บทที่ 333 จิตใจมู่เหมี่ยนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บบที่ 333 จิตใจมู่เหมี่ยนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ในรถม้านั้นเงียบลงสงัด ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ยินเสียงบางอย่างร่วงลงมาบนรถม้า อาอวี่จึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าอีกาน้อยกลับมาแล้ว”

“ให้นางเข้ามา” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางม่านหน้าต่างของรถม้า ก่อนจะเปิดออก เจ้าอีกาน้อยจึงได้โบยบินเข้ามาจากด้านนอก มาเกาะบนไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น

มู่เหมียนมองไปบนต้นขาอย่างเหม่อลอย ในระหว่างที่ใจลอยนั้น ก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

ฉีเฟยอวิ๋นลูบไปบนศีรษะที่ดูเย่อหยิ่งของเจ้าอีกาน้อย : “กลับมาแล้วก็พักผ่อนเสียหน่อย ไปอยู่ในอ้อมกอดของเจ้าจิ้งจอกน้อยไป”

เจ้าอีกาน้อยไม่ยินยอมเป็นธรรมดา นางมองไปยังเจ้าจิ้งจอกน้อยที่ขดตัวนอนอยู่ จึงฝืนหลับในอยู่บนไหล่ของฉีเฟยอวิ๋น

เมื่อรถม้ามาถึงจวนกั๋วจิ้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็พาเจ้าอีกาน้อยวางลงข้างกายของเจ้าจิ้งจอกน้อย : “อย่าทะเลาะกันละ”

จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นและเดินลงจากรถม้าไป เวลานี้มู่เหมียนยังคงเหม่อลอยอยู่ ในขณะที่ลงจากรถม้านางเกือบสะดุดล้มทีเดียว สร้างความตกใจให้แก่ฉีเฟยอวิ๋นเป็นอย่างมาก

นางหันไปมองมู่เหมียน ซึ่งก็เห็นว่ามู่เหมียนไม่เป็นอะไร เหมือนกับพยายามปกปิดความตื่นตกใจกับนาง

ไม่ทันรอให้ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวสิ่งใด มู่เหมียนก็แสร้งมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็เดินเข้าจวนกั๋วจิ้วไป

ทันทีที่ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในจวนกั๋วจิ้วก็มีคนเดินออกมา ครั้นเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็กุลีกุจอเดินมาด้านนี้ เพื่อต้อนรับฉีเฟยอวิ๋น

คนผู้นี้เป็นจวิ้นอ๋องของจวนกั๋วจิ้ว เป็นพี่ใหญ่ของมู่เหมียน แต่อายุอานามกลับมากกว่ามู่เหมียนมากโข กระทั่งเป็นพ่อของมู่เหมียนเห็นจะได้

“พระชายาเย่” หวังเสียนโค้งคำนับพร้อมกล่าวทักทายกับฉีเฟยอวิ๋น ในจังหวะนี้ฉีเฟยอวิ๋นได้มองพิจารณาเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน รู้ว่าหวังเสียนเป็นผู้ใด เขาเป็นบุตรชายคนโตของต้ากั๋วจิ้ว รับหน้าที่สืบทอดฐานันดรอันสูงศักดิ์ของผู้เป็นบิดา ตอนนี้ได้ดำรงตำแหน่งเป็นจวิ้นอ๋องเป็นที่เรียบร้อย

“เสียนจวิ้นอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางมู่เหมียนที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่งแล้วจึงกล่าวทักทาย

“เสด็จแม่ทรงไม่มีอาการปวดหัวแล้ว แต่หลายวันนี้ท่านยังคงนอนอยู่บนเตียงอยู่ตลอดไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ พร่ำบอกว่าไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ทราบว่าพระชายาเย่พอจะมีวิธีการใดที่ช่วยเสด็จแม่ให้พ้นความทุกข์ทรมานเช่นนี้บ้าง” เสียนจวิ้นอ๋องเป็นคนที่ดูไปแล้วเรียบง่ายและซื่อสัตย์มากผู้หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่กล้าที่จะปฏิเสธคนเช่นนี้ ในขณะที่เขาพูดนั้นฉีเฟยอวิ๋นได้เดินยังลานหลังจวนแล้ว

เสียนจวิ้นอ๋องเดินตามมาตลอดทาง ฉีเฟยอวิ๋นจึงถือโอกาสนี้ชวนคุยสองสามเรื่อง

“ฮูหยินกั๋วจิ้วไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง เพียงแต่โรคนี้มาจากเลือดที่อุดตันอยู่ในสมอง หากรักษาได้ทันเวลา จะสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ขาคู่นั้นของนางก็จะไม่เป็นไร แต่หากช้าไปเพียงเสี้ยวนาที เกรงว่าคงไม่ทันการณ์ อาจจะเกิดผลกระทบต่อการเดินของขาคู่นั้นได้เจ้าค่ะ”

“หา….เรื่องนี้จะต้องมีทางรักษาสิ หลายวันมานี้เสด็จแม่นอนติดเตียงมาตลอด นางบอกว่าขาของนางไม่มีแรง” ทันทีที่ได้ยินว่าขาของเสด็จแม่จะใช้การไม่ได้อีกแล้ว เสียนจวิ้นอ๋องก็ยิ่งมีสีหน้ากระวนกระวายใจ

“ขอดูอาการก่อนแล้วค่อยว่ากันเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่ได้เป็นกังวลมากเพียงนั้น

ทันทีที่เข้าไปฉีเฟยอวิ๋นก็มุ่งตรงไปจนกระทั่งเจอะเจอกับหวังฮวายเต๋อ เขาคือกั๋วจิ้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินเข้าไปน้อมทักทาย : “กั๋วจิ้ว”

“พระชายาเย่ไม่ต้องเกรงใจหรอก เชิญด้านใน”

เปรียบเทียบกับคราที่แล้ว ครานี้กั๋วจิ้วหวังฮวายเต๋อพูดได้ว่ามีความอ่อนโยนอย่างมาก ซึ่งฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตของฮูหยินกั๋วจิ้วต้องรักษาไว้ให้จงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างที่ฉีเฟยอวิ๋นกระทำล้วนต้องซาบซึ้งใจเป็นธรรมดา

หวังฮวายเต๋อผู้นี้ดูเหมือนจะเข้าหาได้ยาก แต่ก็เป็นคนที่มีน้ำใจ เขารู้จักกตัญญูรู้คุณ

ยิ่งไปกว่านั้นถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นอาของหนานกงเย่ บางทีคนภายนอกอาจจะคิดว่าเขาไม่เห็นหนานกงเย่อยู่ในสายตา แต่พระพันปีเคยกล่าวไว้ เขาช่างดีกับหนานกงเย่มาก

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า พลางเดินไปหน้าเตียงของฮูหยินกั๋วจิ้ว

แม้ว่าจะไม่ชอบท่านอ๋องกั๋วจวิ้น แต่เจ้าตัวก็ได้สิ้นลมหายใจไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินว่าฉงหยางจวิ้นจู่จะทำสิ่งใดที่มันเกินเลยด้วย ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่ได้โต้เถียงสิ่งใด

ชีวิตคนอย่างไรก็ต้องช่วย ถึงอย่างไรนางก็เป็นหมอ

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง ฮูหยินกั๋วจิ้วจึงได้ลืมตาขึ้นมา หลายวันมานี้นางต้องอดทนอย่างมาก เพียงแต่หากเทียบกับความเจ็บปวดเจียนตายเมื่อครั้งอดีต ครานี้ดีขึ้นกว่าเล็กน้อย แต่ใบหน้าของนางยังคงบวม ทั้งยังดูเคล้าโครงหน้าที่งดงามแต่เดิมของนางไม่ออกด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าพลางกล่าวทักทาย : “ขอคารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”

“ลำบากพระชายาเย่หน่อยนะ พระชายาเย่คงจะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ทั้งยังตั้งครรภ์ด้วย คงจะเหนื่อยกับเส้นทางที่ขรุขระไม่เรียบมาตลอดทาง! เพิ่งกลับมาถึงก็ยังต้องมาดูอาการข้า เกรงใจจริง ๆ แต่ข้าเองก็จนปัญญากับร่างกายที่ไม่มีเรี่ยวแรงนี้ ข้าไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวมาก ถึงอย่างไรก็ต้องเชิญพระชายาเย่มา”

ได้ยินคำพูดเหล่านี้ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกเหนือความคาดหมาย ปกติมักเห็นฮูหยินกั๋วจิ้วที่เข้าหาได้ยาก แต่ดูจากสิ่งที่นางลั่นวาจาออกมาในตอนนี้ นางดีกว่ามู่เหมียนมากทีเดียว

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวปลอบใจเหมือนกับผู้ป่วยคนอื่น ๆ ว่า : “ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น หม่อมฉันขอตรวจอาการของฮูหยินกั๋วจิ้วก่อนนะเจ้าคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นจับข้อมือของฮูหยินกั๋วจิ้ว เพื่อตรวจจับชีพจรโดยรวม

เมื่อปล่อยมือฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้นตรวจขาของฮูหยินกั๋วจิ้ว ตรวจตั้งแต่ด้านบนไปจนถึงด้านล่างหนึ่งรอบ ฉีเฟยอวิ๋นหยิบเข็มเงินออกมา และทำการฝังเข็มให้กับฮูหยินกั๋วจิ้ว

รอชั่วครู่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ดึงเข็มออก จากนั้นก็ประคองฮูหยินกั๋วจิ้วให้ลุกขึ้น

ฮูหยินกั๋วจิ้วยังคงมีความกลัว แต่ฉีเฟยอวิ๋นคอยประคองนางให้ลุกขึ้น นางจึงทำได้แค่ต้องร่วมมือ

หลังจากที่ลงจากเตียง ฉีเฟยอวิ๋นก็ประคองฮูหยินกั๋วจิ้วเดินชั่วครู่ นางรู้สึกประหลาดใจมาก เดินไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็ยิ่งซาบซึ้งใจเข้าไปอีก : “ท่านอ๋อง ขาของข้าเดินได้แล้ว ข้าเดินได้แล้ว”

“ฮูหยิน เจ้าเดินได้แล้ว”

กั๋วจิ้วรีบปรี่เข้ามาประคอง ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ปล่อยมือของฮูหยินกั๋วจิ้ว พวกเขาสองสามีภรรยาจึงรีบโผเข้ากอด

ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกว่า สองสามีภรรยาคู่หนึ่งจะรักใคร่กลมเกลียวได้เช่นนี้ ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องเลวร้ายนี่

ฮูหยินกั๋วจิ้วร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของต้ากั๋วจิ้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กล่าวขึ้นว่า : “อาการป่วยของฮูหยินยังต้องรักษาต่อไป ส่วนเรื่องสภาพจิตใจก็สำคัญมาก จดจำความเศร้าและความยินดีนี้ไว้”

เมื่อได้ยินฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนั้นฮูหยินกั๋วจิ้วจึงรีบผละออกจากต้ากั๋วจิ้วและเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า จากนั้นก็มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้านนั้น

ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวขึ้นว่า : “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หม่อมฉันจะจัดยามาให้ฮูหยินกั๋วจิ้วทุกวัน ช่วงระยะแรกยังต้องฝังเข็มอีกหลายครั้ง ประมาณห้าหกครั้งก็น่าจะไม่ต้องฝังเข็มแล้ว ส่วนยาก็น่าจะต้องกินอีกครึ่งปีถึงจะดีขึ้น

รักษาจนฟื้นตัวถึงระดับไหนนั้น ก็ยังต้องขึ้นอยู่กับระดับการดูแลบำรุงของฮูหยินด้วยนะเจ้าคะ

อาจจะไม่ได้มีอาการรุนแรง โดยเฉพาะอาการปวดหัว

ขอแค่ฮูหยินผ่านช่วงวัยหนึ่งไปได้ ร่างกายของฮูหยินจะไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ แค่จงจำไว้ว่าห้ามกินเครื่องในสัตว์เด็ดขาด กินได้แต่พืชผักบางกลุ่ม ที่เป็นผลดีต่ออาการป่วย”

“ขอบพระคุณในน้ำใจของพระชายาเย่มาก พระชายาเย่เชิญนั่งก่อนเถิด” ฮูหยินกั๋วจิ้วปาดน้ำตา สภาพจิตใจแปรเปลี่ยนเป็นดีขึ้น ตอนนี้นางสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่สุดแล้ว

ถึงอย่างไร อาการปวดหัวก็ปวดเรื้อรังมาหลายปี ตอนนี้นางไม่เป็นอะไรแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าปลอบประโลมใจต่อนางมาก

ฮูหยินกั๋วจิ้วรีบกล่าวขอบคุณทันที : “ขอบพระคุณพระชายาเย่มาก ข้าจะจดจำคำเตือนของพระชายาเย่ให้ขึ้นใจ”

“ฮูหยินไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้ ในนี้คือยา หม่อมฉันจะฉีดยาให้ฮูหยินหนึ่งเข็ม อีกประเดี๋ยวหม่อมฉันต้องขอตัวกลับ อย่าได้ชักช้าเสียเวลาเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นต้องไป จึงไม่ชักช้าอีก

ฮูหยินกั๋วจิ้วพยักหน้าหงึกหงัก และเดินไปนอนเอนกายลงบนเตียงอีกครั้ง

ฉีเฟยอวิ๋นเปิดกล่องยา หยิบเข็มฉีดยาออกมาจากด้านใน จากนั้นก็ฉีดยาให้กับฮูหยินกั๋วจิ้วหนึ่งเข็ม เวลาก็จำกัดมาก ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้แค่นั่งรอ ฉีดเสร็จนางจึงได้กลับไป

การให้น้ำเกลือไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ต้องทำการตรวจอย่างสม่ำเสมอ หมอประจำจวนกั๋วจิ้วไม่เข้าใจการให้น้ำเกลือ ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่วางใจ

แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ ฉีเฟยอวิ๋นพบว่า ตั้งแต่มู่เหมียนไปได้ยินเรื่องของเฉินอวิ๋นเจี๋ยเข้า นางก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาตลอด ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด