ไข่มุกเหล่านั้นไหลร่วงจากใต้วงแขนลงสู่พื้นเสียงดังเกรียวกราว สันหลังเขายืดยาว กล้ามเนื้อชัดเจน แม้ว่าดูผอมแต่ก็แอบซ่อนความกำยำแข็งแรงไว้ มีแสงสีทองเรืองแสงขึ้นจากผิวหนังเขา ราวกับหมอกควันปกคลุมเขาไว้แต่หัวจรดเท้า ทำให้นางมองไม่ชัด
แสงสีทองเหล่านั้นค่อยๆ รวมกลุ่มกัน สุดท้ายกลายเป็นปีกเต็มอิ่มงดงามคู่หนึ่ง ค่อยๆ สยายออก ยาวประมาณจั้งกว่า ปลายปีกสีทองแต่ละปีกล้วนมีก้านปีกหกก้านขนาดใหญ่ มีลวดลายสีแดงสดมากมายนับไม่ถ้วนแน่นขนัดทั่วร่างกายเขา หรือแม้แต่บนใบหน้า ตอนนี้ยามเขายืนขึ้น ไม่ใช่ชายหนุ่มซีดขาวแลดูนิ่งสงบคนเดิมอีกแล้ว
เขาเป็นปีศาจ ปีศาจครุฑที่งดงามยิ่งกว่าเฟิ่งหวง
เสวียนจีผงะถอยหลังไปหลายก้าว เดินเซแทบล้ม แขนพลันถูกคนประคองไว้ นางหันกลับไปมองอย่างไม่ทันตั้งสติ เป็นหลิ่วอี้ฮวนที่สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก เขาไม่ได้มองนาง เขากำลังมองอวี่ซือเฟิ่ง เป็นนาน ก่อนเขาจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าจะทอดทิ้งเขาหรือ”
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด น้ำเสียงเขาราวกับอยู่ไกลอออกไปนับหมื่นลี้ หูได้ยินไม่ชัด แต่ละคำล้วนราวกระแทกลงกลางใจนาง สะท้อนเสียงดังไม่หยุด
ปีกงดงามสองปีกนั่นกางออกเล็กน้อย อวี่ซือเฟิ่งบินขึ้นไปราวกับจะจากนางไป ไม่หันลงมองแม้แต่ครั้งเดียว จากไปอย่างเงียบงัน ครุฑสิบสองก้านปีกเป็นสายเลือดสูงส่งที่สุด ปีกสีทองของเขาเจิดจ้าแสบตายิ่งกว่าพระอาทิตย์ แทบทำคนจ้องมองน้ำตาไหล เขาเหมือนลำแสงสีทอง พริบตาก็ลงมายืนบนลาน มารปีศาจพวกนั้นเหมือนยำเกรงพวกเขามาก ไม่กล้ามีเรื่องด้วย พากันหลีกทาง
หลิ่วอี้ฮวนเอาแต่จ้องมองเขา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าทอดทิ้งเขาหรือ”
เสวียนจีค่อยๆ ส่ายหน้า ยังคงพูดไม่ออก แม้แต่นางเองก็ไม่รู้ แท้จริงตกใจมากกว่า หรือผิดหวังมากกว่า พลันนึกถึงวันนั้นเขามอบปิ่นครุฑให้นาง น้ำเสียงที่ถามตอนนั้น น้ำเสียงแผ่วเบาลองใจนางว่าหากเป็นปีศาจ นางจะดูแคลนไหม เขาใส่ใจในเรื่องนี้นี่เอง เขาเป็นปีศาจ ปีศาจไม่คู่ควรกับมนุษย์ กลัวนางผิดหวัง กลัวนางรังเกียจ กลัวนางจากเขาไป นางจำไม่ได้ว่าวันนั้นตอบเขาไปว่าอย่างไร ทำเขาเสียใจไปหรือไม่ แต่ไรมาสมองนางก็ไร้เดียงสา เรื่องที่เขาเป็นปีศาจเช่นนี้ อวี่ซือเฟิ่งก็คืออวี่ซือเฟิ่ง นางไม่อาจจากเขาไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้
แต่เหตุใดจึงปล่อยมือเขา นางตอบไม่ได้ เป็นปฏิกิริยาตอบสนองทันทีที่รู้ว่าเขาเป็นปีศาจ ไม่ใช่มนุษย์ นางทอดทิ้งเขาง่ายดายเช่นนี้
หลิ่วอี้ฮวนถอนหายใจ น้ำเสียงขื่นขมว่า “เขามันโง่ที่ไม่รู้จักหาทางถอยไว้ ชนหัวแตกยังตัดใจจากไปไม่ได้อีก โง่เง่า…โง่เง่าจริง…เป็นคนไยต้องลำบากเช่นนี้…”
เป็นคนลำบากมาก อารมณ์เจ็ดกิเลสหก รักเกลียดพันพัว ราวกับดื่มน้ำชาขมยิ่งลงไป ความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่ทุกคนล้วนคิด เป็นคนที่เป็นคนได้ เป็นคนดี โลกมนุษย์หลากสีสันราวแพรไหม ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว เพลงเสนาะไพเราะดัง โลกโลกียะมีสิ่งอัศจรรย์งดงามหลากสีมากมาย ล่อหลอกจนคนหน้ามืดตามัว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
เช่นนั้นสิ่งใดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เสวียนจีพลันน้ำตาคลอบดบังดวงตา ในสมองพลันมีเสียงหัวเราะอวี่ซือเฟิ่งดังก้องไปมา ยามที่คนผู้นั้นก้าวเข้าสู่โลกของเจ้า ย่อมมีบางชั่วขณะ ความล่อหลอกยั่วยวนใจทั้งหมดในโลกโลกียะก็กลายเป็นสิ่งเล็กน้อย ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว ต้นไม้ใบเขียว เจ้าย่อมไม่แล ในสายตาเจ้าจากนี้มีแต่นางผู้เดียว มอบอุทิศชีวิตออกไปล้วนเป็นเรื่องยินดีรื่นรมย์ ดังนั้นการเป็นคนจะลำบากอย่างไรก็ยินยอมพร้อมใจ
นางรู้สึกตนเองค่อยๆ แหลกละเอียดจากภายใน ไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป ใกล้จะกลายเป็นเศษธุลีนับไม่ถ้วนปลิวลอยไปบนท้องฟ้า นางหนาวสั่น คิดจะหาอะไรพยุงตัวไว้ มือพลันยื่นออกไปคว้าไม่ได้อะไรสักอย่าง มีเพียงสายลมเหน็บหนาวที่พัดลอดหว่างนิ้วนางไป
ข้างใบหูพลันได้ยินเสียงหลิ่วอี้ฮวนกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าตำหนักใหญ่ ข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านขัดขวางพวกเขา” นางอึ้งไป หันกลับไปเห็นเพียงหลิ่วอี้ฮวนขวางเจ้าตำหนักใหญ่ไว้ กุมกระบี่ไว้ในมือ สีหน้าเคร่ง เจ้าตำหนักใหญ่ไม่มองเขาแม้แต่น้อย แววตาลึกลงไปราวกับโมโหสุดขีด พลันลงมือ นิ้วทั้งห้าราวกับดีดพิณ ดีดใส่เข้าที่หัวไหล่หลิ่วอี้ฮวน
“ท่านใช้กระบวนท่าเดิมมากไปแล้ว!” หลิ่วอี้ฮวนคำรามดัง ตวัดกระบี่ใส่ เจ้าตำหนักใหญ่ยื่นนิ้วมือออกมา อันตรายยิ่ง เห็นเขาจะถูกเขากระบี่ฟัน ผู้ใดจะรู้ว่าเขาถอยก้าวหนึ่ง เอี้ยวตัวเลื่อนคมกระบี่หลบ กระบี่แทงลมเข้า! กระบวนท่าหนึ่งไม่อาจสำเร็จ หลิ่วอี้ฮวนในยามนั้นตกในภาวะโดนกระทำ พลิกฝ่ามือคิดโจมตี เจ้าตำหนักใหญ่กลับค่อยๆ ลอยตัวขึ้น พลางกล่าวน้ำเสียงนิ่งว่า “เจ้าพวกไม่รู้ความมากเกินไปแล้ว!” หลิ่วอี้ฮวน “อา” ร้องขึ้นเสียงหนึ่ง ยกกระบี่ไล่ตามไป แต่อีกฝ่ายบิน เขาวิ่งจะไปตามทันได้อย่างไร ได้แต่โมโหจนสีหน้าเขียวคล้ำ สบถด่าไม่หยุด
ถิงหนูที่นิ่งเงียบข้างๆ พลันกล่าวว่า “ทำไมเจ้าไม่ปลดผนึก ปิดผนึกสู้กับเขา จะไปชนะได้อย่างไร”
หลิ่วอี้ฮวนโมโหกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องปากมาก! ข้าไม่ชอบปลดผนึกต่อหน้าผู้คนไม่ได้หรือไร?!”
ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ให้ข้าเดานะ เพราะเจ้าขโมยดวงตาสวรรค์ ดังนั้นจึงต้องเสียบางสิ่งทดแทนไป สูญเสียพลังไปหมดใช่ไหม”
หลิ่วอี้ฮวนสีหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวขาว ริมฝีปากพร่ำบ่นอยู่เป็นนาน จึงได้กล่าวว่า “เจ้า…เจ้าจริงๆ เล้ย…หรือมีดวงตาสวรรค์กับเขาด้วย…”
ถิงหนูยิ้มเล็กน้อย “ดวงตาสวรรค์ข้าไม่มี ข้าเพียงคาดเดาเท่านั้น คิดไม่ถึงถึงกับเป็นเรื่องจริง”
หลิ่วอี้ฮวนโมโหด่ามั่วไปทั่ว สุดท้ายก็รู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กุมศีรษะร้อนใจกล่าวว่า “ทำอย่างไรดี?! หากเขาขึ้นไปแล้ว เจ้าหนุ่มหน้าโง่ซือเฟิ่งก็ย่อมไม่ยอมให้เขาลงมือ! ทุกคนก็จะต้องตายทั้งหมดที่นี่จริงหรือ” พลันเหลือบไปเห็นการเคลื่อนไหวเล็กน้อยที่ด้านข้าง เขากระโดดขึ้นคว้าคอเสื้อคนผู้นั้นทันที น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ใช่แล้ว ที่นี่ไม่ใช่แค่หนึ่ง! เจ้าไม่อยากสังหารคนใช่ไหม รีบไปขวางพี่ใหญ่เจ้า!”
คนผู้นั้นถึงกับเป็นรองเจ้าตำหนัก เขาถูกเจ้าตำหนักใหญ่ฟาดเข้าที่จุดสำคัญบนหน้าอก เลือดสดไหลซึมลงจากหน้ากาก รอยด่างบนหน้าอกน่ากลัวมาก หลิ่วอี้ฮวนกระชากเขามา ร่างเขาปวกเปียกราวกับยืนไม่มั่น ในยามนั้นก็อึ้งไป
รองเจ้าตำหนักหัวเราะเหอๆ กล่าวว่า “ขอโทษ เจ้าก็เห็นแล้ว ข้าบาดเจ็บหนัก ไม่มีแรงสนใจความเป็นความตายมนุษย์ธรรมดาพวกนี้หรอก พี่ใหญ่ต้องการให้พวกเขาตาย พวกเจ้าดูก็พอแล้ว”
“เจ้าอึสุนัขนี่!” หลิ่วอี้ฮวนแทบอยากจะอัดด้วยหมัด “ข้าดูเจ้าก็ว่าไม่ใช่คนดี! เจ้าคิดเล่นลูกไม้อะไรอีก?! เมื่อครู่พูดเสียสวยหรูไม่ใช่หรือ เจ้าจะปล่อยไปง่ายๆ อย่างนี้หรือ?!”
ในเมื่อเป็นอุบาย จะบอกเจ้าได้อย่างไร…รองเจ้าตำหนักถอนหายใจ คิดจะสลัดเจ้างั่งนี่ทิ้ง แต่มือเท้าอ่อนแรง ได้แต่ตามแต่เขาจะลากไป ตนเองไม่อาจต่อต้าน
ข้างๆ พลันมีเสียงอ่อนโยนดังขึ้น “มกร เจ้าไปสิ” ทุกคนหันกลับไปมองพร้อมกัน เห็นเพียงเสวียนใบสีหน้าซีดเผือดไร้ความรู้สึก มกรร้องดังขึ้นว่า “เจ้าให้ข้าไป ข้าก็ต้องไปรึ เสียหน้าไปไหม?! ข้าไม่ไป! จะว่าไปเจ้าหนุ่มนั่นเป็นปีศาจ เจ้าก็รู้แล้ว ปีศาจกับมนุษย์ธรรมดามีเรื่องกัน เทพเซียนเกี่ยวไรด้วย!” คำนี้ยังคงก้องอยู่โสตประสาทนาง อารมณ์เด็กน้อยเต็มที่ เมื่อครู่ยังฮึดฮัดคิดต่อสู้ ปรากฏพอถูกนางสั่ง เขากลับไม่ยอมไป
เสวียนจีอดโมโหไม่ได้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าไป ข้าอนุญาตเจ้าเปิดฉากสังหารได้ เอาให้สะใจสักครา”
มกรตะลึงงัน “เจ้าอนุญาต…” เขาทำอะไรต้องคอยรอนางอนุญาตด้วย?! กำลังจะโต้กลับ เงยหน้าเห็นสองตานางลึกล้ำราวหุบเหว ความซุกซนในใจยามนั้นไม่อาจปล่อยให้หลุดออกมา
“ข้าอนุญาตเจ้าสังหารปีศาจพวกนั้นให้หมด ไม่ให้เล็ดรอดสักคน!”
มกรเงียบงัน ระหว่างสัตว์ภูตกับเจ้านายมีความคิดแอบเหมือนกันอย่างบอกไม่ถูก ไฟโทสะในใจนางราวกับกำลังแผดเผาใจนางเอง อดถ่ายทอดต่อไม่ได้ เขายันกายลุกขึ้น ร้องดังขึ้นว่า “เจ้าอนุญาตให้ข้าสังหารเองนะ! อย่าพอกลับไปก็คิดระเบิดลงข้าล่ะ!”
เสวียนจีนิ่งไปครู่หนึ่ง กล่าวอีกว่า “ไม่อนุญาตให้สังหารอวี่ซือเฟิ่งกับมนุษย์คนอื่น”
“เหลวไหล!” มกรพุ่งทะยานกระพือปีกเพลิงด้านหลัง เขาไม่อาจออมกำลังได้ ปีกเพลิงสีแดงราวสีเลือดสยายออกราวสิบจั้ง ครุฑปีศาจตัวเล็กๆ ที่พลังวัตรน้อยนิดพอถูกไฟแผดเผาโดนเข้าก็พลันกลายเป็นเถ้าดำร่วงลงพื้น ทั่วร่างเขาล้วนเต็มไปด้วยไฟสีแดงฉานของมกร ดูแล้วเหมือนมนุษย์เพลิง ทุกที่ที่พาดผ่านก็ราวกับดินแดนไร้ผู้คน กวาดทุกอย่างราบคาบ
ข้อได้เปรียบของเขาสร้างความได้เปรียบไม่น้อย ไม่นานกลุ่มมารปีศาจก็ถูกล้อมไว้ มีครุฑที่มีพลังวัตรพอตัวไม่กลัวไฟ ไฟเขาเผาเป็นนานก็ไม่อาจเผาพวกเขาไหม้ตายได้ รีบตะโกนร้องเสียงดัง “นังหญิงหน้าเหม็น! มาช่วยข้า!”
เสวียนจีค่อยๆ ยกกระบี่ขึ้นกล่าวเบาๆ ว่า “มกร” กระบี่เปิงอวี้พริบตาก็เปล่งแสงสีเงินยวงอร่ามตา กะพริบแปลบปลาบไม่หยุดราวกับกำลังรวมตัว ยังราวกับคำรามเบาๆ ข้อมือนางวาดรัศมีแผ่กระบี่เปิงอวี้ออกไป มกรคำรามดังราวกับไม่รู้ควรทำเช่นไร ปีกเพลิงบนหลังพลันสยายออก มีปีกเพลิงใหม่เพิ่มมาอีกสองปีก เป็นสีฟ้าโปร่งแสงสดใสส่องกระทบท้องฟ้า ทำเอาก้อนเมฆบนท้องฟ้าทั้งหมดถูกเผาเหือดแห้ง คลื่นร้อนทะยานสู่ท้องฟ้า พวกฉู่เหล่ยรู้ความร้ายกาจดี จึงพากันไปหลบอีกมุมไม่กล้าเข้าใกล้
มารปีศาจไม่ระวังกระทบโดนปีกเพลิง ทันใดนั้นก็ถูกเผาไม่เหลือร่องรอย ความน่ากลัวและพลังแสนเอาแต่ใจนี้ ทำให้เขาแทบจะสังหารปีศาจแสงสีทองเหล่านั้นในพริบตาเดียว เสวียนจีมองเจ้าตำหนักใหญ่หันหลังเหมือนจะคิดหนี ก็ร้องดังขึ้นว่า “สังหารเขา!”
มกรรับคำสั่งยินดียิ่ง สังหารเขาอย่างไรก็สะใจกว่าปล่อยเขาไปมากนัก ปีกเพลิงบนหลังเขาสี่ปีกค่อยๆ หุบลง กำลังจะห่อหุ้มเขาไว้ พลันรู้สึกกายสั่นเทาเล็กน้อย พลังมากมายอย่างหาที่สุดมิได้พลันหายวับไป ปีกเพลิงทั้งสี่อยู่ๆ กลายเป็นเพลิงไฟมกรสีแดงฉานสองสาย เผาร่างเจ้าตำหนักใหญ่ คนปัญญาอ่อนก็รู้ว่าแค่เจ็บๆ คันๆ เท่านั้น
“นี่! เจ้าทำบ้าอะไร?!” มกรโมโหไฟลุกหันกลับไปตวาดด่า เห็นกระบี่เปิงอวี้ของเสวียนจีถูกรองเจ้าตำหนักคว้าไว้ นางตกใจเงยหน้ามองเขา ตาแทบจะจ้องเผาเจ้าคนชั่วนี้ให้มอดไหม้ อยู่ๆ รองเจ้าตำหนักพลันออกมาคว้ากระบี่เปิงอวี้ไว้ทำให้นางตกใจ ยามนั้นจึงขาดการสื่อพลังกับมกร
“เจ้าทำอะไร?!” เสวียนจีกระชากเต็มแรง รองเจ้าตำหนักพลันปล่อยมือ นางใช้แรงมากเกินไป ปรากฎทำเอาตนเองตัวโยนไปมาหลายก้าว
รองเจ้าตำหนักหัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “ทำอะไรอย่าสุดโต่งไป ไม่เป็นผลดีต่อเจ้า” กล่าวจบปลายเท้าแตะพื้น ลอยตัวขึ้นพลิ้วแผ่ว กระโจนไม่กี่ทีก็เข้าไปยังกลางลาน กำลังจะคว้าตัวเจ้าตำหนักใหญ่กลับไป พลันได้ยินคนหนึ่งไอรุนแรงขึ้น ตามมาด้วยแสงสีทองทั่วลาน คนหนึ่งร่วงจากลางอากาศกระแทกพื้นอย่างแรง สลบไป เป็นอวี่ซือเฟิ่ง!
หลิ่วอี้ฮวนตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน หลุดร้องออกมาว่า “ไม่ได้การ! คำสาปคู่รักเริ่มสะท้อนกลับแล้ว!” เขายกเท้าได้ก็วิ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งในทันที ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้าตำหนักใหญ่เร็วกว่าเขาหลายเท่า พริบตาก็คว้าอวี่ซือเฟิ่งไว้ในมือ เขากับรองเจ้าตำหนักสองคนเคลื่อนไหวว่องไว พริบตาก็กลายเป็นจุดดำลอยออกไปไกลจนมองไม่เห็นอีก
ขณะทุกคนกำลังตกใจอย่างไม่แน่ใจนั้น ก็พลันมีเงาสองร่างเหินไล่ตามไปดัง ฟุ่บ เสียงหนึ่ง พริบตาก็ไล่ตามไปจนมองไม่เห็นเงา หันกลับไปมองบนลานขาดเสวียนจีกับหลิ่วอี้ฮวนสองคน