ทันใดนั้น กู่ฉิงซานตื่นขึ้นมา

นี่ไม่ใช่ยุคโบราณ แต่เป็นในอีกหนึ่งหมื่นปีต่อมา!

เหมือนกับช่วงภัยพิบัติแห่งไฟ ในสี่ภัยพิบัติยิ่งใหญ่ เขาหลบหนีจากภาพซ้อนทับแห่งเวลาจนกลับสู่กระแสเวลาของตัวเอง

กู่ฉิงซานมองพายุสีเทาไร้พรมแดนก่อนกล่าวอย่างระแวดระวังว่า “ขอโทษด้วย ข้ามาที่นี่เพื่อก้าวข้ามภัยพิบัติของท่าน จะเป็นปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีปัญหา นี่คือสัญญาโบราณที่ข้าลงนามกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างพวกเจ้า ระยะเวลาคือนิรันดร์” พายุสีเทาขนาดยักษ์ตอบ

“สัญญาหรือ” กู่ฉิงซานอดที่จะถามไม่ได้

“ถูกต้อง ผู้ฝึกยุทธคือสิ่งมีชีวิตแสนวิเศษในเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นผู้นำแหล่งกำเนิดพลังทั้งหมดมาเสริมสร้างตัวเอง” เสียงของยักษ์ดังชัด “ดังนั้นพวกเจ้าถึงลงนามสัญญาโบราณกับข้าเพื่อให้ได้รับบางสิ่งมา มีทั้งประสบการณ์และการรับรู้ถึงพลังของเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งดิน”

“พลังของเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งดินหรือ”

ยักษ์เห็นสีหน้าสับสนของกู่ฉิงซานจึงกล่าวว่า “พูดง่ายๆ ก็คือ ร่างชีวิตไม่สามารถออกจากโลกที่ถูกสร้างโดยสี่เสาศักดิ์สิทธิ์ได้”

“ข้ารู้เรื่องนี้ สี่เสาศักดิ์สิทธิ์มีดิน น้ำ ไฟและลม พวกมันคือตัวแทนองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก” กู่ฉิงซานกล่าว

“คิดแบบนั้นก็ไม่ผิด สำหรับร่างชีวิต เสาศักดิ์สิทธิ์แห่งดินเป็นตัวแทนของร่างกาย”

ยักษ์ถอนหายใจยาวออกมาขณะพูดด้วยน้ำเสียงที่ช้าลง

“ร่างชีวิตคิดเสมอว่าพวกมันคือนายเหนือหัวของทุกสิ่ง แต่ความจริงแล้วพวกมันถูกปกครองโดยร่างกายตัวเอง ถูกควบคุมด้วยเวลา ถูกจำกัดด้วยมิติ ถูกกำหนดโดยกฎเกณฑ์การขับเคลื่อนทุกสรรพสิ่ง”

“ถูกปกครองโดยร่างกาย…ข้าไม่เข้าใจจุดนี้น่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว

ยักษ์ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เพราะเจ้าคือผู้ฝึกยุทธ ความปรารถนาที่แสดงออกจากร่างกายของเจ้าจึงไม่สามารถอยู่เหนือเจตจำนงได้ ดังนั้นเจ้าจึงสามารถมาหาข้าได้เพื่อยืนหยัดรับบททดสอบพลังแห่งดิน”

กู่ฉิงซานเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง

พลังของแหล่งกำเนิดดินเป็นตัวแทนของร่างกาย ไม่สงสัยเลยว่าพลังทั้งหมดในร่างกายจะไม่สามารถใช้ได้

ในภัยพิบัตินี้ เขาต้องใช้วิธีอื่นในการเอาชนะพันธนาการนี้บนร่างกายในฐานะคนธรรมดาเพื่อความอยู่รอด

“ขอบคุณที่ชี้แนะ ข้าสงสัยว่าทำไมท่านถึงมาพบข้า” กู่ฉิงซานถาม

ในฐานะผู้ใช้วิชาดาบ กู่ฉิงซานมักแสดงความเคารพต่อฝ่ายตรงข้ามเสมอยามสนทนาถึงเรื่องพวกนี้

ยักษ์เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา

“ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา มีปัญหานิดหน่อยในโลกใบนี้”

“ผีดิบหรือ”

“ใช่ ถึงแม้พวกมันจะวิวัฒนาการอย่างเชื่องช้า แต่ข้าไปดูอนาคตมาแล้วจนเห็นภาพพวกมันกำลังทำลายทุกสิ่ง…เพราะการทำลายล้างของพวกมัน ทำให้พละกำลังของข้าค่อยๆ อ่อนแอจนต้องออกมาสู้ มันเป็นจุดจบที่น่าเศร้านัก”

“สิ่งเหล่านี้ไม่มีค่าจะกล่าวถึงยามอยู่ต่อหน้าท่าน ทำไมถึงไม่คลี่คลายด้วยตัวเองไปเลยล่ะ” กู่ฉิงซานสงสัย

“พวกมันไม่ได้ใช้พลังอะไร แต่เป็นการกลายพันธุ์จากภายในร่างกาย นี่ถือว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของข้า ทำให้ไม่สามารถลงมือได้”

ยักษ์ถอนหายใจขณะกล่าวต่อว่า “ข้าได้จำกัดโลกให้อยู่ในสภาพที่เข้มงวดที่สุด ไม่มีพลังพิเศษใดที่สามารถมาที่นี่ได้ ดังนั้นข้าไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์เพิ่มอีกได้ ไม่อย่างนั้นโลกจะพังทลาย”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”

“ผู้ฝึกยุทธเอ๋ย เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้อีกหลายวัน หากสามารถช่วยข้าคลี่คลายปัญหาของผีดิบภายในไม่กี่วันนี้ได้ ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้า”

กู่ฉิงซานฟังอย่างตั้งใจก่อนยิ้มขมขื่นออกมา “โลกของท่านกว้างใหญ่ ข้าสูญสิ้นพละกำลังทั้งหมดไป เป็นเพียงคนธรรมดา คงไม่สามารถช่วยโลกของท่านทั้งหมดได้หรอก”

ยักษ์กล่าวว่า “พลังในร่างกายของเจ้าไม่สามารถใช้ได้จริง นี่คือกฎเกณฑ์ของดิน”

“แต่เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธที่ฉลาดมาก มีความช่างสังเกตและเปี่ยมด้วยความรอบรู้ นอกจากนี้ เจ้ายังมีพลังที่เหลือเชื่ออีกด้วย ข้าคิดว่าเจ้ามีหวังที่จะอยู่รอดในโลกใบนี้ ดังนั้นข้าจึงมาพบเจ้าด้วยตัวเอง”

กู่ฉิงซานสับสนเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงพลังอะไร…”

ก่อนจะทันได้พูดจบ นิ้วหนึ่งได้ยื่นออกมาจากพายุสีเทาก่อนแตะตรงหว่างคิ้วของเขา

เสียงของยักษ์ดังขึ้น

“นี่ไม่ใช่พลังที่ร่างกายของเจ้าครอบครอง ไม่ใช่บัญญัติอันโหดเหี้ยมที่โหลดอยู่ในตัวเจ้า”

“สิ่งนี้มาจากพลังที่ไม่รู้จัก ไม่ได้เป็นของหุบเหวนิรันดร์ ดังนั้นข้าจึงไม่คุ้นเคย แต่มันคัดลอกบางสิ่งแล้วเก็บพลังอันเหลือเฟือเอาไว้ เมื่อเจ้าใช้พลัง ย่อมไม่ขัดต่อกฎเกณฑ์ของดินแดนนี้”

สิ้นเสียงของมัน ไอคอนหนึ่งปรากฏขึ้นในความว่างเปล่าตรงหน้ากู่ฉิงซาน

บนไอคอนนั่น กริชสีทองถูกสลักเอาไว้

กู่ฉิงซานมองไอคอนดังกล่าวอย่างเหม่อลอย

เขาจำได้ว่าหลังจากสังหารเทพแห่งความเย็นยะเยือกในป่าหยกเย็นเยือก เพื่อรับบทบาทเป็นเทพ เขาจึงใช้พลังวิญญาณเพื่ออัปเกรด “สกิลเทพสงคราม”

จากนั้นเขาได้เรียนรู้สกิลของเทพแห่งความเย็นยะเยือกโดยอาศัยวัฏจักรเยือกแข็ง

พอมองย้อนกลับมาจนถึงตอนนี้ สถานการณ์ในตอนนั้นช่างเด่นชัดนัก

“ข้าจะใช้พลังวิญญาณหนึ่งล้านแต้มเพื่ออัปเกรดสกิลของเทพสงคราม”

“ได้รับพลังวิญญาณหนึ่งล้านแต้มแล้ว สกิลของเทพสงครามได้รับการอัปเกรด” หน้าต่างระบบเทพสงครามกล่าว

“อัปเกรดเสร็จเร็วขนาดนี้เลยหรือ” เขาถาม

“ใช่แล้ว ระบบเตรียมพร้อมทุกเมื่อ” หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบ

“แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในระบบเลยล่ะ” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย

หน้าต่างระบบเทพสงครามนิ่งไปสักพัก

เขาเห็นไอคอนเทพสงครามบนหน้าต่างระบบผุดขึ้นมา

“เห็นหรือยัง คราวนี้ก็มีไอคอนผุดขึ้นมาแล้ว”

หน้าต่างระบบเทพสงครามกล่าวด้วยน้ำเสียงเจื่อน

กลายเป็นว่าในช่วงเวลานั้น หน้าต่างระบบเทพสงครามได้เตรียมการทุกสิ่งเอาไว้แล้ว!

กู่ฉิงซานพลันนึกถึงบทสนทนาระหว่างหน้าต่างระบบเทพสงครามกับตัวเขาเองตอนกองทัพมนุษย์ทำงานในกำแพงเมืองเหล็กกล้า

“เจ้าสั่งสมพลังวิญญาณมาก็เพื่อการนี้งั้นหรือ” เขาถาม

“เปล่า ข้าเพียงหวังว่าการเตรียมการของข้าจะเพียงพอ” หน้าต่างระบบเทพสงครามตอบ

ใช่แล้ว ไอคอนนี้คือวิชาของเทพสงคราม

ราชามารแห่งอารัมภบทขึ้นแถวตัวอักษรโลหิตขนาดเล็กอย่างต่อเนื่องเพื่ออธิบายไอคอนนี้

“ค้นพบระบบพลังน่าสงสัย”

“แหล่งกำเนิด: ไม่ทราบ”

“หลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว จึงขอเขียนคำอธิบายดังต่อไปนี้”

“ชื่อ: สกิลของเทพสงครามรุ่นใหม่ มีพลังวิญญาณสามแสนแต้ม สามารถใช้ให้ท่านเรียนรู้สกิลได้”

“ระบบพลังนี้มีความสามารถการเรียนรู้พิเศษ ไม่เป็นอันตรายใดๆ”

“เงื่อนไขการทำงาน: จะใช้ได้เมื่อจำเป็นเท่านั้น”

“วัตถุที่ไม่รู้จักถูกตรวจพบโดยร่างชีวิตคล้ายโลก ทำให้ตอนนี้ทำงานอย่างเป็นทางการ”

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว

กลายเป็นว่าไอคอนที่ขยับได้นั้นคือสิ่งที่หลงเหลือไว้ให้เขาอยู่แล้ว

การเตรียมการทั้งหมดของหน้าต่างระบบเทพสงครามมีประโยชน์มาก

มีอารมณ์ที่ไม่อาจเอ่ยเป็นคำพูดได้อยู่ในใจของกู่ฉิงซาน

พายุสีเทาขนาดยักษ์มองกู่ฉิงซานแล้วถามว่า “เจ้าจะช่วยข้ารักษาโลกนี้เอาไว้หรือไม่ ถ้าหากทำ ข้าจะตบรางวัลให้กับเจ้าเช่นกัน”

กู่ฉิงซานสงบลงก่อนตอบว่า “เอาเถอะ ข้าสามารถลองได้ แต่ข้าอยู่ที่นี่ได้อีกไม่กี่วันเท่านั้น เวลามีจำกัดมาก…ข้าช่วยท่านได้ก็จริง แต่ท่านช่วยอำนวยความสะดวกให้หน่อยไม่ได้หรือ”

ยักษ์ครุ่นคิดสักพักก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่ตัดสินใจแล้วว่า “ข้าจะให้ความช่วยเหลือเจ้าบางส่วนก็แล้วกัน”

“ความช่วยเหลือหรือ สิ่งที่คลุมเครือเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด”

กู่ฉิงซานถามด้วยความผิดหวัง

ยักษ์ยิ้มแล้วตอบว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะโชคดี”

หลังจากพูดจบ มันกลายเป็นพายุสีเทาก่อนหายไปจากกู่ฉิงซานจนสิ้น

ภาพนิมิตทั้งหมดพลันหายไป

กู่ฉิงซานพบว่าเขายังยืนอยู่บนระเบียงของคฤหาสน์เพื่อทำหน้าที่คุ้มกัน

ตรงสายตาของเขา ราชามารแห่งอารัมภบทกลับมาแล้ว

“วิชาเทพสงคราม” ที่ถูกสลักใหม่ลอยอยู่เหนือหน้าต่างระบบของราชามารแห่งอารัมภบท ดูเหมือนมันจะแยกออกจากกัน

กู่ฉิงซานมองแล้วกล่าวกับตัวเองว่า “คุณผู้ช่วย ดูท่าพวกเรายังต้องสู้ด้วยกันอีกนะ”

เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง

“สู้ด้วยกันหรือ”

ชายผมดำยืนขึ้นด้วยดวงตาง่วงงุนก่อนกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าอันตรายที่ฉันจะเผชิญหน้าในคราวต่อไปจะเป็นอย่างไร ฉันจะเรียกคุณก่อน นักวิทยาศาสตร์กู่ฉิงซาน”

“ไม่มีปัญหา” กู่ฉิงซานยิ้ม

มีเสียงเดินมาจากบนขั้นบันได

สองสาวเตรียมอาหารเช้ามาให้พวกเขาบนระเบียงแล้ว

“นี่อาหารเช้า เมื่อวานพวกคุณพยายามกันมาก” หญิงสาวยิ้มอย่างอ่อนหวาน

ตอนนี้ คนอื่นๆ ตื่นแล้วเช่นกัน

หลายคนนั่งหาวขณะสนทนาไปพลางกินไปพลาง

“ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าจะรับมือกับสัตว์ประหลาดพวกนั้นยังไง พวกเราควรทำอะไรต่อดีล่ะ”

เหล่าหลี่หยิบขนมปังก่อนถามอย่างไม่ใส่ใจ

ชายผมบลอนด์จิบไวน์แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ฉันคิดว่าเราควรฟังความเห็นของนักวิทยาศาสตร์นะ”

หลายคนมองมาทางกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานกินไข่ดาวแล้วกล่าวว่า “ผมอยากไปจากที่นี่เพื่อสำรวจเมืองใหญ่น่ะ”

“เมืองใหญ่มันอันตรายนะ” หญิงสาวค้าน

“แต่ถ้าผมอยากเปลี่ยนสถานการณ์ ผมต้องไปสถานที่ที่เทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าเพื่อเจอกับเกราะศึกเคลื่อนที่เหล่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว

“พวกเราต้องหาทางรับมือกับสัตว์ประหลาด ทำไมไม่อยู่ที่นี่เสียล่ะ…เห็นได้ชัดว่าที่นี่ปลอดภัย” เหล่าหลี่ถาม

กู่ฉิงซานตอบอย่างอดทนว่า “สัตว์ประหลาดเหล่านี้กำลังวิวัฒนาการ สักวันพวกมันจะไร้เทียมทาน ดังนั้นพวกเราต้องคลี่คลายปัญหานี้ก่อนจะถึงตอนนั้น”

หลายคนจมสู่ความคิด

ถึงตรงนี้ หลายทางเลือกช่างลำบากจริงๆ

“มันไม่สำคัญหรอก พวกคุณสามารถอยู่ที่นี่ได้ ผมจะไปที่นั่นเพียงคนเดียว” กู่ฉิงซานยิ้ม

“ฉันจะไปกับคุณ” ชายผมบลอนด์พูดก่อน”

“ถ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย ฉันเต็มใจไปกับคุณเพื่อลองสักตั้ง” เหล่าหลี่กล่าว

“ฉันยังคิดว่าที่นี่ปลอดภัยที่สุด คงไม่ขอไปเสี่ยงหรอก” ชายผมดำกล่าว

หญิงสาวลังเลก่อนกล่าวอย่างขลาดกลัวว่า “ฉันไม่ไปเหมือนกัน ฉันต้องดูแลสองสาว”

กู่ฉิงซานปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร ไม่สำคัญหรอก ต้องมีใครบางคนอยู่ที่นี่จริงๆ เผื่อมีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยพวกเราต้องมีหนทางหนีสักทาง”

หญิงสาวชำเลืองมองเขาด้วยความคาดไม่ถึง

กู่ฉิงซานไม่สนใจการตอบสนองของอีกฝ่าย

เขาเริ่มคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อ

นี่คือส่วนลึกของทะเลทราย ถ้าอยากไปจากที่นี่เพื่อมุ่งสู่เมืองที่ใกล้ที่สุด ต่อให้ขับรถไปก็ต้องใช้เวลาทั้งวัน

ไม่สะดวกเลยจริงๆ

“คงจะดีถ้าพวกเรามีเครื่องบิน…” กู่ฉิงซานกระซิบเสียงต่ำ

ชายผมบลอนด์ยักไหล่แล้วกล่าวว่า “เครื่องบินลำเดียวของพวกเราถูกพ่อของฉันเอาไปใช้แล้ว”

เหล่าหลี่กล่าวเช่นกันว่า “ดังนั้นพวกเราใช้ได้แค่รถบรรทุก…ความจริง มันก็ไม่เลวร้ายหรอก เพราะว่าสามารถขนของได้หลายอย่างยังไงล่ะ”

หลายวินาทีต่อมา

ครืน

มีเสียงคำรามมาจากท้องนภา

หลายคนมองรอบข้าง

เขาเห็นเครื่องบินมาจากท้องนภาพร้อมควันโขมงจากส่วนหาง

เห็นได้ชัดว่าเครื่องบินพบเมืองก่อนขับวนไปมาเพื่อลงจอดฉุกเฉินบนถนนที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองนัก

บนระเบียง หลายคนตกตะลึง

“เออ นักวิทยาศาสตร์ เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ”