ตอนที่ 365 ข้าตอบเสร็จแล้ว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ทันทีที่เหวินสิงโจวประกาศทั้งสามหัวข้อของการแข่งขันประพันธ์กวีแล้วเสร็จ คุณหนูถังซานก็ได้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

นางมิได้ดีใจโหวกเหวกดั่งคนทั่วไป แต่นางได้นำสิ่งที่ได้ยินไปใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงเอ่ยกล่าว

“พวกเจ้าอย่าได้ดีใจเร็วไปหน่อยเลย ! ”

หยุนหลีเกอเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูถังซานหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

“พวกท่านจงคิดดูเถิดในส่วนของหัวข้อที่หนึ่งบทประพันธ์ทั้งสามบทนั้นมีชื่อเสียงมากยิ่งนัก แม้ว่าจะเหมือนดั่งบทประพันธ์ทั่วไปแต่นี่คือการแข่งขัน บทกวีที่พวกท่านประพันธ์อยู่เป็นประจำนั้น พวกท่านคิดเยี่ยงนั้นหรือว่าจะมีความสามารถที่จะโดดเด่นเหนือเหล่าบัณฑิตมากมายเหล่านั้นได้ หากต้องการขัดเกลาสิ่งที่ดูเหมือนง่ายให้ดูประณีตยิ่งขึ้นมันก็ยิ่งยาก ตรรกะง่าย ๆ แค่นี้หวังว่าพวกท่านคงจะเข้าใจ”

เหล่าบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ถึงกับนิ่งเงียบ จากนั้นพวกเขาก็ได้เข้าใจในสิ่งที่คุณหนูถังซานต้องการจะสื่อถึง

“ส่วนหัวข้อที่สองนั้น…” คุณหนูถังซานทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ถังจู้กั๋วเหินขึ้นไปที่พระบาทของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ จากนั้นนางจึงเห็นผ้าขาวห้อยลงมาอย่างช้า ๆ

บนนั้นมีเพียงแค่ต้นสาลี่หนึ่งต้นที่มีดอกสาลี่ผลิบานอยู่เต็มต้น !

“หัวข้อที่สองนั้นให้พรรณนาถึงดอกสาลี่ซึ่งดูเหมือนจะง่ายเช่นกัน แต่ทว่าให้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งวันนั้นคงมิง่ายดายดั่งที่พวกท่านคิดเอาไว้อย่างแน่นอน ! ”

“ในส่วนของหัวข้อสุดท้ายบทกวีอวยพรเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษานั้นมีถมเถไป ย่อมยากที่จะโดดเด่นเหนือผู้อื่นได้เช่นกัน”

นางชะงักราวกับกำลังคิดบางอย่าง จากนั้นจึงใช่สายตากวาดมองเหล่าบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ทุกคน “การแข่งขันในวันนี้แม้ว่าจะดูเหมือนการแข่งขันทั่วไปแต่ทว่าแท้จริงแล้วกลับมิใช่เช่นนั้น ขอทุกท่านจงกล้าหาญที่จะสร้างสรรค์และจงก้าวข้ามมาตรฐานบทกวีที่พวกท่านประพันธ์เป็นประจำ มิเช่นนั้นแล้วการแข่งขันครานี้ย่อมน่าเป็นห่วง ! ”

ฝานเทียนหนิงนั้นเห็นพ้องต้องกันกับคุณหนูถังซาน เขายิ้มร่าแล้วเอ่ยแก่ฟู่เสี่ยวกวน “การแข่งขันด่านนี้ท่านต้องใช้เวลาขบคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน อย่าได้ปล่อยปละละเลยเช่นคราก่อน”

ในความคิดของฝานเทียนหนิงนั้น ฟู่เสี่ยวกวนย่อมคว้าชัยชนะของวันนี้มาครองได้อย่างแน่นอน วันพรุ่งนี้คือการประพันธ์บทความ และสิ่งนี้คือสิ่งที่เขาถนัดอีกเช่นกัน หากเขาสามารถชนะเป็นลำดับหนึ่งได้ทั้งสองวัน ชัยชนะก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาอย่างแน่นอน

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ที่หัวข้อการแข่งขันได้ถูกประกาศออกมา คำตอบก็ได้พรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขาทันที

“น้องฝาน ข้าคิดมาโดยตลอดว่าบทกวีเหล่านี้นั้นมีไว้สำหรับบำเรอจิตใจของตนเองเท่านั้น เพียงแค่วันนี้นั้นมีการแข่งขันและได้มีการกำหนดหัวเรื่องที่ให้ดูน่าสนใจขึ้นมาก็เท่านั้นเอง ทว่าเยี่ยงไรเสียจุดประสงค์มันก็ยังคงเหมือนเดิม เช่นนั้นน้องฝานจงคิดให้ถี่ถ้วน ส่วนข้าต้องขอตัวไปตอบคำถามทั้งสามหัวข้อก่อน”

ฝานเทียนหนิงมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาตกตะลึง เขารู้สึกผิดหวังขึ้นมาที่ฟู่เสี่ยวกวนยังคงทำตัวเฉกเช่นเมื่อวาน

นี่มันคือชื่อเสียงและเกียรติยศ !

คนเราเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ สิ่งที่ปรารถนาคือชื่อเสียงในคราที่ยังมีชีวิตอยู่และเมื่อได้ลาจากโลกนี้ไปมิใช่หรือ ?

หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไร้ซึ่งความปรารถนาจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

ว่าแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินจากเขาไป

ทั้งสามหัวข้อได้ถูกตอบจนครบหลังจากที่ประกาศเพียงแค่เวลาดื่มชาครึ่งถ้วยเสร็จเช่นกัน หากมองดูดี ๆ แล้วเร็วกว่าเมื่อวานเสียด้วยซ้ำ !

ฝีมือการประพันธ์บทกวีของฟู่เสี่ยวกวนแม้ว่าจะดีเยี่ยม แต่ครานี้ต้องประพันธ์มากถึง 5 บท !

จะมีคนหนุ่มที่ปัญญาเฉียบแหลมเช่นนี้บนผืนปฐพีจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

ฝานเทียนหนิงมิปักใจเชื่อ จัวตงหลายก็เช่นกัน

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้เดินไปถึงโต๊ะเขียนคำตอบที่อยู่ด้านหน้าสุด สีหน้าที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ ของจัวตงหลายก็ได้เผยความรู้สึกตกตะลึงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

เขาชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย “นี่เขายอมแพ้อีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

คุณหนูถังซานมองตามเงาหลังของฟู่เสี่ยวเช่นกัน และคิ้วของนางก็ได้ขมวดพันกันยุ่ง “ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองจินหลิงเพียงเดินแค่สามก้าวเขาก็สามารถประพันธ์กวีได้ 1 บท ทว่าวันนี้กลับประพันธ์กวีได้ถึง 5 บท หรือว่าเขารู้หัวข้อล่วงหน้าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ หรือว่าเขาจะยอมแพ้ให้กับการแข่งขันครานี้เฉกเช่นเมื่อวานกัน ? ”

เหล่าบัณฑิตในลานเกือบทั้งหมดได้จ้องแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน และต่างก็คิดมิต่างกัน ท่าป่ายวนยิ้มเยาะแล้วส่ายหัว “ข้าล่ะนับถือมันจริง ๆ ในเรื่องหน้าหนา แท้ที่จริงสิ่งที่เขาทำนั้นก็มีข้อดีอยู่บ้าง ! ”

เยียนหานยวี่จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาฉงน จากนั้นท่าป๋ายวนเลยเอ่ยต่อ “หึ ! เจียงหลางหมดสิ้นความสามารถ ด้านวรรณกรรมแล้วเยี่ยงนั้นหรือ มันได้เหือดหายเสียจนมิอาจเอาดีด้านนี้ได้อีก ดูสิ่งที่มันกระทำเข้าสิ แล้วพวกเจ้าจงดูสายตาของเหล่าบัณฑิต ครานี้ชื่อของมันจะเป็นที่จดจำของบัณฑิตอยู่อีกหรือไม่ ? ”

เยียนหานยวี่มิได้เอ่ยตอบ สายตาของเขานั้นตกอยู่บนแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน ลอบคิดตลกอยู่ในใจว่าตนแขนขาดเพราะคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวน พนันได้เลยว่าหมอนั้นคงไร้ซึ่งความสามารถที่จะผลักเขาจนกระเด็นไปนั่งเก้าอี้มังกรตัวนั้นได้เป็นแน่

นี่มันไร้สาระสิ้นดี มีที่ไหนกันที่ตำแหน่งจักรพรรดิผู้ที่ถือครองอำนาจสูงสุดจะถูกกำหนดโดยคนจากนอกราชสำนัก ?

ทว่าเยียนหานยวี่กลับเชื่อจนสนิทใจ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าเขาเป็นคนโฉดเขลา เพราะเมื่อกงซุนมาถึงเมืองกวนหยุน นางได้นำจดหมายจากเสด็จแม่มามอบให้แก่เขา

ในจดหมายฉบับนี้ ได้กล่าวเตือนห้ามเขาเป็นศัตรูกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นอันขาด ทั้งยังต้องเป็นมิตรต่อฟู่เสี่ยวกวนอีกด้วย ในนั้นมีความหมายบางอย่างแอบแฝงอยู่ และนั่นก็คือสักวันหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนอาจจะมีอิทธิพลอย่างที่จินตนาการมิถึง

ในจดหมายฉบับนั้นมิได้อธิบายสาเหตุไว้ แต่เสด็จแม่ทรงมิกระทำสิ่งใดอย่างไร้สาเหตุเป็นแน่ เพราะเสด็จแม่นั้นมีที่ปรึกษาอยู่ข้างพระวรกาย เขาผู้นั้นมีนามว่าจี้หยุนกุย !

ชายผู้นี้มีการศึกษาและมีท่าทีสง่างามดั่งเทพบุตร อีกทั้งยังมีความรอบรู้อีกด้วย !

เขาท่องเที่ยวอยู่ทั่วทั้งใต้หล้าราว 20 ปี จากนั้นเมื่อหนึ่งค่ำเดือนยี่เขาได้เดินทางมาถึงแคว้นอี๋ และได้รับหน้าที่เป็นอาจารย์บรรยายอยู่ที่สำนักศึกษาหวูถง ณ เมืองไท่หลินแห่งแคว้นอี๋อยู่ราวสามวัน จากนั้นเขาและเสด็จแม่ก็ได้รู้จักกัน แม้สำนักศึกษาหวูถงมิใช่สำนักศึกษาที่ดีที่สุด แต่เป็นสำนักศึกษาที่เสด็จแม่ทรงก่อตั้งขึ้นมา และบรรดาบัณฑิตล้วนแต่เป็นเด็กที่กำพร้าบุพการี

หลังจากนั้นเขาและเสด็จแม่ก็ได้สนทนากันอย่างถูกคอ แล้วจึงได้รับเขาไว้เป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา อีกทั้งยังได้แต่งตั้งเขาให้เป็นอาจารย์ของเยียนหานยวี่อีกด้วย

เยียนหานยวี่นับถือในความสามารถของจี้หยุนกุยเป็นอย่างมาก

เขามีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสถานการณ์การบ้านเมืองในปัจจุบันของแต่ละแคว้น ในสายตาของเยียนหานยวี่อาจารย์ของเขาคือผู้ที่เข้าใจในบทความคำสอนของขงจื๊ออย่างลึกซึ้ง เพียงแต่เขาค่อนข้างใช้ชีวิตเรียบง่าย แม้ว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังคงรับหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำสำนักศึกษาหวูถงต่อไป เพราะอาจารย์ได้บอกว่าปฐพีนี้มีสำนักศึกษาหวูถง สักวันจะนำพญานกเฟิ่งหวงกลับรังนอน

หลังจากนั้นเขาก็ได้ร่วมสนทนากับอาจารย์ คำเอ่ยของอาจารย์มีนัยแอบแฝงว่าเสด็จแม่นั้นคือนกเฟิ่งหวง ดังนั้นเขาก็คือลูกของนกเฟิ่งหวง แล้วสักวันลูกของนกเฟิ่งหวงจะบินร่อนเหนือผืนปฐพีทั้งเก้า

ตอนแรกเขามิค่อยเข้าใจความหมายของคำเอ่ยนั้นอย่างลึกซึ้งเท่าใดนัก แต่เมื่อมาถึงเมืองกวนหยุนแล้วได้พบเจอกับฟู่เสี่ยวกวน เมื่อเขาได้ยินคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนและเมื่อเขาได้รับพระราชสาสน์จากเสด็จแม่ ทำให้บัดนี้เขารู้แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุคคลที่ทรงคุณค่าต่อเขาอย่างแท้จริง !

หากลองใคร่ครวญให้ดี ฟู่เสี่ยวกวนเดิมทีนั้นเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง และได้โดดเด่นขึ้นมาในท้องพระโรงแห่งราชวงศ์หยู บัดนี้เมื่อมาเยือนเมืองกวนหยุนกลับกลายเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวินในพริบตาราวกับเป็นเรื่องมหัศจรรย์แห่งสรวงสวรรค์ หากวันหนึ่งวันใดเขาได้รับความเกื้อกูลจากฟู่เสี่ยวกวน วันนั้นเขาคงเป็นดั่งมังกรผงาดฟ้า !

เมื่อเยียนหานยวี่คิดได้เช่นนี้ก็เกิดความร้อนรนขึ้นมาในจิตใจ

“ท่านพี่ท่าป๋า ข้านั้นคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิได้เสแสร้งแกล้งทำอย่างแน่นอน”

ท่าป๋ายวนคิ้วขมวดตึง“น้องเยียนต้องการจะเอ่ยว่าฟู่เสี่ยวนั้นประพันธ์บทกวีได้วิจิตรบรรจงจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“บทประพันธ์…บทประพันธ์ของเขาเมื่อตกลงมาสู่ผืนปฐพีนี้ ยากที่จะมีผู้ใดเหมือน ! ”

ท่าป๋ายวนจ้องไปที่หน้าของฟู่เสี่ยวกวนด้วยความตะลึงค้าง คิดว่าคงเป็นเพราะองค์ชายหกโดนวาจาของฟู่เสี่ยวกวนจี้ใจดำ อีกทั้งยังแขนขาดเพราะฟู่เสี่ยวกวนอีกด้วย เขาควรจะอาฆาตแค้นถึงจะสมควร แต่ทว่าสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาเมื่อครู่กลับมีความนับถือปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

หรือว่าสมองของเขาจะมีปัญหาเข้าเสียแล้ว ?

มิว่าเหล่าปัญญาชนทั้งลานจะคิดเยี่ยงไร แต่บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยกพู่กันขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะเขียนแล้ว

เขาบรรจงตวัดปลายพู่กันท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเหวินสิงโจว ถังจู้กั๋ว และเหวินชางไห่

ความน่าอัศจรรย์อย่างที่มิเคยมีจารึกไว้ก็ได้บังเกิดขึ้น ผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น เขาได้วางพู่กันนั้นลงเป็นสัญญาณว่าเขาได้ตอบทั้งสามหัวข้อเสร็จสิ้นแล้ว