82 เฉียนขู่ท่องยุทธภพ

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 82 เฉียนขู่ท่องยุทธภพ

 

 

ที่ด้านนอกลานโพธิ์

 

ความคิดของซูฉินพลิกผันไปมา

 

“ลืมมันไปซะ”

 

“สำหรับตัวข้าตอนนี้ โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว หากฝืนใช้โอสถหมุนวนเก้าโคจรละก็ข้าแทบจะไม่สามารถดูดซับตัวยาได้เลย มันจะต้องเสียคุณสมบัติทางยาส่วนใหญ่ไปแน่นอน ซึ่งไม่คุ้มค่าเลย”

 

ซูฉินส่ายศีรษะ

 

รู้หรือไม่ว่าโอสถหมุนวนเก้าโคจรที่เขามีในปัจจุบันนั้นจำนวนน้อยกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเสียอีก มีจำนวนไม่ถึงห้าร้อยเม็ด

 

เขาควรจะประหยัดเสียหน่อย

 

“ตามบันทึกโบราณของวัดเส้าหลิน เมื่อเทียบกับระดับนภาชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สามของขอบเขตอรหันต์ นภาชั้นที่สี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงศักยภาพขนานใหญ่”

 

“เมื่อถึงเวลานั้นคงจะไม่สายเกินไปที่จะใช้โอสถหมุนวนเก้าโคจร”

 

ซูฉินอยู่ในอารมณ์ที่ดี เขาหมุนตัวเดินทางกลับไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังอีกครั้ง

 

หนึ่งเดือนต่อมา

 

ก่อนที่จะลงจากเขาไปท่องยุทธภพ เฉียนขู่ได้มาที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลังเพื่ออำลาซูฉิน

 

“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

“วันนี้ข้าจะออกจากวัดแล้ว”

 

สีหน้าของเฉียนขู่ดูใจหายเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเตรียมพร้อมมานานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เขาก็เพิ่งค้นพบว่าต้นไม้ใบหญ้าในวัดเส้าหลินหลินนั้นก็ดูสวยงามไม่น้อย มีความรู้สึกไม่ได้อยากจากไปขึ้นมาบ้าง

 

อย่างไรก็ตามการท่องยุทธภพเพื่อฝึกฝนหาประสบการณ์เป็นสิ่งที่‘เฉียนขู่‘ในฐานะของภิกษุจากวัดเส้าหลินพึงกระทำ

 

บางทีศิษย์คนอื่นๆ คงจะพอเลี่ยงได้ แต่เฉียนขู่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหน้าที่อันนี้ได้

 

“ข้าก็สอนสั่งเจ้ามาหลายปีแล้ว”

 

“ในเมื่อเราจะต้องจากกันไป ข้าก็มีของเล็กๆ น้อยๆ จะมอบให้”

 

ซูฉินนั่งไขว้ขวา ยื่นมือขวาไปหยิบดาบไม้ที่ดูสวยมิหยอกขนาดเพียงเท่าฝ่ามือขึ้นมา

 

ดาบไม้อันนี้ดูไปแล้วก็ธรรมดามาก เหมือนจะแกะสลักมาจากไม้ทั่วๆ ไปที่หาได้ง่ายในวัดเส้าหลิน

 

“ขอบคุณท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”

 

เฉียนขู่ชอบดาบไม้อันนี้มาก เขาสวมมันไว้รอบคอแล้วห้อยดาบไม้ไว้แนบอก

 

“ลงไปได้แล้วล่ะ”

 

ซูฉินโบกมือ

 

“ขอรับ”

 

เฉียนขู่ออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังด้วยความนอบน้อม

 

“เป็นเวลาหลายปีแล้วสินะ…”

 

ซูฉินถอนหายใจเล็กน้อย

 

เจ้าเณรน้อยที่อายุมากกว่าสิบขวบไปไม่มาก พร้อมที่จะลงจากเขาไปท่องยุทธภพแล้ว

 

“ด้วยดาบไม้นั่น ไม่น่าจะมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น”

 

ซูฉินคิดอย่างไม่ได้จริงจังมากนัก

 

ดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่ซูฉินมอบให้เฉียนขู่ แน่นอนว่าถูกสร้างขึ้นด้วยตัวเขาเองโดยแฝงเจตจำนงแห่งดาบเอาไว้ภายใน

 

เจตจำนงแห่งดาบที่กลั่นออกมานั้นมีพื้นฐานมาจากเคล็ดวิชาดาบแห่งธรรม เมื่อ‘เฉียนขู่‘ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต มันจะไปกระตุ้นเจตจำนงแห่งดาบให้ออกมา

 

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน หากเจตจำนงถูกกระตุ้นใช้ออกขึ้นมาจริงๆ ละก็ แม้ว่าจะไม่สามารถสังหารตำนานยุทธลงได้ แต่สำหรับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะต้องตกตายลงเป็นแน่

 

นี่คือสิ่งรับประกันชีวิตที่ซูฉินทิ้งไว้ให้กับเฉียนขู่

 

ท้ายที่สุดแล้ว เฉียนขู่ก็ออกไปท่องยุทธภพเพื่อฝึกฝน ไม่ใช่เพื่อออกไปตาย

 

ข้างนอกนั่นมีอันตรายถึงแก่ชีวิตรออยู่ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยให้เฉียนขู่ต้องตาย

 

อย่างไรก็ตามซูฉินไม่คิดว่าเฉียนขู่จะตกอยู่ในอันตรายที่ถึงแก่ชีวิตหรอก

 

วัดเส้าหลินเป็นถึงสุดยอดพรรคในยุทธภพ และเฉียนขู่ก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของยุคนี้ที่ลงจากเขาไปท่องยุทธภพ ถึงจะมีสำนักพรรคมากมายในยุทธภพก็ควรจะไว้หน้ากันบ้างไม่มากก็น้อย

 

แม้จะไม่ได้เคารพวัดเส้าหลิน แต่ก็คงไม่ถึงกับฆ่าแกงเฉียนขู่

 

สุดท้ายแล้ว การสังหารเฉียนขู่จะเกิดอะไรขึ้น?

 

นอกจากเป็นการประกาศสงครามกับสุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลินแล้ว จะเป็นเรื่องใดได้อีก?

 

หลังจากเฉียนขู่ออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง เขาก็มุ่งตรงออกจากวัดเส้าหลินในทันที

 

นอกวัดเส้าหลิน ฟ้าสูง แผ่นดินกว้าง

 

เฉียนขู่ท่องไปทั่วทุกที่ พบกับความอยุติธรรมที่ใดเขาก็เข้าช่วยเหลือ พบคนล้มตายเขาก็สวดแผ่เมตตา

 

เมื่อเวลาผ่านไป เฉียนขู่ยังได้พบศิษย์จากนิกายอื่นๆ ในทำเนียบยุทธอีกมากมาย

 

โดยพื้นฐานแล้วศิษย์สาวกเหล่านี้ก็มีความคล้ายคลึงกับเฉียนขู่ พวกเขามาศึกษาหาประสบการณ์จากการเข้าร่วมยุทธภพและหาคุณค่าของตนเอง

 

ในหมู่คนเหล่านี้ก็มีจางเซียว ศิษย์สายตรงที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาศิษย์ของนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้ง

 

ว่ากันว่ายามเมื่อจางเซียวอายุยังไม่ถึงสิบขวบดี เขาก็เข้าสู่เส้นทางไท่ฉีจากเขาหวู่ตั้งเรียบร้อยแล้ว ทำให้นักพรตจางที่เพิ่งออกจากการปิดด่านฝึกตนตกใจมาก

 

จางเซียวอยู่ในยุทธภพมานานกว่าเฉียนขู่เพียงไม่กี่ปี และอยู่ในทำเนียบจอมยุทธมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งนี้ยังได้รับฉายา ‘นักพรตตัวน้อย‘ มาอีกด้วย

 

นอกจากจางเซียวแล้ว ยังมีสาวกของนิกายใหญ่ๆ นิกายอื่นด้วย พวกเขาล้วนมาจากพรรคนิกายโบราณที่ทรงคุณธรรมและกล้าหาญ

 

“ท่านเณรน้อย ข้าได้ยินมาว่ามีอรหันต์ปรากฏตัวขึ้นในวัดเส้าหลินของท่าน นั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

 

จางเซียวสวมเสื้อคลุมนักพรตเต๋าและเอ่ยถามอย่างเบื่อหน่าย

 

บุคลิกของเขาค่อนข้างอิสรเสรี เรียบง่าย ไม่กลัวใคร นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะเป็นนักพรตจาง

 

“นะโมอมิตาพุทธ…”

 

เฉียนขู่ประสานมือไว้กลางอกโดยไม่ตอบคำ

 

ก่อนที่จะออกท่องยุทธภพ เจ้าอาวาสได้ตระเตรียมกับเฉียนขู่เอาไว้ว่าจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับซูฉิน

 

“จางเซียวอย่าแกล้งท่านเณรเฉียนขู่เช่นนั้นสิ” หญิงสาวด้านข้างจางเซียวมองที่จางเซียวแล้วกล่าวด้วยความไม่พอใจ

 

“เฮ่เฮ่”

 

“หลิ่วหรูเหมย ที่เจ้าออกตัวแทนท่านเณรน้อยเช่นนี้เป็นเพราะเจ้าชอบเขาใช่หรือเปล่าเนี่ย?”

 

จางเซียวเหน็บแนม

 

“เจ้า?!”

 

หญิงสาวที่ชื่อหลิ่วหรูเหมยดึงกระบี่เล่มยาวออกมาแล้วฟันใส่จางเซียว

 

ปราณดาบกวาดกระจายไปทั่ว

 

ทันใดนั้นร่างของจางเซียวก็กะพริบวูบไหวและถอยหลังไปสามก้าว “เจ้ามันหญิงบ้า นี่กล้าลงมือจริงๆ เลยรึ?”

 

เมื่อคนอื่นเห็นฉากนี้ไม่เพียงไม่เข้ามาห้ามปราม แต่ยังรอชมการแสดงแทน

 

พวกเขาต่างก็เป็นสำนักฝ่ายธรรมะ เป็นเรื่องปกติที่จะไม่ได้มีเจตนาฆ่าฟันกันจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นจางเซียวหรือหลิ่วหรูเหมย พวกเขาจะหยุดสู้กันไปเองหลังจากได้ประมือกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่การต่อสู้จริงจังอะไร

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ในบ้านพักแห่งหนึ่งบนภูเขา

 

มีหลายคนยืนอยู่อย่างเคร่งขรึมที่ด้านใน

 

เห็นได้ชัดจากกลิ่นอายของแต่ละร่างว่าคนเหล่านี้ต่างก็เป็นจอมยุทธผู้ทรงพลัง โดยเฉพาะชายที่จมูกงองุ้ม ไอพลังของเขาครอบคลุมไปทั่วทุกทิศ เขาคือยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“นายท่าน ข้าได้ไปตรวจสอบดูแล้ว จางเซียว ศิษย์สายตรงของนักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้งจะผ่านทางมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้ขอรับ”

 

ในตอนนั้นเองชายในชุดดำก็เดินเข้ามาและคุกเข่ามาทางชายจมูกงุ้ม

 

“นี่เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่?”

 

ดวงตาของชายจมูกงุ้มสว่างวาบและกล่าวถามกลับทันที

 

“หากมาตามเส้นทางนี้ย่อมถูกต้องเป็นแน่ ยกเว้นพวกเขาจะเดินกลับทางเก่า มันก็จำเป็นต้องผ่านมาที่นี่อย่างหลีกเลี่ยงมิได้”

 

ชายในชุดดำพูดโดยไม่มีความลังเล

 

“เยี่ยมมาก!”

 

“เยี่ยมมากจริงๆ!!”

 

ชายจมูกงุ้มหัวเราะด้วยท่าทีดุร้าย สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ

 

“นักพรตจาง เมื่อสามสิบปีก่อนเจ้าสังหารพ่อแม่และลูกของข้า ต้องการให้สกุลของข้ามลายสูญ และตอนนี้ข้าก็จะสังหารศิษย์คนสุดท้ายของเจ้า เพื่อเซ่นสังเวยวิญญาณของลูกชายข้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์!!”

 

ชายจมูกงุ้มกระแทกเสียงในทุกๆ คำ

 

คนที่เหลือด้านในโถงต่างก้มหน้าลงโดยพลัน ไม่มีใครกล้ามองตรงๆ ไปยังชายจมูกงองุ้ม

 

“นายท่าน ถ้าท่านสังหารจางเซียวจะไม่เป็นการทำให้นักพรตจางออกมาแก้แค้นหรอกหรือ?” ร่างที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายที่มีจมูกงองุ้มผู้นั้นเอ่ยถาม

 

“ฮ่าฮ่า…”

 

ชายจมูกงุ้มส่ายศีรษะ “ไม่ต้องกังวล ถ้าเป็นที่อื่นที่คนพลุกพล่าน ข้าคงไม่กล้าฆ่าจางเซียวหรอก”

 

“แต่ที่นี่…”

 

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ชายที่มีจมูกงองุ้มก็เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า “สังหารจางเซียวที่นี่ จะไม่มีใครรู้”

 

ใบหน้าของชายจมูกงุ้มราวกับนกอินทรี ตอนนี้ลิงโลดราวกับได้รับชัยชนะ

 

ด้วยความแข็งแกร่งของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นเขา หากต้องการสังหารจางเซียวให้ตกอยู่ในความสิ้นหวัง เขาคงจะสังหารทิ้งไปเสียนานแล้ว เหตุผลที่เขารอมาจนถึงป่านนี้ก็เพราะรอโอกาสที่จะสร้างความเข้าใจผิด ความบาดหมางให้เกิดขึ้น

 

และตอนนี้ ในที่สุดโอกาสที่เขารอคอยก็มาถึง