ตอนที่ 309 กระถางธูปซวนเต๋อ

เมื่อรถจอดหน้าประตู หยางโปก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าไป

บ้านที่มุงด้วยหลังคาสีเงินก่อด้วยอิฐสีแดงทั้งหลังได้ถูกรื้อออก บ้านเก่าหลังนี้ไม่มีคนอยู่มาเป็นระยะเวลานาน ไร้การซ่อมแซมมาหลายปี การชำรุดเสียหายจึงค่อนข้างร้ายแรงมาก หน้าบ้านเป็นพื้นดิน มีรั้วล้อมรอบอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ภายในรั้วนั้นมีคอกเล็กๆอยู่ เหมือนกับเพาะปลูกอะไรบางอย่าง

ในตอนที่หยางโปเดินเข้าไปนั้น ก็เห็นแม่หยางกำลังถือบุ้งกี๋อันหนึ่งเดินออกมา ซึ่งในบุ้งกี๋นั้นได้บรรจุข้าวเอาไว้เป็นจำนวนมาก

” แม่ ! “หยางโปตะโกนออกไป คำเรียกนี้เขาใช้มานานกว่า 20 ปี ตั้งแต่ที่พ่อให้กำเนิดปรากฏตัวขึ้น เขาก็ไม่มีทางที่จะรับมันได้อีก

 

แม่หยางเงยหน้าขึ้น ด้วยความที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลา 2 เดือน เส้นผมของเธอได้เปลี่ยนเป็นสีเทา เธอหรี่ตาลง

มองไปทางหยางโป มือข้างหนึ่งสั่นเทา ส่งผลให้บุ้งกี๋ร่วงหล่นลงจากมือ

หยางโปรีบวิ่งเข้ามา ” แม่ แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ ? “

แม่หยางส่ายหน้า ” ไม่เป็นไรจ๊ะ “

เมื่อพูดจบ เธอก็คุกเข่าลงเพื่อเก็บข้าวที่หกเหล่านั้นขึ้นมา

หยางโปขวางเธอเอาไว้ ” ช่างมันเถอะครับ มันสกปรกหมดแล้ว “

แม่หยางอึ้งงันไปเล็กน้อย ” แม่จะเก็บไปให้ไก่ ! “

ได้ยินแบบนั้นหยางโปจึงช่วยแม่หยางเก็บข้าวขึ้นมา แม่หยางเงยหน้าขึ้นไปมองเขา ” ลูกกินข้าวมาแล้วรึยัง ? “

 

” ยังเลยครับ ” หยางโปพูด

” แม่จะไปเอาบะหมี่มาให้ลูกกินนะ ! ” แม่หยางพูดพร้อมกับหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องครัว

ห้องครัวเป็นคอกเล็ก ๆที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่อยู่ด้านนอก ซึ่งคอกทั้งสี่ด้านไม่มีแม้แต่ที่กั้นใด ๆ มีเตาแก๊สวางอยู่ด้านใน แม่หยางกำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหารอย่างรีบร้อน หยางโปจึงทำได้แค่เพียงเดินเข้าไปในบ้าน

บ้านเก่าทรงเตี้ยแห่งนี้ทั้งอึมครึม และทั้งเปียกชื้น เมื่อหยางโปเดินเข้าไป ก็ได้กลิ่นพวกเชื้อราขึ้นมาทันที ที่นี่ไม่มีใครอยู่มาเป็นเวลานาน แม่หยางจึงได้จัดการทำความสะอาด แต่ก็ไม่สามารถซ่อนเร้นอากาศที่ชื้นนี้ได้ จนกระทั่งหยางโปเห็นมุมโต๊ะที่ตั้งอยู่ภายในห้องเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว นี่เป็นร่องรอยหลังจากที่ทำความสะอาดราชื้นเหล่านั้นออกไป

 

ภายในบ้านได้กั้นห้องหนึ่งเอาไว้ ลักษณะห้องทุกอย่างเหมือนกันหมด แต่ภายในห้องนั้นว่างเปล่า มีเพียงเตียงหลังหนึ่งที่วางอยู่ตรงมุมกำแพง ตู้ 1 ใบ ส่วนตรงกลางของห้อง ก็มีแท่นที่ตั้งบูชารูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมสีขาวรูปหนึ่งวางอยู่

แม่หยางได้ยกอาหารเข้ามา พลางพูดขอโทษว่า ” ที่นี่ค่อนข้างโกโรโกโสไม่ค่อยเรียบร้อยไปหน่อย ลูกกินแก้ขัดไปก่อนสักมื้อนะ เดี๋ยวแม่ออกไปซื้อผักมาเพิ่ม ! “

หยางโปนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว ” ไม่ต้องวุ่นวายหรอกครับ ผมกินอะไรก็ได้ “

เมื่อพูดจบเขาก็รับตะเกียบมา แล้วคีบกินในทันที

 

บะหมี่เป็นเพียงบะหมี่ต้มธรรมดาทั่วไป ผสมด้วยต้นหอม แล้วก็ผักกาด เมื่อกินเข้าไปแค่ 2 คำ หยางโปก็เห็นไข่ต้มใบหนึ่งในนั้น จมูกของเขาเปรี้ยวขึ้นมาเล็กน้อย เขายังจำได้ว่าตอนเด็กๆ มักจะไม่ยอมกินไข่ต้ม แม่หยางจึงบีบบังคับให้เขากินมันลงไป

” แม่มาอยู่บ้านเก่าตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ ? ” หยางโปพูดเสียงต่ำ

แม่หยางก้มหน้าลง จากนั้นก็เงียบไปในทันที ” ใกล้จะ 1 เดือนแล้ว “

หยางโปส่ายหน้าด้วยความสงสัย ” ทำไมถึงได้เอาบ้านที่อยู่ในเมืองขายออกไปละ ? “

แม่หยางก้มหน้าลง โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

หยางโปอึ้งงันไป ถึงเขาจะไม่ถามเยอะ และแม่หยางไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม แต่เขาก็รู้ว่าแม่หยางอยากจะเก็บออมเงินเอาไว้ เมื่อพ่อของพวกเขาออกมา ก็จะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น พ่อของหยางโปป่วยเมื่อปีที่แล้ว เขาอาลัยอาวรณ์ไม่อยากขายบ้าน แต่ตอนนี้ก็ถูกขายออกไปแล้ว หยางโปกลับรู้สึกผ่อนคลายออกมาขึ้นมาอย่างฉับพลัน

รสชาติบะหมี่ที่คุ้นเคย ต่อให้ผ่านไป20 ปีก็ไม่เคยเปลี่ยน ทำให้กระเพาะของเขาอุ่นหลังจากที่กินลงไป เพียงแต่เมื่อเห็นสิ่งแวดล้อมที่แม่หยางอยู่ เขากลับไม่ได้สบายใจเลยสักนิดเดียว

” แม่กลับไปอยู่ในเมืองกับผมเถอะ ! ” หยางโปเอ่ยปากพูด

แม่หยางส่ายหน้า ” ช่างเถอะ แม่อยู่คนเดียวที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว เพื่อนบ้านที่นี่ก็ยังอยู่ ว่างไม่ว่างก็ไปเที่ยวบ้านเพื่อนได้ ! “

 

” บ้านก็รั่ว ชีวิตที่นี่ไม่สะดวกสบายเลยนะแม่ ผมเห็นในบ้านก็ไม่มีเครื่องทำความอุ่นด้วย ตอนกลางคืนคงจะหนาวแย่ ” หยางโปพูดต่อ

” ไม่เป็นไร มีแสงแดดสาดส่องก็ได้แล้ว “แม่หยางยังคงพูดยืนหยัดต่อไป

หยางโปหันไปมองแม่ของเขา เมื่อเห็นใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความดื้อรั้น ก็รู้ในทันทีว่าเธอต้องโกรธเคืองอยู่ในใจแน่นอน เพราะเธอคิดมาโดยตลอดว่าหยางโปนั้นมีความสามารถพาพ่อของพวกเขากลับออกมาได้อย่างแน่นอน

หยางโปก็มั่นใจว่าสามารถทำแบบนี้ได้ ดังนั้นเขาก็จึงไม่ได้อธิบายไปมากกว่านี้

 

เมื่อกินบะหมี่หมด หยางโปก็ยืนขึ้น แล้วออกไปล้างจาน เขามองไปทางแม่แล้วพูดขึ้นว่า ” ผมขอออกไปเดินเล่นสักหน่อยนะ ! “

แม่หยางพยักหน้า โดยไม่ได้ยืนขึ้น เธอยังคงนั่งตากแดดอยู่บนม้านั่งตรงประตูอยู่เช่นเดิม

ในใจของหยางโปกำลังครุ่นคิดวิธีการแก้ปัญหา ถึงเขาจะไม่ยอมเจอพ่อลูกหยางก็ตาม แต่แม่หยางยังปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี บุญคุณที่ดูแลเขามายาวนานกว่า 20 ปี ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นที่จะตัดใจได้ !

ครอบครัวกว่าครึ่งที่อยู่ในชนบทนี้มีการสร้างตึกอาคารบ้านช่องขึ้นมาใหม่ มีทิศตะวันตกเท่านั้นที่ยังมีบ้างมุงหลังคาอยู่ 2 หลัง หลังหนึ่งคือบ้านของเขา อีกหลังหนึ่งคือวัดถู่ตี้

 

วัดถู่ตี้ที่นี่เล็กมาก มีพื้นที่เพียง 20-30 ตารางเท่านั้น วัดถู่ตี้แห่งนี้ถูกรื้อถอนมาตั้งแต่ศตวรรษ 60 หลังจากนั้นก็ถูกปฏิรูปแล้วเปิดให้ใช้บริการ และถูกเหล่าคนในชนบทสร้างขึ้นมา จึงทำให้มีขนาดเล็กลงมากทีเดียว

ด้านนอกของวัดถู่ตี้มีคำขวัญคู่หนึ่งแขวนเอาไว้อยู่ทั้งสองข้าง ” เมี่ยว เสี่ยว เสิน ทง ต้า เทียน เกา รื้อ เยวี่ ฉาง ” ตัวอักษรตั้งตรงมีอานุภาพที่ทรงพลัง เมื่อหยางโปตอนเด็กๆ ก็เคยมาเล่นที่นี่อยู่บ่อยครั้ง และเขามักจะแอบขโมยผลไม้บนโต๊ะอยู่เสมอๆ ต่อมาเขาก็มาที่นี่น้อยลง

ในวัดถู่ตี้ มีการถวายบูชาเทพเจ้าถู่ตี้ เทพเจ้าถู่ตี้ท่านเมตตากรุณามาก ส่วนด้านหน้าของรูปปั้นเทพเจ้าถู่ตี้มีกระถางธูปกระถางหนึ่ง ในนั้นเต็มไปด้วยธูปหอม ด้านบนยังมีเศษการเผาไม้ลอยวนขึ้นไปอยู่ไม่น้อย

 

หยางโปกวาดสายตามองออกไป และกำลังทำท่าจะหมุนตัวจากไป แต่กลับอึ้งงันไปอย่างฉับพลัน เพราะเขาพบว่ากระถางธูปที่มีหูจับทั้งสองข้างนั้นเป็นการลอกเลียนแบบทั่วไป แต่เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว กลับแลดูคล้ายขนคิ้ว จมูกเป็นสันตรง แสดงออกถึงความละเอียดประณีตมาก เหมือนดั่งสิ่งของประดับในสมัยโบราณที่มีชื่อว่า ” แจกันช้างแห่งความยุติธรรม ” กระถางธูปลักษณะนี้มีให้พบเห็นไม่มากนัก !

ทันใดนั้นแสงสว่างบางอย่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหยางโป รูรับแสงก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นแสงที่หนาแน่น หยางโปก็ตื่นตกใจในทันที นี่คือกระถางธูปซวนเต๋อ ! อีกทั้งยังเป็นกระถางธูปซวนเต๋อในราชวศ์หมิง เป็นกระถางธูปซวนเต๋อดั้งเดิมอีกด้วย !

หยางโปอยากจะพุ่งตัวออกไปเอากระถางธูปซวนเต๋อออกไปจากที่นี่มาก แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปข้างนอก ก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก กำลังมองมาทางเขา ราวกับป้องกันขโมยยังไงอย่างนั้น

 

หยางโปจึงเดินออกไปอย่างช้า ๆ แต่ในใจกลับครุ่นคิดว่าจะนำกระถางธูปนี้ออกไปได้ยังไง สมบัติล้ำค่าที่ถูกวางเอาไว้ที่นี่ อาจถูกทำลายจนเสียหายได้โดยง่าย

หยางโปไม่ได้หยุดพัก เขาหมุนตัวกลับบ้านไป พร้อมกับคิดหาเหตุผลอยู่ภายในใจ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน หยางโปก็พบว่าแม่ของเขานั้นอยู่หลังบ้าน เขาเลยเดินเข้าไป แล้วก็เห็นว่าแม่กำลังแกะกระเทียมอยู่ เลยเดินเข้าไปพลางถามขึ้นว่า ” ในบ้านไม่มีผักอะไรเลย แม่ก็เลยแกะกระเทียมเอาไว้ผัดไข่ให้ลูกกิน “

หยางโปทำเสียงขึ้นจมูกก่อนจะรีบตอบ อื้อ กลับไปเสียงเดียว

หลังบ้านนั้นใช้ผ้ากั้นฝนคลุมเอาไว้ เมื่อหยางโปมองไป ก็เห็นว่าด้านล่างนั้นมีโลงศพอยู่โลงหนึ่ง เขาตื่นตกใจขึ้นมาในทันที ก่อนจะรีบถามขึ้นว่า ” แม่ทำไมมีโลงศพอยู่ที่นี่ด้วยละ ? “

 

แม่หยางมองไปแวบหนึ่ง ” นี่เป็นโลงศพที่ปู่ของลูกเหลือทิ้งเอาไว้ ในตอนที่ปู่ของลูกตาย พ่อของลูกไม่อยากใช้ เลยบอกว่าให้เก็บเอาไว้ให้เขา “

หยางโปมองไปทางโลงศพสองครั้ง แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า คนชราในชนบทมักจะมีธรรมเนียมเตรียมโลงศพเอาไว้ เพียงแต่การที่พ่อหยางทำแบบนี้ จริงๆแล้วไม่ใช่ตามขนบประเพณีเท่าไหร่นัก !