ตอนที่ 17 ร้องไห้คร่ำครวญ

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

ว่ากันว่าป้ายหินนี้ถูกตั้งขึ้นในรัชสมัยของฮ่องเต้หย่งคังแห่งราชวงศ์ต้าเจา กว่าจะถึงยุคปัจจุบันก็มีอายุนับพันปี เรียกได้ว่าเป็นโบราณวัตถุชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้ ดูจากสีของป้ายหินและสภาพของต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านแล้ว มันน่าจะถูกตั้งมาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น ดังนั้น เขาเว่ยอวิ๋นในตอนนี้ก็อยู่ในช่วงรัชสมัยของฮ่องเต้หย่งคังแห่งราชวงศ์ต้าเจาสินะ

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เธอข้ามเวลามาที่เขาเว่ยอวิ๋นเมื่อหนึ่งพันปีก่อน

มิน่าเธอถึงฟังคำพูดของผู้คนรอบด้านไม่เข้าใจ มิน่าพวกเขาถึงได้แต่งกายแปลกๆ ตอนนี้มาย้อนคิดดู จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็มีลางบอกเหตุ และเธอก็รู้สึกแปลกๆ อยู่แล้ว เพียงแต่เธอพยายามปิดกั้นไม่ยอมรับเท่านั้น

เธอลูบป้ายหินโบราณซึ่งยังดูใหม่เอี่ยมพลางถอนใจเบาๆ “เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ แต่ฉันคงไม่ไหว ฉันไม่มีปัญญาอยู่ไปอีกหนึ่งพันปี คงไม่มีทางกลับไปได้อีกแล้ว”

เศร้าอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ลุกขึ้นสำรวจดูรอบๆ พบว่าตรงข้างป้ายหินมีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ก้อนหนึ่ง

รู้สึกว่าต่อไปบนก้อนหินนี้จะมีรูปปั้นของหมอเทวดาอยู่ เวลาคนในเขาเว่ยอวิ๋นล้มป่วยก็จะมากราบไหว้

ตอนนี้คงยังไม่ถึงยุคสมัยนั้นสินะ

กู้จิ้งถอนใจอีกรอบ จากนั้นจึงเดินตามเส้นทางสายเล็กๆ กลับออกไปด้านนอกด้วยอาการเซื่องซึม

เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรเดินไปที่ไหน และไม่รู้ว่าต่อไปจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เพื่อน, ครอบครัว, เพื่อนร่วมงาน ยังมีงานที่แสนน่าเบื่อหน่าย ล้วนจากเธอไปแล้วจนหมดสิ้น

แม้กระทั่งภาษาของยุคสมัยนี้เธอก็ไม่เข้าใจ

กู้จิ้งเดินไปเรื่อยๆ เหมือนคนไร้ความรู้สึก หิวก็หยิบไข่ไก่ออกมากิน กระหายก็ดื่มน้ำ ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากป่าด้านหน้า

พ่อแม่ตายรึไง ถึงได้ร้องไห้มากขนาดนี้? เสียใจมากกว่าเธอหรือเปล่า?

เธอเดินอ้อมป่าไปก็พบว่าตรงข้างทางมีรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ ข้างรถม้ามีม้าพ่วงพีหลายตัวกับคนอีกสิบกว่าคน

ชายสวมชุดแพรต่วนคนหนึ่งกำลังกอดหญิงสาวคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนพลางร้องไห้ราวกับจะขาดใจ

ส่วนผู้หญิงคนนั้น?

เพียงหันไปมอง กู้จิ้งก็ต้องขมวดคิ้วแน่น

ร่างของผู้หญิงคนนั้นเปียกชุ่ม ดูเหมือนเพิ่งจะงมขึ้นมาจากน้ำ ที่สำคัญคือนางยังตั้งครรภ์อีกด้วย?

จมน้ำ? หนึ่งศพสองชีวิต?

สัญชาตญาณของหมอทำให้เธอไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นอีก กู้จิ้งรีบวิ่งไปตรวจดู พอตรวจดูแล้วก็ต้องโมโหมาก

ในจมูกและปากของผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยดินโคลน ลมหายใจแผ่วเบาจนแทบสัมผัสไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ตาย!

“รีบช่วยสิ รีบช่วย!”

ผู้คนรอบด้านเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความงุนงง จากนั้นก็พากันก้มหน้าร้องไห้ต่อ

เธอถลึงตาใส่ผู้ชายที่กำลังกอดผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ ทันใดนั้นก็ทนไม่ไหวอีก เธอพุ่งเข้าไปผลักผู้ชายคนนั้นให้ถอยออกไปแล้วแย่งผู้หญิงมา “ถ้าไม่รีบช่วยต้องตายแน่!”

ว่าแล้วเธอก็รีบทำความสะอาดดินโคลนที่อุดอยู่ในจมูกและปากของผู้หญิงคนนั้น

ผู้ชายที่ถูกเธอผลักกระเด็นไปเหมือนจะโกรธแค้นมาก เขาถลกแขนเสื้อขึ้นด้วยความโมโหแล้วพาคนมาล้อมเธอเอาไว้ แถมยังตั้งท่าจะยื่นขามาเตะเธออีกด้วย

กู้จิ้งเพิ่งล้วงดินโคลนที่อยู่ในจมูกและปากของผู้หญิงคนนั้นเสร็จ เธอดึงลิ้นของอีกฝ่ายออกมาแล้วปลดเสื้อผ้าให้หลวม กำลังจะพลิกตัวให้นอนคว่ำเพื่อให้น้ำไหลออกมา จู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็พุ่งมาทำร้ายเธอ เธอเองก็หลบไม่ทัน

ขาของผู้ชายคนนั้นเตะโดนหลังเธออย่างแรง ทำให้เธอเจ็บมาก กู้จิ้งหันกลับไปถลึงตาใส่เขา “บัดซบ ไสหัวไป!”

แต่เสียดายที่ผู้ชายคนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง หลังจากชะงักไปเล็กน้อยเพราะสายตาของเธอ เขาก็พุ่งเข้ามาแย่งคนอีก

เธอกัดฟันด้วยความจนใจ

ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งชีวิต ไม่สิ สองชีวิต เวลาที่จะช่วยคนกำลังน้อยลงเรื่อยๆ หากพลาดโอกาสนี้ไป ผู้หญิงคนนี้ต้องตายแน่

กู้จิ้งตัดสินใจพลิกร่างนางให้คว่ำลงโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

ผู้ชายคนนั้นยิ่งโกรธแค้นกว่าเดิม เขาส่งเสียงร้องคำรามราวสัตว์ป่า จากนั้นก็ยกเท้าขึ้นเตะใส่ร่างของกู้จิ้งทันที

 

เซียวเถี่ยเฟิงอยากให้ปีศาจสาวรู้เหลือเกินว่าเขามีไอหยางมากขนาดไหน

บางทีหลังจากนางดูดไอหยางของเขาสักครั้ง นางอาจจะค้นพบว่าไอหยางของเขาดีมากและไม่อาจตัดใจจากเขาไปได้อีก

วันนั้น เขาเอาเสื้อผ้าไปให้นางสวม คิดไม่ถึงว่านางจะมือไม้เก้งก้างจนสวมเสื้อผ้าไม่เป็น

แต่คิดดูก็ไม่แปลก นางเป็นปีศาจงู งูอยู่ในป่าลึกก็ไม่ต้องสวมเสื้อผ้าไม่ใช่หรือ? หนังงูชิ้นเดียวที่มีก็ถูกนางนั่งทับเอาไว้ นางจะมีเสื้อผ้าที่ไหนให้สวมได้อีก

ท่าทางที่นางยกเสื้อผ้าขึ้นดูอย่างเก้ๆ กังๆ แถมยังผิดด้านดูน่าสงสารเหลือเกิน

เขาเดินไปช่วยสวมเสื้อผ้าให้นาง แต่คิดไม่ถึงว่าพอเขาก้มลงผูกสายรัดเอวด้านหลังให้ นางกลับโผเข้ามาสู่อ้อมอกของเขา มือน้อยๆ นุ่มนิ่มโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ร่างหอมกรุ่นซุกแนบแผงอกของเขา นางถึงกับใช้ปลายนิ้วจิกผิวของเขาเบาๆ ด้วย

หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น ใบหน้าและใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นางตัดสินใจจะดูดไอหยางของเขาแล้วอย่างนั้นหรือ?

เซียวเถี่ยเฟิงพยายามสะกดความปรารถนาเอาไว้แล้วค่อยๆ กอดนางไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม

เขากลัวจะทำให้นางตกใจจึงไม่กล้าออกแรงมากนัก

พอได้กอดร่างนุ่มนิ่มหอมกรุ่นไว้แนบอก เขาก็เริ่มคิดสะเปะสะปะ ต่อจากนี้ควรทำอย่างไร นางนุ่มเกินไปหอมเกินไปน่าหลงใหลเกินไป เขาอยากจะ…อยากจะ…

ทันใดนั้น ภาพต่างๆ มากมายก็ปรากฏขึ้นในสมอง ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว แขนทั้งสองกระชับร่างน้อยในอ้อมอกแน่นขึ้น

ชั่วขณะนี้ เขารู้ดีว่าต่อให้นางต้องการชีวิตของเขา เขาก็คงยอมแต่โดยดี

เขาจะมอบไอหยางให้นาง!

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ร่างของเขาก็สั่นรุนแรง

แม้เรื่องนี้จะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่เซียวเถี่ยเฟิงคิดขึ้นมาทีไรก็ยังรู้สึกอับอายอยู่นั่นเอง

เขาทุบต้นไม้ข้างกายด้วยความท้อแท้

เขายากจะยอมรับได้จริงๆ ที่ตัวเองทำตัวไม่เอาไหนต่อหน้าปีศาจสาวแบบนั้น

หลังจากเรื่องน่าอายในครั้งนั้น ปีศาจสาวก็ดูแคลนเขาอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่มองเขาดวงตาของนางจะเต็มไปด้วยแววเย็นชาแกมเยาะหยัน ราวกับจะพูดว่า เจ้ามันก็แค่ทวนอ่อนปวกเปียก ดูดีแต่ใช้การไม่ได้!

หลังจากนั้น ปีศาจสาวก็เปลี่ยนวิธีดูดไอหยางใหม่ นางไม่คิดจะทำอะไรกับเขาอีก แต่เปลี่ยนไปใช้อาคมดูดไอหยางของเขาแทน!

เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งถูกดูดไอหยางไปล้มลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง เขาเห็นปีศาจสาวซึ่งได้ไอหยางของเขาไปวิ่งออกไปข้างนอก ใจก็พอจะคาดเดาได้ว่านางได้ไอหยางไปแล้ว คงคิดจะหนีกลับเข้าไปในป่าลึกสินะ?

“เจ้าสวมรองเท้าสาน จะบาดเท้าเอาได้…” เขาเตือนนางเสียงแหบด้วยกำลังเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่

ปีศาจสาวโง่ๆ อย่างนาง อาคมก็ไม่สูงส่ง แค่ดูดไอหยางก็ต้องลำบากถึงเพียงนี้ เขาเป็นห่วงจริงๆ ว่าหากสวมรองเท้าสานออกไป เท้าของนางจะถูกบาดเป็นแผล เพราะตอนอยู่ที่สวนแตงนางก็เคยวิ่งชนตอไม้มาแล้ว

ในตู้ข้างนอกมีรองเท้าผ้าอยู่…

เขาเพิ่งขอให้คนอื่นช่วยทำให้ ยังไม่ทันได้มอบให้นาง แต่ปีศาจสาวไม่ได้ยินคำพูดแผ่วเบาของเขาสักนิด สิ่งที่ตอบรับกลับมาจึงมีแค่เสียงปิดประตูดังโครมเท่านั้น

ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เรี่ยวแรงของเขาถึงได้ค่อยๆ กลับคืนมา เซียวเถี่ยเฟิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากบ้าน

พอออกไป เขาถึงได้รู้ว่าก่อนหนีไปจากหมู่บ้าน ปีศาจสาวใช้อาคม

“ถังอึของเหล่าหนิวข้างบ้านถูกนางใช้อาคมทำให้ล้มคว่ำ!”

“อย่าพูดถึงเลย เมียเซียวชีหงอุ้มลูกออกมาเดินเล่น พอกลับไปเด็กก็ตกใจร้องไห้อยู่ตั้งหลายวัน!”

“เจ้าหนูสามตระกูลจ้าวโดนอาคม กลับไปล้มหน้าคว่ำไม่ได้สติ ท่านหมอเหลิ่งต้องรักษาอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ ถึงจะฟื้น!”

เสียงฟ้องร้องดังขึ้นทางนั้นทีทางนี้ที สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า…

“ทำไมเจ้าถึงได้มีเมียที่โหดเหี้ยมแบบนี้!”

เซียวเถี่ยเฟิงไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่หยิบเสื้อคลุมขาดๆ มาสวม แบกถุงผ้าเนื้อหยาบใส่มันฝรั่งไว้บนหลัง หยิบน้ำเต้าบรรจุน้ำมาสะพาย เตรียมเดินทางออกจากหมู่บ้าน

“เถี่ยเฟิงเจ้ายังเดินเซอยู่เลย จะไปไหนกัน?” หนิวปาจินคว้าแขนของเขาไว้ไม่ยอมให้เดินต่อ

หนิวปาจินมองออก วิญญาณของเซียวเถี่ยเฟิงคงจะถูกเมียที่มีอาคมคนนั้นล่อลวงไปเสียแล้ว

“ข้าจะไปหานาง” เซียวเถี่ยเฟิงเดินต่อไปโดยไม่หันกลับมามองเสียด้วยซ้ำ

หนิวปาจินกระทืบเท้าด้วยความโมโห “เถี่ยเฟิง อย่าโง่ไปเลย เมียเจ้าเป็นตัวซวย ถ้านางกลับมา เราจะพลอยโชคร้ายกันหมดทั้งหมู่บ้าน!”

เซียวเถี่ยเฟิงหันกลับไปมองหนิวปาจินก่อนจะทิ้งคำพูดเอาไว้เพียงประโยคเดียว

“นางไม่ได้มีจิตใจชั่วร้าย”

จากนั้นเขาก็ก้าวออกจากหมู่บ้านไปท่ามกลางสายตาคาดไม่ถึงของทุกคน

เขาไม่รู้ว่าปีศาจสาวไปที่ไหน และไม่รู้ว่าควรไปหานางที่ไหน

เขาออกค้นหาตามป่าลึก ที่ไหนไม่ค่อยมีคนก็ไปที่นั่น

เขาเจอเสือเจอหมาป่าเจอเสือดาว แถมยังเจอหมาน่าสงสารที่ได้รับบาดเจ็บด้วย

มองดูหมาที่กำลังเลียบาดแผลตัวนั้นแล้ว ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้คิดถึงปีศาจสาวขึ้นมา เขาช่วยใส่ยาสมุนไพรแล้วพันแผลให้มันด้วยความสงสาร จากนั้นก็ตบหัวมันเบาๆ

“อย่าบาดเจ็บอีกล่ะ ต้องรู้จักหลบเสือหลบหมาป่าบ้าง”

เขาค้นหาอยู่ในป่าถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่ก็ไม่พบร่องรอยของปีศาจสาว

“ปีศาจสาวอยากได้ไอหยาง แต่นางรังเกียจข้า ก็เลยไปหาผู้ชายอื่นอย่างนั้นหรือ?”