บทที่ 110.1 ข้าเป็นใครมาจากไหนไม่รู้ เจ้ายังต้องการข้าอยู่อีกหรือ? (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

สภาพอากาศในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ถึงแม้เวลากลางคืนจะมีลมเย็นโชยพัด แต่ที่จริงมันก็ไม่ได้หนาวมากเท่าไรนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหยียนหลิงจวินที่กลัวอากาศหนาวเลย เขาสวมเสื้อหนาวทับไว้หลายชั้นอย่างเกินควรอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว

เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของฉู่สวินหยางที่อยู่ในอ้อมอกเขาจู่ๆ ก็สั่นเทิ้มขึ้นมา

เหยียนหลิงจวินตกใจจนชะงัก แปลกแฮะ จู่ๆ จังหวะการเต้นของหัวใจก็เต้นช้าลงไปหนึ่งจังหวะ

เมื่อตั้งสติกลับมาได้แล้ว มือข้างที่จับเอวของฉู่สวินหยางเอาไว้อยู่ในใต้เสื้อหนาวตัวนั้นก็ออกแรงกดมากขึ้น ประคบจับเอาไว้แน่น แล้วยิ้มถามอีกฝ่ายไปว่า “เป็นอะไรเหรอ?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนและแรงอันหนักแน่นมั่นคงจากฝ่ามือของอีกฝ่าย ประทับลงมาบนร่างกายของตนผ่านชั้นเสื้อผ้าแล้ว ฉู่สวินหยางที่เดิมรู้สึกไม่สบายใจก็ค่อยๆ รู้สึกดีมากขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอก!” ฉู่สวินหยางพูด ริมฝีปากยกขึ้นยิ้มเป็นโค้งสวยงาม นางเงยศีรษะขึ้นมองใบหน้าของเขาแล้วพูดหยอกว่า “แค่จู่ๆ ก็คิดว่าตัวเองนี่โชคดีเหลือเกิน มีเจ้าคอยอยู่เคียงข้าง มันดีเหลือเกิน!”

นางเป็นคนไม่พึ่งพาใครมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นนางแทบไม่เคยพูดคำพวกนี้เลยด้วยซ้ำ

เหยียนหลิงจวินได้ยินดังนั้นเข้า ก็อึ้งคิดตามไม่ทันอยู่นานสักพัก

แววตาของหญิงสาวนั้นใสบริสุทธิ์งดงาม เมื่อยิ้มหวานชื่นขึ้นมาตอนนั้น มันก็ได้กลายเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยที่สุดในใต้หล้าใบนี้แล้ว

งดงามจนรู้สึก…

มันช่างบริสุทธิ์หมดจด

แววตาของเหยียนหลิงจวินเคร่งขรึมลงอย่างไม่รู้สึกตัว เขาโน้มตัวลงมาจุมพิตนางเบาๆ แล้วค่อยประกบปากลงจูบอย่างดูดดื่ม เอ่ยอย่างพูดเล่นทีจริงไปว่า “ผ่ามาตั้งนานขนาดนี้แล้ว เจ้าเพิ่งเห็นข้อดีของตัวข้าหรืออย่างไร?”

ฉู่สวินหยางกลั้นขำ ริมฝีปากยิ้มกว้างหน้าระรื่น เผยให้เห็นฟันสีขาวสะอาด แล้วค่อยๆ กัดริมฝีปากของเขาแล้วขบดึงไม่เบาแต่ก็ไม่แรงนัก จากนั้นถึงค่อยหันออกไปแล้วซุกหน้าลงไปหัวเราะบนแผงอกของเขา “ข้าไม่ได้ไม่มีตาสักหน่อย ข้ามองเห็นข้อดีของเจ้าอยู่แล้ว ใต้หล้านี้คนที่ทำดีต่อข้าขนาดนี้ นอกจากท่านพ่อและท่านพี่ ก็มีแต่เจ้าคนเดียวแล้ว!”

นิ้วมือของเหยียนหลิงจวินสางเข้าไปในเส้นผมในช่วงท้ายทอยของนาง แล้วประคองอีกฝ่ายเอาไว้ให้เอนพิงลงมาที่ตน ทว่าแววตาที่เคยส่องประกายเต็มไปด้วยรอยยิ้มความรู้สึกดีนั้น จู่ๆ ก็มืดมนลงไปเล็กน้อย

วินาทีที่ก้มศีรษะมองหญิงสาวที่ร่างกายโอนอ่อนเคลื่อนไหวไปตามการกระทำของเขาเหมือนอย่างกระต่ายตอนนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

ซินเป่าของเขาเนี่ยนะ ที่จริงแล้วเป็นเด็กดีเชื่อฟังก็ได้เหมือนกันนี่ หรือว่าตั้งแต่ตอนแรกนางไม่ได้เป็นคนที่กีดกันไม่ต้องการพึ่งพาใคร แต่ทำไปเพราะสังคมกดดัน ทำให้นางต้องสร้างเกราะให้ตัวเอง ทำให้ตัวเองดูน่าเกรงขามขึ้นมาต่อหน้าผู้คน

“ซินเป่า!” เขาใช้ฝ่ามือนวดท้ายทอยให้นาง

“หืม?” ฉู่สวินหยางขานตอบเสียงเบา แล้วลุกขึ้นออกจากอ้อมกอดของเขา

ทั้งสองคน ดวงตาสี่ดวงสบมองกัน

ริมฝีปากของเหยียนหลิงจวินยิ้มขึ้นบางๆ ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจออกมา “ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระชายารองแซ่ฟางไม่สนิทกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วรึ?”

เหตุการณ์ผ่านมาตั้งหลายครั้งขนาดนี้ ถ้าพูดแค่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนแซ่ฟางกับฉู่สวินหยางมันไม่สนิทกัน นั้นก็ถือว่าเกรงใจมากแล้ว

แต่จากที่เหยียนหลิงจวินได้พบเห็นหลายครั้งนั้น…

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางสองแม่ลูกมันไม่ใช่แค่ไม่สนิทกัน?

แต่พูดได้ว่าเย็นชาจนรังเกียจที่จะสนใจเลยด้วยซ้ำไป

ระหว่างพวกนางสองแม่ลูกนั้นเย็นชากันขนาดนั้น ถึงแม้จะเป็นคนของราชวงศ์ แต่มันก็น้อยนักที่จะได้เห็นแบบนี้

ถึงแม้ฉู่สวินหยางจะไม่สนใจแยแสเรื่องนี้มากแค่ไหน แต่ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ปัญหานี้มันอ่อนไหวมากเกินไป

เพราะฉะนั้นถึงแม้จะรู้สึกสงสัย แต่เหยียนหลิงจวินก็อดทนเก็บเอาไว้อยู่นานไม่กล้าเอ่ยถามขึ้น

แต่วินาทีนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา หัวใจของเขาเต้นรัว จ้องมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายโดยไม่กล้าปล่อยวางเลยแม้แต่น้อย

“นางรึ?” คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อฉู่สวินหยางได้ยินเข้า นางยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย เบ้ปากพูดอย่างไม่แยแส “นางไม่ชอบข้า เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือไง?”

สีหน้าท่าทีของนางปกติเหมือนเคย ขนาดแววตาก็ยังกระจ่างชัดแจ่มแจ้ง ไม่มีวี่แววว่าจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย

เหยียนหลิงจวินมองแล้วก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น

“งั้นเขาทำอะไรให้เจ้าบ้างล่ะ?” เขาถาม

ฉู่สวินหยางปรายตามองดูแววตาจริงจังเคร่งขรึมของเขา ก็เหมือนราวกับว่าความเย็นชาของคนแซ่ฟางนั้นมันทำให้นางเจ็บปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัวแบบนั้น จนในที่สุดก็หัวเราะออกมาอย่างอดใจไม่ได้แล้วพูดว่า “ระหว่างข้ากับนางต่างคนต่างอยู่กันนั่นแหละ ข้าชินมาตั้งนานแล้ว ต่อหน้าคนอื่นก็แสดงละครว่าเป็นแม่ลูกปรองดองกันดี จะพูดถึงความรู้สึกที่มีให้กันหรือ? ขอเยอะเกินไปหรือเปล่า?”

สำหรับคนแซ่ฟาง ฉู่สวินหยางไม่เคยคิดที่จะพึ่งพาฝากชีวิตไว้กับนางเลยสักนิด แต่แค่ตอนที่พูดถึงประโยคสุดท้ายตอนนั้น นางไม่ทันได้ควบคุมอารมณ์ให้ดี จนเผลอหลุดยิ้มขมขื่นออกมา

เหยียนหลิงจวินมองนางด้วยสีหน้าสับสน ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมา

ฉู่สวินหยางถูกจ้องมองอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ได้ เลยยกแขนสอดโอบเอวเขาเอาไว้แล้วซุกตัวลงไปในอ้อมอกอีกฝ่าย หัวเราะแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงออดอ้อน “ที่ข้าพูดไปทั้งหมดนั้นคือความจริงนะ ข้าไม่สนหรอกว่านางจะทำกับข้าอย่างไร นาง…นางไม่ใช่ท่านแม่ของข้า!”

ฉู่สวินหยางพูดรัว ฟังแล้วรู้สึกเหมือนจะประชดประชันอยู่เลย

เหยียนหลิงจวินชะงักไปชั่วครู่ กล้ามเนื้อร่างกายเองก็อดที่จะเกร็งตึงขึ้นมาไม่ได้

เขาพยายามตั้งสติ

เขาก้มลงมอง แล้วพยายามดึงตัวฉู่สวินหยางออกมา เชยคางนางขึ้นเพื่อที่จะได้มองสีหน้าและแววตาที่เปลี่ยนไปเล็กๆ นั่นของนางอย่างชัดเจน

“หืม?” เขาจ้องมองหน้านางนิ่ง

ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ สองมือโอบเอวของเขาเอาไว้แน่น เนื่องด้วยนางกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยมือออก ทำให้ร่างกายของนางแนบชิดลงไปบนแผงอกของเหยียนหลิงจวิน ตอนนี้ยังถูกอีกฝ่ายบังคับให้เงยหน้าขึ้น ท่าทางแบบนั้นดูแล้วมันช่างน่าขันและแปลกเหลือเกิน

สีหน้าของเหยียนหลิงจวินจริงจังเคร่งขรึม ราวกับว่าตรงหน้าเป็นศัตรูแบบนั้น

“เจ้าก็เห็นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ว่านางไม่ได้ทำดีกับข้าเลย นางไม่ชอบข้า มีแม่แท้ๆ ที่ไหนทำกับลูกแบบนี้บ้างล่ะ?” ฉู่สวินหยางเองก็ไม่เกรงกลัว นางยังคงยิ้มสบตามองเขา

ไม่ใช่ทำเป็นว่าเข้มแข็ง แต่เพราะนางรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีความรู้สึกผิดกดดันเลยแม้แต่น้อย

นางเชื่อมั่นในตัวเขา จนถึงขั้นคลั่งไคล้แล้วก็ว่าได้

แต่เห็นได้ชัดว่า คำตอบสองแง่สองง่ามที่นางให้ไป มันไม่ทำให้เหยียนหลิงจวินพึงพอใจเลย

เขาจ้องมองดวงตานางด้วยแววตาเป็นห่วงกังวลอย่างถึงขีดสุด ถึงแม้จะไม่พูดอะไร แต่ความหมายที่สื่อออกมานั้นก็ชัดเจน

“ข้าอยาก…” ฉู่สวินหยางกลอกตาไปมา ยิ้มเย้ายวนและขี้เล่น “เหมือนว่าท่านพ่อข้าไปหลงรักผู้หญิงสักคนแล้วให้กำเนิดข้ามา จากนั้นเพื่อความสะดวก เขาเลยจดชื่อข้าไว้ภายใต้นามของคนแซ่ฟาง? เพราะงั้นนางเลยไม่ชอบใจ? เพราะงั้นนางก็เลยไม่ชอบข้าไง?”

ทุกประโยคที่นางพูดออกมามันสั้นกระชับได้ใจความและประโยคสุดท้ายยังจงใจพูดเสียงสูงอีก แถมยังแฝงไปด้วยอารมณ์ที่ต้องการให้คาดเดาอีกด้วย พูดเองเออเอง ราวกับว่าเรื่องนี้มันสนุก จากนั้นก็หัวเราะออกมา

“ซินเป่า!” นางเป็นแบบนี้ เหยียนหลิงจวินก็เลยไม่รู้ว่าสิ่งที่นางพูดมานั้นอันไหนเป็นความจริงบ้าง จึงอดไม่ได้ที่จะเรียกชื่อนางเสียงแข็ง

แววตาของฉู่สวินหยางยังคงยิ้มอยู่ ภายในลูกตานั้นเต็มไปด้วยละอองน้ำ มองแล้วเหมือนว่าหัวเราะจนน้ำตาไหล

เหยียนหลิงจวินตกใจชะงักไป จู่ๆ ก็รู้สึกว่าถูกอะไรบางอย่างถูไถเข้าอย่างแรง จนอ่อนระทวยไม่เหลือชิ้นดีขึ้นมาฉับพลัน

เมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนจะขมวดคิ้ว ฉู่สวินหยางก็รีบซุกหน้าตัวเองเข้าไปในอ้อมอกของเขา

ครั้งนี้นางหันหน้าตะแคงเล็กน้อย แนบแก้มของตนลงไปบนหน้าอกของอีกฝ่าย ฟังเสียงจังหวะหัวใจที่อยู่ข้างใต้นั้นเต้นตึกตัก