื่อมโยงกันแล้ว การตายของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น? หรือว่าเป็นเพราะว่าตนเข้ามาในสุสานเทียนซู โชคชะตาของเขาจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง? ตนเองจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เช่นนั้นก็จะนำพาความลำบากและความตายมาให้กับคนรอบข้างจริงหรือ?

แล้วถ้าดวงดาวที่ถูกกระทบเป็นของศิษย์พี่จะทำอย่างไร? เป็นของถังซานสือลิ่วจะทำอย่างไร? เป็นของลั่วลั่วจะทำอย่างไร? แม้จะเป็นสวีโหย่วหรง ตนเองจะดูดวงดาวของนางที่จืดจางอับแสงลงอย่างเย็นชาจริงๆ หรือ? ในตอนที่เขากำลังคิดถึงเรื่องที่ฟุ้งซ่าน ถังซานสือลิ่วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมา เปิดหนังขนออกไปที่ข้างๆ จากนั้นดึงชายเสื้อมาพัดลมอย่างต่อเนื่อง

“เป็นอะไร?” เขาถาม

“ร้อนนิดหน่อย” ถังซานสือลิ่วกล่าว “ไม่รู้เหมือนกันว่าคนในบ้านเตรียมมาอย่างไร”

เฉินฉางเซิงเพียงยิ้มๆ มิได้กล่าววาจา

ถังซานสือลิ่วจู่ๆ หันศีรษะไปมองเขา พูดอย่างเข้มงวดยิ่งว่า “เฉินฉางเซิง ข้ามีประโยคหนึ่งจะพูดกับเจ้า”

เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อย ถามว่า “อะไร?”

ถังซานสือลิ่วพูดอย่างตั้งใจว่า “ในอนาคตไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าล้วนไม่ต้องพูดขอบคุณกับเจ้า เจ้าก็อย่าพูดกับข้าว่าไม่ต้องเกรงใจเช่นกัน”

ได้ยินคำพูดนี้ เฉินฉางเซิงเงียบขรึมไร้คำพูด เขารู้ว่า ถังซานสือลิ่วเป็นเพราะเห็นคำพูดการโต้ตอบชุดนั้นในตอนสุดท้ายของสวินเหมยและหวังผ้อ เกิดความรู้สึกจากการประสบพบพานเล็กน้อย

เสียงหัวเราะเยาะของกวนเฟยไป๋ส่งเข้ามาจากนอกประตู “เพราะเหตุใดเป็นเจ้าที่เป็นคนขอบคุณเฉินฉางเซิง เขาต้องพูดกับเจ้าว่าไม่ต้องเกรงใจ? เจ้าแน่ใจขนาดนี้ว่าตัวเองในอนาคตจะกลายเป็นหวังผ้อ เฉินฉางเซิงแน่นอนว่าจะสู้เจ้าไม่ได้ จึงแสดงบทบาทได้เพียงแค่ตัวละครที่ให้กำลังใจเจ้า? อย่าลืมว่า เขาทะลวงอเวจีแล้ว เจ้ายังห่างไกลอีกเยอะ!”

ถังซานสือลิ่วได้ยินไม่กี่คำพูดนั้นจบ ขณะกำลังอยู่ในสถานการณ์มิตรภาพแห่งพี่น้องอย่างเข้มข้น จู่ๆ ได้ยินเช่นนี้ พลันโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ตะโกนใส่ด้านนอกกระท่อมว่า “พูดอย่างกับเจ้าเก่งกว่าข้ามากนัก!”

กวนเฟยไป๋ยิ้มเย้ยพูดว่า “เก่งไม่มากกว่าเท่าไหร่หรอก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังเก่ง”

โก่วหานสือตะคอกว่า “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “รีบนอนหน่อยเถอะ”

ในกระท่อมในที่สุดก็เงียบลงมา จากนั้นไม่ได้ผ่านไปนานสักเท่าไร ทุกคนได้ยินเสียงของชีเจียนที่กล้าๆ กลัวๆ

“ศิษย์พี่รอง ข้า…ข้า…เหมือนว่าจะหิวแล้ว”

เงียบกริบ จากนั้นเสียงหัวเราะดังขึ้นมารอบๆ

ใบหน้าเล็กๆ ของชีเจียนแดงก่ำขึ้นมา

เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นว่า เจ๋อซิ่วหลับตาอยู่ มุมปากกลับยกยิ้มขึ้นมานิดๆ

ก่นด่ายิ้มหัวเราะสนุกสนานเจื้อยแจ้วรับส่งไปมาหลายครั้ง อารมณ์ของทุกคนกลับมาเหมือนเดิมมากขึ้นบ้าง ค่อยๆ ทยอยนอนหลับไป

เฉินฉางเซิงยังตื่นอยู่ มองดูม่านฟ้ารัตติกาลที่เต็มไปด้วยดวงดาวผืนนั้นอย่างเงียบๆ

คืนนี้สวินเหมยบอกว่าเขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากเขาและเจ๋อซิ่ว แท้จริงแล้วเขาก็ได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายเช่นกัน

เจ๋อซิ่วพูดว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดในการมีชีวิตนั้นไม่ใช่การมีชีวิต และเป็นการมีชีวิตหรือตายไปอย่างกระจ่าง สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือการมีชีวิตอย่างตามใจ เขาอยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิง ตามอาจารย์อ่านเรียนรู้คัมภีร์เต๋า บำเพ็ญวิทยายุทธ์ลัทธิเต๋า สิ่งที่บำเพ็ญไม่ใช่กระบี่บินฆ่าคน อายุยืนไม่ตาย แต่เป็นการตามความตั้งใจ

มีชีวิตคล้อยตามความตาย สิ่งเดียวที่มีความหมาย เดิมก็อยู่แค่ระหว่างความเป็นตาย แน่นอนว่าต้องกระจ่าง แน่นอนว่าต้องเป็นไปตามความตั้งใจ

และก็เป็นเพราะว่าเขามีชีวิตคล้อยตามความตายจริงๆ ฉะนั้นในปีก่อนๆ เขาบำเพ็ญตาม ความตั้งใจ สามคำนี้เป็นอย่างดี ไปจวนขุนพลเทพถอนการหมั้นหมาย ปรากฏตัวในชุมนุมไม้เลื้อย จนกระทั่งสุดท้ายได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ และแล้วเขาเดินเข้าไปในหอหลิงเยียนจริงๆ หลังพบเจอความลับนั้น หลายปีผ่านมา ครั้งแรกที่ได้เห็นถึงความหวังของการมีชีวิต จิตใจกลับได้รับความวุ่นวาย

ความสนใจในการบำเพ็ญของเขาจู่ๆ ก็เหือดแห้ง เขาเป็นนักท่องเที่ยวไปหนึ่งวันในสุสานเทียนซู ล้วนเป็นเพราะความตั้งใจนั้นได้สับสนวุ่นวายไปเสียแล้ว ดีที่เขาได้ยินคำตอบของเจ๋อซิ่ว ได้เห็นสวินเหมยเดินไปยังสุสานเทียนซู สวินเหมยใช้เวลาสามสิบเจ็ดปีในการฟื้นตื่นขึ้นมา เขาใช้เพียงแค่คืนเดียว ไม่พูดไม่ได้ว่า นี่เป็นเรื่องที่โชคดีมาก

……

……

เฉินฉางเซิงผู้ที่สามารถเอาสภาพจิตใจอันสงบกลับคืนมา แน่นอนว่าก็ต้องกลับมายังเส้นทางการใช้ชีวิตที่คุ้นเคยของตนเอง แม้เมื่อคืนจะประสบพบเจอเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจล้วนอิดโรยอ่อนล้า ผนวกกับเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ทว่าตอนเช้าห้ายาม ขณะท้องฟ้ายังไม่ปรากฏแม้กระทั่งความสว่างใดๆ เขาก็ลืมตา ตื่นขึ้นมาแล้ว

หลังตื่นเขาไม่ได้ลุกขึ้นมา แต่ใช้เวลาชั่วอึดใจใช้การทำความสงบเหมือนแต่ก่อน แล้วค่อยลุกขึ้นมา ใส่เสื้อผ้ารองเท้า ตอนที่เตรียมจะพับที่นอน เพิ่งนึกขึ้นได้ บนที่นอนยังมีอีกสองคน เห็นเพียงแต่ถังซานสือลิ่วที่กอดหนังขนผืนนั้นแน่นขนัด ขดตัว เหมือนเป็นเด็กที่ขาดความปลอดภัย แต่เจ๋อซิ่วนอนราบกับที่นอน ถ้าพูดแบบไม่น่าฟัง ก็เหมือนกับรูปปั้นหินตัวหนึ่ง

เขาส่ายหัวไปมา เดินออกไปนอกกระท่อม เห็นเพียงโก่วหานสือและเหลียงปั้นหู กวนเฟยไป๋สามคนที่บนตัวถูกห่มด้วยผ้าผืนหนึ่ง ชีเจียนนอนอยู่มุมหนึ่ง นอนห่มผ้าอยู่เพียงลำพัง ทนไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาอีกครั้ง ในใจคิดอยู่ว่าศิษย์ปิดสำนักของหัวหน้าพรรคกระบี่หลีซาน ได้รับการปฏิบัติที่ต่างกันอย่างที่คิด

เดินถึงในลานสวน ไปตักน้ำที่ข้างลำธาร หลังชำระล้างร่างกายเสร็จ เขาต้มข้าวหม้อใหญ่หม้อหนึ่ง แล้วเอาปลาเค็มตัดที่เมื่อวานเหลือไว้เศษสองส่วนสามไปนึ่ง เดินไปถึงข้างหน้าต่างเปิดออก คิดอยากจะปลุกถังซานสือลิ่วขึ้นมา ถังซานสือลิ่วกลิ้งซ้ายขวาไปมาบนที่นอนสองรอบ สบถคำหยาบไปสองสามคำ ไม่สนใจเขาอีก

เฉินฉางเซิงส่ายหัวหลังตื่นนอนเป็นรอบที่สาม จนปัญญาหันหลัง กลับเห็นเจ๋อซิ่วนั่งยองๆ กำลังแปรงฟันแล้วอยู่ข้างรั้วไผ่ที่ล้มลง ตกใจเล็กน้อย ยิ้มพลางถามว่า “นึกไม่ถึง”

เจ๋อซิ่วนั่งยองๆ อยู่บนพื้นดิน ไม่ได้หันหัว พูดอย่างคลุมเครือว่า “นึกไม่ถึง ข้า ไอ้เจ้าหมาป่าก็รักสะอาดหรือ?”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก สังเกตเห็นว่านี่เป็นความคิดในใจของตัวเองจริงๆ พูดขอโทษว่า “ข้าผิดเอง”

เจ๋อซิ่วโยนกิ่งต้นหลิวหรือกิ่งของต้นอะไรสักอย่างในมือทิ้ง วักน้ำใสที่เย็นเล็กน้อยขึ้นมาล้างหน้า จากนั้นพูดว่า “ไม่มีอะไรผิด ตอนอยู่ที่ที่ราบหิมะข้าก็ไม่ล้างหน้าทุกวันหรอก จริงๆ คราบมันสามารถป้องกันลมหนาว แต่ข้าอย่างน้อยต้องแปรงฟันสองครั้งต่อวัน และเคี้ยวน้ำแข็งหิมะเป็นครั้งคราว”

เฉินฉางเซิงถามด้วยเชิญชี้แนะ “นี่เป็นเพราะอะไร?”

เจ๋อซิ่วพูดว่า “อยู่บนที่ราบหิมะ เนื้อจะถูกแช่จนแข็งมาก บางทียังต้องกินเนื้อดิบ ฉะนั้นจำเป็นต้องมีฟันชุดที่ดี อย่างนี้ถึงจะเคี้ยวได้”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “มีเหตุผลมาก”

เจ๋อซิ่วพูดว่า “ในเผ่าเหล่านั้น คนแก่ที่มีอายุมากที่สุด มักจะเป็นคนที่มีฟันดีที่สุด”

เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นฟันของเขาขาวและมีสุขภาพดีจริงๆ

สองคนมีเพียงปลาเค็มเท่านี้ ต่างคนต่างกินข้าวต้มสีขาวไปสามชาม ก็จากไปจากกระท่อม ทะลุผ่านป่าส้มที่อยู่นอกสวน สืบเท้าขึ้นหน้าไปยังสุสานเทียนซู

ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศเงียบขรึมมาก

พอตอนใกล้จะถึงบนทางหลักใต้สุสานเทียนซู เจ๋อซิ่วจู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า มองเขาแล้วพูดว่า “แปลกนิดหน่อย”

เฉินฉางเซิงนิ่งอยู่อย่างเดิม ถามว่า “ตรงไหนแปลก?”

เจ๋อซิ่วพูดว่า “ข้าชินไปแล้วกับการอยู่คนเดียว”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก่อน”

เจ๋อซิ่วพูดว่า “ข้ายังต้องให้เจ้าช่วยรักษาให้ แน่นอนว่าเจ้าควรไปก่อน นอกจากแปรงฟัน บนที่ราบหิมะยังมีกฎอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือห้ามล่วงเกินหมอ”

เฉินฉางเซิงหัวเราะขึ้นมา พูดว่า “เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องเกรงใจ”

เจ๋อซิ่วไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ยื่นกำปั้นมือออกมา

เฉินฉางเซิงตกใจนิดๆ พูดว่า “เรื่องเช่นนี้ก็ต้องต่อสู้ด้วยหรือ?”

เจ๋อซิ่วพูดว่า “ทายหมัดเป็นไหม?”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “ข้าเป็นแค่เป่ายิงฉุบ”

เจ๋อซิ่วเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “อันนั้นข้าก็เป็น”

……

……

หลังใช้ผ้าขาดๆ หุ้มกำปั้นมือที่อุปโลกน์เป็นก้อนหิน เฉินฉางเซิงได้รับชัยชนะ จากไปก่อน เดินตามเส้นทางหลักใต้สุสานเทียนซูไปทางทิศเหนือ ฟังเสียงนกอรุณกระพือปีกที่ส่งมาจากในป่าเขาเป็นครั้งคราว ใช้เวลาไม่มากก็มาถึงประตูหลักของสุสานเทียนซู เดินไปยังเส้นทางนั้นที่เป็นเส้นทางเดียวที่จะไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์

แผ่นป้ายหินอนุสรณ์ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ในภูเขา ถนนเส้นที่จะไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์แน่นอนว่าเป็นเส้นทางภูเขา แต่กลับไม่ค่อยชันเท่าใดนัก ปูด้วยขั้นบันไดหินจำนวนมาก เดินได้ไม่ลำบาก

ตอนนี้รุ่งอรุโณทัยเพิ่งจะแย้มเยือนอย่างเป็นทางการ ตะวันโผล่พ้นเส้นแนวราบฝั่งตะวันออก ส่องสว่างสถาปัตยกรรมของนครจิงตูที่อยู่ไกลๆ แท่นกานลู่ในวังต้าหมิงและหอหลิงเยียนนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ

ลมตอนเช้าที่หนาวเย็นเล็กน้อย ปัดผ่านโหนกแก้มแผ่วเบา แสงอรุณส่องสว่างเส้นทางเบื้องหน้า เดินอยู่ในป่าเขาที่เงียบสงบและสวยงาม ฟังเสียงนกร้องในยามเช้าอย่างชัดเจน มองดูโฉมหน้าของตะวันที่ถูกกิ่งไม้กรีดผ่านจนปรากฏลวดลายเต็มไปหมด อารมณ์ของเฉินฉางเซิงสงบและมีความสุขมาก เทียบกับคนอื่น เขาช้ากว่าหนึ่งวัน แต่กลับเขารู้สึกว่าไม่เป็นไร

ใช่ นี่เป็นการเสียดายเวลาชีวิตจริงๆ

เหมือนที่เขาเคยพูดคุยโต้ตอบกับเจ๋อซิ่วแบบนั้น สี่ศิลปะหัตถการ ชมวิวทิวทัศน์ ก็ล้วนเป็นการเปลืองชีวิต

แต่วิธีการสิ้นเปลืองชีวิตเช่นนี้มันช่างงดงามน่าอภิรมย์ยิ่ง

การมีชีวิตที่จะสามารถเอาเวลามาสิ้นเปลืองได้นั้นดีแค่ไหน

……

……

ในทิวเขาบรรพตที่สงบงดงามไร้ซึ่งผู้คน เฉินฉางเซิงเหยียบขั้นแล้วขึ้นไปเพียงลำพัง ไม่นานก็เห็นแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นหนึ่ง เขาเดินไปหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์แล้วพิศชม เห็นเพียงบนแผ่นป้ายอนุสรณ์เต็มไปด้วยร่องรอยที่ถูกสลักด้วยขวานสิ่ว ไม่ปรากฏตัวอักษรใดๆ อีกทั้งยังไม่มีเส้นสายที่เป็นรูปเป็นร่างเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าถูกคนทำลาย นึกถึงพระบรมราชโองการในปีนั้นของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เขารู้ว่านี่ไม่ใช่แผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่ตนเองจะดู ส่ายหัวไปมาแล้วเดินไปข้างหน้าต่อ

สืบเท้าขึ้นหน้าได้ไม่ไกล เขาเห็นแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นหนึ่งอีกครั้ง

ที่นี่เป็นหน้าผาหนึ่งผา ข้างหน้าของหน้าผามีกระท่อมหนึ่งหลัง แผ่นป้ายหินอนุสรณ์ก็อยู่ในกระท่อมนั้น

ยอดชายคากระท่อมเปิดออกมาสี่ทิศ ไม่ว่าลมฝนในภูเขาจะหนักหนาสาหัสปานใด ก็ยากที่จะทำให้แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนี้เปียกโชกได้

เฉินฉางเซิงเดินมาถึงหน้ากระท่อม มองไปยังแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นนั้น สภาพจิตใจไหวกระเพื่อมเล็กน้อย

รูปร่างของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นนั้น จริงแล้วๆ ไม่ค่อยจะจัดเรียงเป็นรูปแบบสักเท่าไร แม้กระทั่งความหนาบางก็ไม่สม่ำเสมอ เทียบกับแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่พบเจอทั่วไป ยิ่งเหมือนชิ้นงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

ผิวภายนอกของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์เกลี้ยงเกลาอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าผ่านมือใครต่อใครจำนวนมากเท่าใด

นี่ก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์

แผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นแรกของสุสานเทียนซู

เฉินฉางเซิงควบคุมตัวเองอย่างหนักในการที่จะไม่ดูหน้าของแผ่นป้ายอนุสรณ์ มองไปยังรอบๆ ของกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ก่อน

ป่าไม้นอกกระท่อมแน่นขนัดราวกับกำแพงขวางกั้น ขั้นบันไดหินถึงแค่ตรงนี้แล้วจบ มีเพียงพื้นที่ราบหินผืนหนึ่ง

ท่ามกลางการบดบังของป่าเขียว สามารถเห็นมุมชายคาที่อยู่ไกลได้เล็กน้อย หรืออาจจะเป็นของกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์หลังอื่น ทว่า กลับไม่มีทางผ่านไปยังที่อื่น

มองดูภาพนี้ เฉินฉางเซิงคล้ายจะครุ่นคิดเล็กน้อย

แสงอรุณส่องตกทอดบนที่ราบหิน สายลมสดชื่นทะลวงกลางป่า นกกระเต็นสองตัวร้องร่ำโบยบินขึ้นไปยังผืนฟ้า

เฉินฉางเซิงดึงสติกลับมา หันตัวกลับและมองไปยังแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นนั้นในกระท่อม ภายใต้จิตใต้สำนึก มือสองข้างไขว้หลังไว้ เริ่มชมอย่างสงบ

ขณะสายตาของเขาตกลงบนหน้าของแผ่นป้ายอนุสรณ์ ยากจะยับยั้งการเต้นของหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น