79 เปิดผนึกตราประทับ มารพุทธะฟื้นคืน

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

ณ พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ซูฉินกำลังนั่งขัดสมาธิ

 

“มาดูดวงจิตรู้แจ้งพันปีกันสักหน่อย”

 

ซูฉินนึกถึงคลังของระบบ ทันใดนั้นดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่มีสีทองซีดๆ และลวดลายที่ดูลึกลับก็ปรากฏตรงหน้าของซูฉิน

 

ทันทีที่ดวงจิตรู้แจ้งพันปีปรากฏขึ้น ซูฉินก็รู้สึกว่าความคิดช่างปลอดโปร่ง ความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ กลายเป็นลึกซึ้งขึ้น

 

ของขลังชิ้นนี้สร้างอาณาเขตที่ทำให้ความเร็วในการคิดคำนวณเพิ่มขึ้นหลายเท่า ความรู้สึกแจ่มชัดและมีเหตุผลมีผลอย่างมาก แม้แต่แก่นแท้แห่งพลังภายในกายก็เคลื่อนไหวอย่างราบรื่นขึ้นมาก

 

“สมแล้วที่มันเป็นดวงจิตรู้แจ้งพันปี…”

 

ขนาดซูฉินยังต้องประหลาดใจ

 

เขาได้ทดลองดวงจิตรู้แจ้งในกล่องด้านหน้าร่างของอรหันต์ถัวไปก่อนหน้านี้

 

แต่ช่างน่าเสียดายที่ดวงจิตรู้แจ้งที่อรหันต์ถัวครอบครองนั้นอย่างดีที่สุดก็ช่วยให้ซูฉินมีสติแจ่มชัดขึ้นเท่านั้น

 

ส่วนประการอื่นๆ นั้นไม่เกิดผลอันใดเลย

 

เมื่อเทียบกับดวงจิตรู้แจ้งพันปีที่อยู่กับซูฉินแล้ว ก็ไม่นับว่ามีคุณค่าเท่าไหร่นัก

 

หลังจากที่ทดลองใช้ดวงจิตรู้แจ้งพันปีได้สักพัก ซูฉินก็หันไปมองทั่วทั้งพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

“มารพุทธะ…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ

 

เก้าร้อยปีก่อนนั้นกล่าวได้ว่าเป็นยุคที่เส้าหลินนั้นรุ่งเรืองที่สุด

 

เป็นยุคที่มีทั้งอรหันต์ถัวและมารพุทธะได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา

 

อรหันต์ถึงสองรูป!

 

ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ

 

แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเช่นกัน

 

เพียงไม่นานความรุ่งเรืองของวัดเส้าหลินก็ลดฮวบ

 

เก้าร้อยปีก่อน ถึงมารพุทธะจะถูกสะกดเอาไว้ แต่ทุกหนึ่งร้อยปีจิตมารจะออกมาล่อลวงศิษย์วัดเส้าหลินและให้กำเนิดทายาทมารพุทธะ กัดกินรากฐานของวัดเส้าหลินอยู่ตลอดเวลา

 

ไม่เช่นนั้นละก็…

 

ถึงแม้อรหันต์ถัวจะจากไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือยูไลที่เป็นวิชาอันแข็งแกร่งที่สุดก็หายสาบสูญ

 

แต่เก้าร้อยปีต่อมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ไม่มีอรหันต์กำเนิดขึ้น ถึงขนาดที่ไม่มีแม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในยุคสมัยนี้เลยด้วยซ้ำจนเกือบจะถูกบีบให้ออกจากการเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ

 

“ตามข้อความที่ทิ้งไว้บนกำแพงหินโดยอรหันต์‘ถัวอา‘ แม้ว่าพลังของมารพุทธะจะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ความแข็งแกร่งก็ยังมีขีดจำกัด อย่างมากที่สุดก็ไม่ควรเกินขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สอง?”

 

ซูฉินคิดตามอย่างช้าๆ

 

“หลังจากถูกสะกดไว้กว่าเก้าร้อยปี มารพุทธะก็ถึงขนาดยอมสละทิ้งร่างกายเพื่อเอาตัวรอดแล้วอยู่ในรูปจิตมาร ข้าเกรงว่าความแข็งแกร่งของเขาควรจะต่ำกว่าระดับอรหันต์ไปแล้ว”

 

ซูฉินลุกขึ้นยืน

 

“ถึงเวลาแล้วที่จะแก้ไขปัญหามารพุทธะไปเสียให้หมดสิ้น”

 

ซูฉินได้ตัดสินใจ

 

เมื่อสิบปีก่อนซูฉินแอบเข้าไปในส่วนลึกของพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเพื่อลงชื่อเข้าใช้

 

และยังได้พบกับมารพุทธะพูดคุยกันตัวต่อตัวอีกด้วย

 

ในตอนนั้นมารพุทธะแสร้งทำตัวเป็นอรหันต์ผู้ทรงศีล พยายามหลอกล่อเพื่อใช้ร่างของซูฉินมาปลดโซ่ตรวนให้ตัวเองออกจากผนึกนี้ได้เสียที

 

น่าเสียดาย

 

ที่มารพุทธะไม่คาดคิดว่าองค์ยูไลทองคำที่หว่างคิ้วของซูฉินจะสามารถควบคุมพลังของผนึกตราประทับฝ่ามือยูไลในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังได้อย่างง่ายดาย

 

ด้วยเหตุการณ์นั้น ไม่เพียงมารพุทธะจะไม่สามารถทำลายโซ่ตรวนที่ผนึกตนไว้ได้ ยังกลายเป็นการยอมให้ซูฉินรวบรวมผนึกขึ้นใหม่และสะกดมันไว้ได้อย่างสมบูรณ์

 

“แม้ว่ามารพุทธะจะถูกข้าสะกดลงไปอีกครา แต่ก็ยังถือเป็นภัยร้ายซ่อนเร้นอยู่หากมันยังไม่ตาย…”

 

ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมา

 

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้และได้รับวิชาจิตมารแยกวิถีมาก่อนหน้า รู้ว่าแม้มารพุทธะจะละทิ้งร่างกายของตนและย้ายไปอยู่ในรูปของจิตมารอย่างมากก็อยู่รอดได้แค่พันกว่าปี

 

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป จิตมารดวงนั้นก็จะสลายหายไปเอง

 

หรือจะกล่าวว่าแม้ซูฉินจะไม่ได้สนใจมันในตอนนี้ มารพุทธะก็จะค่อยๆ ตายภายใต้การสะกดของผนึกตราประทับในอีกหลายร้อยปีต่อจากนี้อยู่ดี

 

แต่ซูฉินยังคงกังวล…

 

เนื่องจากมารพุทธะสามารถสร้างวิชาจิตมารแยกวิถีแล้วได้รับอายุที่ยืนยาวเกินกว่าอรหันต์ทั่วไปจะมีได้ เขาอาจจะมีเคล็ดวิชาลับอย่างอื่นเพื่อต่อชีวิตอีกก็เป็นได้ไม่ใช่หรือ?

 

ในสายตาของซูฉิน สิ่งที่เชื่อถือไม่ได้ที่สุดก็คือการสะกดเอาไว้

 

หากเป็นเพียงคนธรรมดาก็คงไม่เป็นอะไร แต่กับอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่นจนน่ากลัวเช่นมารพุทธะ ตราบใดที่เขาไม่ตายลงเสียที บางทีในอนาคตเขาอาจจะเจอหนทางในการปลดโซ่ตรวนแล้วทะยานขึ้นเหนือฟากฟ้า

 

สำหรับอัจฉริยะเช่นนี้แล้ว ซูฉินจะต้องกำจัดด้วยน้ำมือของตัวเองเท่านั้นจึงจะโล่งใจ

 

เก้าร้อยปีก่อน อรหันต์ถัวไม่สามารถกำจัดมารพุทธะได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสะกดเอาไว้ แต่ในวันนี้ เก้าร้อยปีต่อมา ซูฉินนั้นหาใช่อรหันต์ถัวไม่

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉินพร้อมทั้งเคล็ดวิชานับไม่ถ้วนที่เขาเชี่ยวชาญ มีกระทั่งฝ่ามือยูไล แม้แต่มารพุทธะในยามรุ่งโรจน์ก็ต้องสยบให้กับซูฉิน นับประสาอะไรกับตอนที่ถูกสะกดมาเป็นเวลาเก้าร้อยปีแบบนี้เล่า?

 

“จงเปิด!”

 

ซูฉินสื่อสารผ่านความคิดกับองค์ยูไลทองคำที่อยู่ระหว่างคิ้วเพื่อควบคุมพลังของผนึกในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

ทันใดนั้น

 

ครืนครืนนน!

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเริ่มส่งเสียงคำรามลั่น

 

หลังจากนั้นพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็กลายเป็นจุดกำเนิดแรงสั่นสะเทือนสั่นไปทั่วทั้งวัดเส้าหลิน

 

ตราประทับในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง คือการที่อรหันต์ถัวใช้ฝ่ามือยูไลสะกดมารพุทธะไปพร้อมกับพื้นที่วัดเส้าหลินทั้งหมด

 

หากต้องการจะปลดผนึกออก ย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

 

“เหตุใดจึงมีการสั่นสะเทือนรุนแรงขนาดนี้?”

 

ท่าทีของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักต่างก็เปลี่ยนไป พวกเขามองไปที่พื้นที่ภูเขาด้านหลังในเวลาเดียวกัน

 

“ใช่มาจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังหรือไม่?”

 

“เกิดอะไรขึ้นกันนะ?”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์มีสีหน้าเคร่งเครียด

 

ต้องรู้ว่าพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังนั้นเป็นสถานที่ที่สะกดมารพุทธะเอาไว้ หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น มันจะเป็นหายนะกับทั้งวัดเส้าหลิน

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน ใบหน้าพวกเขาพลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

 

“จะตื่นตกใจอะไร?”

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ อยู่ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเช่นกัน”

 

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ จะต้องพาวัดเส้าหลินของพวกเราให้รอดพ้นไปได้อย่างแน่นอน”

 

เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของหัวหน้าตำหนักแต่ละคนก็ตำหนิในทันที

 

ด้วยคำกล่าวที่ออกมา

 

หัวหน้าตำหนักต่างก็ตื่นจากความเคร่งเครียด

 

ถูกต้อง

 

พวกเขาจะกังวลอันใด?

 

ผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งพำนักอยู่ในเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง แม้มารพุทธะจะหลุดออกมาได้จริงๆ แต่แล้วมันจะเป็นอันใดได้เล่า?

 

 

พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง

 

เมื่อผนึกถูกปลดออก ในหลุมก็มีแสงสีดำปรากฏขึ้น

 

พลังมารค่อยๆ รั่วไหลออกจากทางเข้าของหลุมนั้นและแพร่กระจายไปทั่วทิศทาง

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“ในที่สุดข้าก็ออกมาได้แล้ว!”

 

“เก้าร้อยปี ในที่สุดข้าก็ได้ออกมา!”

 

เสียงแปลกประหลาดน่าหวาดกลัวดังมาจากส่วนลึกของหลุมสีดำ มันเต็มไปด้วยร่องรอยความปีติยินดีในน้ำเสียง

 

ทันใดนั้นเงาร่างเลือนรางก็ออกมา ยกมือขวาคว้าจับไปที่ชั้นบรรยากาศเบื้องหน้าราวกับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง

 

ในเวลาต่อมา

 

เงาร่างเลือนรางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูฉิน

 

“กลายเป็นเจ้า พระตัวจ้อย”

 

ร่างเงายิ้ม เผยร่องรอยความโหดเหี้ยมออกมา

 

“เจ้ากล้าปล่อยให้ผู้อาวุโสเช่นข้าออกมาเยี่ยงนี้ เจ้าแน่ใจแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

ร่างเงามองไปที่ซูฉินด้วยความสนใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเสียดาย “แม้ว่าอาวุโสผู้นี้จะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงมีความหมายจริงแท้แห่งตถาคต”

 

“แต่กับความห่างชั้นของความแข็งแกร่งระหว่างเราทั้งสอง เจ้าจะได้รู้ว่าความสิ้นหวังแท้จริงแล้วมันหน้าตาเป็นอย่างไร!!”

 

คำพูดของร่างเงาเลือนรางเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก

 

ถึงแม้ยากจะเชื่อเพียงใดเมื่อรู้ว่าซูฉินมีความหมายจริงแท้แห่งตถาคต แต่ก่อนอื่นอย่างน้อยก็ต้องมีความแข็งแกร่งเพียงพอเพื่อจะใช้มัน

 

“เจ้าอายุไม่มากแต่ก็เข้าถึงระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว เจ้าช่างมีพรสวรรค์…”

 

ในขณะที่คุยกัน ร่างเลือนรางก็มองไปที่ซูฉิน

 

อย่างไรก็ตาม

 

ในเวลาต่อมา

 

ร่างเงาเหมือนจะค้นพบบางสิ่งและท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

 

“ไม่ถูกต้อง”

 

“เจ้าไม่ใช่ระดับชั้นที่หนึ่ง”

 

“นี่เจ้าคือระดับอรหันต์ใช่หรือไม่?”

 

รูม่านตาของร่างเงาขยายกว้าง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว