“พวกมันขึ้นไปแล้ว…” ซย่าน่าเงยหน้ามองขึ้นไปส่วนปลายของทางเดิน แล้วพึมพำ
อีกฝ่ายเปลี่ยนสนามสู้จากใต้ดินเป็นบนพื้น นั่นทำให้ซย่าน่าสังหรณ์ใจไม่ดีนัก ใต้ดินแห่งนี้แม้มืดมิดและวังเวง แต่ก็ถือว่าเป็นลักษณะพื้นที่ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกหลิงม่อมาก…ทางเดินที่พาดผ่านและทะลุถึงกันมากมายทำให้พวกเขามีพื้นที่พอให้พวกเขาวิ่งอ้อม และการมีอยู่ของช่องทางเดินก็ทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว…เพราะว่าอีกฝ่ายไม่สามารถต่อสู้กับพวกเขาได้ซึ่งๆ หน้า…
ภายใต้สถานการณ์ที่ได้เปรียบเรื่องจำนวนคน ทันทีที่อีกฝ่ายโผล่หน้า ก็จะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีพร้อมกันจากทุกคนในทีม…ดูจากตอนนี้ เห็นชัดว่าพวกมันตระหนักได้ถึงข้อนี้แล้ว ดังนั้นถึงแม้ในมือมีตัวประกัน แต่อีกฝ่ายก็ยังรีบใช้สิทธิ์ของการเป็นฝ่ายได้เปรียบ กำจัดปัจจัยที่ไม่เป็นผลดีกับตัวเองโดยทันทีแบบนี้ ทันทีที่ขึ้นไปในโกดังด้านบน เมื่อพวกหลิงม่อยืนรวมกลุ่มกันในที่แจ้ง กลับจะกลายเป็นเป้าโจมตีให้อีกฝ่ายอย่างง่ายดาย……
“แต่ว่าน่าแปลกจริงๆ…ในเมื่อพวกมันไม่ได้อยากปะทะกับพวกเราใต้ดิน แล้วทำไมถึงทำให้พวกเราเจอที่นี่ล่ะ? ด้วยพลังของพวกมัน หากคิดจะปิดทางเข้าที่พวกเราหาเจอ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก…อย่างอื่นไม่ว่า ถ้าหากพวกมันคิดจะสู้กับพวกเรา งั้น…ผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้ามาให้พวกเราถูกจับได้แบบนั้น แต่น่าจะซ่อนตัวอยู่ในโกดังแทน หากทำอย่างนั้นทันทีที่พวกเราเข้าไป พวกมันก็จะอาศัยความเคยชินต่อสถานที่ เริ่มซุ่มโจมตีพวกเราด้วยวิธีต่างๆ…หรือว่าเพื่อจับตัวประกัน? แต่กู่ซวงซวงกับเจ้าลิงผอมก็อยู่ข้างนอกโรงงานตามลำพังแล้วนี่…”
ซย่าน่าครุ่นคิดอย่างสงสัย ขณะที่ขึ้นไปถึงสุดทางเดิน เธอได้บอกการคาดเดาและความกังวลของตัวเองให้หลิงม่อรับรู้ทั้งหมด “ดังนั้นฉันคิดว่า อีกฝ่ายน่าจะตั้งใจให้เราลงไปใต้ดิน ตอนนั้นพวกเราเริ่มแคลงใจผู้หญิงคนนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นหากเธออาสาพาเราลงไปเอง พวกเราคงต้องคิดหนัก แต่ถ้าหากพวกเราเจอด้วยตัวเอง ถึงแม้จะแค่อยากรู้อยากเห็น แต่ฉันว่ายังไงพวกเราก็จะยังเข้าไป เอาเป็นขนาดฉันเป็นซอมบี้ยังคิดอย่างนี้ เดาว่ามนุษย์น่าจะเป็นยิ่งกว่า…”
“ไม่ขอเถียง…เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มีปัญหาที่สองแล้วล่ะ…ทำไมพวกมันถึงต้องให้พวกเราลงมาในสถานที่ที่พวกมันทั้งไม่ควร และไม่อยากให้พวกเราอยู่?” เสียงพูดของหลิงม่อดังในสมอง
ซย่าน่าครุ่นคิด พลางตอบว่า “เรื่องนี้…อ้อ ใช่แล้ว พี่หลิงเคยบอกว่าซอมบี้ตัวนั้นหมายหัวพี่ ใช่ไหม?”
“ถ้าหากฉันรู้สึกไม่ผิดล่ะก็นะ…”
“ไม่ผิดหรอก ถึงพี่จะมีกลิ่นหอมน่ากินมาก แต่มันยังไม่เคยดมตัวพี่เลยนะ! ดังนั้นลำดับความสำคัญของฝูง ‘อาหาร’ อย่างพวกเราน่าจะเป็นแบบนี้—พี่เย่เลี่ยน ฉัน รุ่นพี่ ซือหราน ผู้ประกาศข่าวสวี่ จากนั้นถึงจะเป็นพี่…” ซย่าน่าบอก
“อ้าว…เฮยซือล่ะ?” หลิงม่อรู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินตกหล่น
“มันถือเป็นอาหารคุณภาพต่ำ อีกฝ่ายไม่คิดจะกลืนลงท้องแน่ ฉันเดาว่าอีกฝ่ายคงอยากจะเลี้ยงมันไว้มากกว่า…หรือไม่ก็ผ่าท้องดู ฉันอยากรู้มาตลอดเลย ว่ามันเป็นหมาหุ้มหนังมนุษย์หรือเปล่า…” ซย่าน่าบอก
“เรื่องนี้…” หลิงม่อพลันนึกถึงตอนที่เฮยซือเข้าไปอยู่ในร่างกายร่างนั้น “ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น…”
“อะฮ่า! ฉันว่าแล้วเชียว! เดี๋ยวนะ ออกทะเลไปไกลละ…สรุปก็คือ มันไม่ได้อยากกินพี่ แล้วทำไมมันถึงต้องหมายหัวพี่?” ซย่าน่าถาม
หลิงม่อตอบโดยไม่คิด “พลังจิตไง! ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่ามันกลืนกินพลังจิตของคนอื่นยังไง แต่ในเมื่อมันรู้จักเริ่มเพาะเลี้ยง…” พูดถึงตรงนี้ หลิงม่อพลันชะงัก หลังจากเงียบไปสองวินาที อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า “ฉันรู้แล้ว…”
“ผลงานสำเร็จตัวเมื่อกี้…ในฐานะผลงานเพียงหนึ่งเดียวที่สำเร็จ ซอมบี้ร่างแม่ตัวนั้นตั้งใจใช้มันเป็นต้นแบบ แต่ตอนนี้เจ้าแมงมุมยักษ์ตายแล้ว และกลับเป็นคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งที่เข้ามาที่นี่ ซอมบี้ร่างแม่สูญเสียเพื่อนร่วมงาน อัตราความสำเร็จจึงลดลง แต่จะให้ทำใจกินผลงานต้นแบบไปทั้งอย่างนั้น มันก็ทำไม่ได้…” หลิงม่อบอก
“ถ้าอย่างนั้นพี่ว่า…มันกำลังคิดจะทำให้พี่กลายเป็นผลงานสำเร็จชิ้นสุดท้ายของที่นี่หรือเปล่า?”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันกำลังคิด มันยังไม่พอใจหากมีผลงานสำเร็จอย่างนั้นเพียงตัวเดียว ดังนั้นจึงตัดสินใจจะสร้างฉันให้ดีกว่า สาเหตุที่มันทำให้พวกเราลงไปใต้ดิน คือต้องการให้ฉันกับผลงานสำเร็จชิ้นนั้นฆ่ากันเอง ส่วนมันก็นั่งดูอย่างเพลิดเพลิน…ตอนนี้ฉันกลืนกินพลังจิตของผลงานสำเร็จตัวนั้นแล้ว สำหรับมันฉันจึงมีอาหารครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว…ไม่น่าล่ะ ตอนนั้นฉันถึงได้รู้สึกว่ามันไม่เพียงไม่โมโห แต่กลับตื่นเต้น ตอนนี้ถือว่ารู้เหตุผลแล้ว” เรื่องบางอย่างความจริงแล้วเข้าใจไม่ยากเลย ขอเพียงนำเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาปะติดปะต่อกัน ก็จะเดาเรื่องทั้งหมดออกได้ไม่ยาก อย่างเช่นตอนนี้ที่หลิงม่อรวมชิ้นส่วนที่หายไปเข้าด้วยกัน จนสุดท้ายก็รู้แรงจูงใจ รวมถึงแผนการทั้งหมดของซอมบี้ตัวนั้น…
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม แค่พี่ได้ดูดกลืนพลังจิตเหล่านั้น พวกเราก็ถือว่ามาถูกแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะเหมือนกับที่ฉันเพิ่งพูดเมื่อกี้ ถึงแม้ให้ตายยังไงพวกเราก็ไม่ยอมลงไป พวกมันก็จะเปิดฉากโจมตีในโกดังแห่งนี้อยู่ดี ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราอาจตกเป็นฝ่ายถูกกระทำหนักกว่านี้ก็ได้” ซย่าน่ารีบบอก
“เฮ้อ…ถูกของเธอเหมือนกัน” หลิงม่อถอนหายใจ บอกว่า “ฉันแค่จะหาโกดังอาหาร ทำไมมันถึงได้ยากอย่างนี้นะ!”
“ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งไม่ดีตรงไหน…”
“ปัญหาคือใครจะไปรู้ว่าไอ้ของแถมนี้ฉันจะกินได้หรือเปล่าน่ะสิ…”
ขณะเดียวกับที่ทั้งสองกำลังสนทนากันในสมอง หลี่ย่าหลินได้ผลักประตูบานหนึ่งที่เปิดแง้มไว้ออกเงียบๆ
ข้างนอกเป็นทางเดินเหมือนกัน แต่กลับมีแสงสว่างจ้า…และสองฝั่งทางเดิน ก็มีห้องหับเรียงรายอยู่หลายห้อง…
“เดี๋ยวก่อน พวกฉันเหมือนจะไม่ได้มาที่โกดัง แต่เป็นหอพักของพวกมัน” ซย่าน่าชะโงกหน้าไปดูที่ช่องประตู แล้วบอก
“หอพักงั้นหรอ…ซย่าน่า พวกเธออย่าเพิ่งออกไป…” หลิงม่อบอก
พูดจบ เขาก็รีบสะบัดมือกลางอากาศ เสี่ยวเฮยพลันแทรกตัวออกมาจากสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างซย่าน่ากับเขา และรีบก่อตัวเป็นเงาคนขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังประตูทันที…
“อะ…โอเค…” ซย่าน่ารับรู้ได้ถึงแรงกดดันบางอย่างทันที ความกดดันนี้ไม่เหมือนที่รู้สึกได้ในยามปกติ แต่เหมือนมีบางสิ่งกำลังบังคับให้จิตของเราหดเกร็ง เป็นความกดดันที่เกิดขึ้นด้านจิตวิญญาณ
แม้แต่เย่เลี่ยนกับหลี่ย่าหลินที่มองไม่เห็นเสี่ยวเฮยยังอดมองไปยังตำแหน่งที่เสี่ยวเฮยยืนอยู่ไม่ได้ ประกายสงสัยพาดผ่านดวงตาของพวกเธอ
“ฉันจะให้มันไป พวกเธอรอพวกฉันอยู่ที่นั่น” พูดจบ หลิงม่อก็สลับมุมมองสายตาไปที่เสี่ยวเฮย พริบตาเดียว เขาก็รู้สึกราวกับตัวเองได้กลายเป็นเงาที่มีความสูงเกือบสามเมตร อีกทั้งไม่มีกายสังขารที่แท้จริง ทำได้เพียงล่องลอยไปข้างหน้าเท่านั้น…
การควบคุมเสี่ยวเฮยแม้ไม่มีสัมผัสที่แท้จริง แต่หลิงม่อกลับเคลื่อนไหวได้พร้อมมันได้อย่างน่าทึ่ง แต่มันก็ไม่แปลก เพราะอย่างไรหุ่นดวงจิตตัวนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเขาอยู่แล้ว…
หลิงม่อไม่รับรู้ถึงร่างกาย แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังงานมหาศาลที่ไหลเวียรอยู่ในร่างตัวเอง อีกทั้งยังรู้สึกได้รางๆ ว่าตัวเองยังมีภาระอยู่อีกหนึ่ง…
“อ๋อ…ร่างจริงที่อยู่ข้างหลังนี่เอง…เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้ฉันบอกว่าภาระใช่ไหม? ไม่สิ นี่น่าจะเป็นความคิดของเสี่ยวเฮย! ทำไมมันต้องดูถูกร่างจริงของตัวเองด้วย! นี่ๆ แกกลายพันธุ์ได้ขี้เหร่อย่างนี้ฉันยังไม่เคยว่าอะไรเลย แต่นี่แกกลับแอบรังเกียจรูปร่างร่างจริงของตัวเองเนี่ยนะ! แล้วอีกอย่าง…ทำไมแกถึงคิดได้ล่ะ!”
ความคิดของหลิงม่อพลันมะรุมมะตุ้มไปชั่วขณะ…เขารู้สึกได้รางๆ ว่านี่เหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…
“ยังต้องให้บอกอีกหรอ? เพราะว่าที่นี่ล้วนเป็นตัวฉัน…หรือก็คือจิตใต้สำนึกของนายไง…ที่นายทำให้ร่างดวงจิตของตัวเองกลายเป็นแบบนี้ เพราะว่าส่วนลึกในใจของนายต้องการเป็นเงาที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดไงล่ะ! นายลืมไปแล้วหรอว่าตอนเด็กๆ นายเคยจินตนาการอยากดูเย่เลี่ยนอาบน้ำไว้ว่ายังไงบ้าง?”
ความคิดนี้พลันผุดขึ้นมาในสมอง ส่งผลให้เขาสะดุ้งโหยง
“ที่แท้เมื่อกี้ก็ไม่ได้มีแค่โล่เพลิงโลกันตร์ที่วิวัฒนาการขึ้นมา! แต่นี่มันผลข้างเคียงประเภทไหนกัน!”
“พูดเรื่องนี้ ส่วนลึกในใจนายเหมือนจะภาคภูมิใจเล็กๆ…ที่ในที่สุดก็ตั้งชื่อดีๆ ได้ซักที แต่ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกเหมือนเดจาวู อย่างกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แล้วแค่ยืมเขามาใช้เฉยๆ…”
“หุบปาก!”
“จะหุบยังไงล่ะ? นี่เป็นเพียงความคิดของนายเท่านั้นนี่…”
“แล้วทำไมจินตนาการวัยเด็กถึงได้กลายเป็นจิตใต้สำนึกได้เล่า! ทำไมมันถึงส่งผลกระทบถึงการกลายพันธุ์ในสิบกว่าปีต่อมาได้!” หลิงม่อเดือดดาล
“เรื่องแบบนี้นายจะถามตัวเองได้ยังไง…”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็อย่าถามเองตอบเองสิ! อีกอย่างฉันไม่เคยรังเกียจตัวเองมาก่อนเลยซักครั้งนะ!”
“จุ๊ๆ หรือจะบอกว่าส่วนลึกในใจนายไม่เคยคิดอยากเป็นหนุ่มรูปงามผู้เงียบขรึมเลยซักครั้งงั้นหรอ? ตอนที่นายถูกรุ่นพี่จับกดไม่เคยคิดอยากวิวัฒนาการเอวที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเลยงั้นสิ…เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นการดูถูกตัวเองทางอ้อมทั้งนั้น…แต่ว่านายวางใจได้ ถึงแม้ว่าเรื่องหนุ่มรูปงามจะแก้ปัญหาได้ยาก แต่โชคดีที่นายยังถือว่าหน้าตาใช้ได้ บวกกับตอนนี้คนก็ตายไปมากมายแล้ว ระดับความหล่อเหลาของนายก็น่าจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย…”
“เฮ้ยๆ อย่าพูดเรื่องแบบนี้ออกมาหน้าตาเฉยได้ไหม!” หลิงม่อตัดบท แต่ก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “จิตใต้สำนึกของฉันเคยคิดอะไรแบบนั้นจริงๆ หรอ?”
“……”
“เหอๆ…คิดไม่ถึงจริงๆ…”
“มนุษย์มิใช่ผู้วิเศษ…” (人非圣贤,孰能无过 สำนวนจีน แปลว่า มนุษย์มิใช่ผู้วิเศษ ล้วนต้องเคยผิดพลาด)
“พอๆๆ! ถ้าอย่างนั้น ปัญหาเรื่องเอว…”
“อ้อ เรื่องนี้ โล่เพลิงโลกันตร์จะช่วยนายแก้ปัญหาเอง ลองนึกภาพดู เมื่อรุ่นพี่จับนายกดอีกครั้ง และซย่าน่าก็เข้ามาร่วมวงด้วย สุดท้ายแม้แต่นางฟ้าตัวน้อยน่าหยิกอย่างเย่เลี่ยนก็ยังกระโดดเข้ามาร่วมด้วย นายก็แปลงร่าง…ถุ้ยๆๆ นายก็ใส่โล่เพลิงโลกันตร์ แค่นี้ก็สามารถขยับเอวด้วยความเร็วอันบ้าคลั่งได้แล้ว และด้วยสิ่งนี้…”
หลิงม่อได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น…ที่แท้ในส่วนลึกของจิตใจ ความคิดของเขาไร้สาระถึงขนาดนี้!
น่าเศร้าสลดอะไรอย่างนี้!
“จะว่าไปแล้ว…ต่อไปอย่าคุยกับฉันอีกนะ…” หลิงม่อบอก
“งั้นนายก็วิวัฒนาการสวิตช์เปิดปิดขึ้นมาเองสิ…นายคิดว่าฉันอยากเผยตัวนักรึไง? ฉันเป็นจิตใต้สำนึกนะเว้ย! ฉันก็อยากซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสมองนายไปตลอดชีวิตเหมือนกันนั่นล่ะ!”
“…ตอนนี้ฉันวิวัฒนาการไปถึงขั้นไหนแล้ว…”
“อ้อ เพิ่งจะเริ่มต้นเอง เหมือนสร้างปุ่มขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ได้กดปุ่มลงไป…เอ๋ ทำไมนายไม่พูดอะไรแล้วล่ะ?”