ตอนที่ 433 ให้บทเรียนใครบางคนสักหน่อย (1) / ตอนที่ 434 ให้บทเรียนใครบางคนสักหน่อย (2)

ยัยจอมกวนป่วนหัวใจนายไอดอล

ตอนที่ 433 ให้บทเรียนใครบางคนสักหน่อย (1)

ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่น เซิ่งอี่เจ๋อที่ยืนบนพื้น ไม่ตอบกลับอะไร

แต่ซ่งชิงเฉิ่นกลับเข้าห้องโถงอย่างดีอกดีใจ ดึงแขนคุณซ่งอย่างร่าเริง “พ่อคะ พี่อาเจ๋อตอบตกลงจะไปเมืองนอกกับหนูแล้วค่ะ”

พอได้เห็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจบนใบหน้าลูกสาวตัวน้อย สีหน้าคุณซ่งก็ผ่อนคลายมากขึ้น

เพียงต้องการให้เซิ่งอี่เจ๋อรับผิดชอบลูกสาวของเขาก็โอเคแล้ว

ช่างน่าเสียดายเด็กสาวคนนั้น… หึ ช่างไร้วาสนา!

พ่อลูกตระกูลซ่งขอตัวกลับ เซิ่งชิงอี้ส่งคนกลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นเซิ่งอี่เจ๋อเดินกลับมาอย่างเนือยๆ พอดี ก็ชื่นชมว่า “ไม่เลวๆ คำพูดแค่คำสองคำก็ทำให้ซ่งซ่งตายใจได้แล้ว อยากจะออกนอกประเทศก็ได้นะ การเรียนที่ต่างประเทศเป็นตัวเลือกแรกๆ ด้วย พ่อจะเตรียมโรงเรียนให้พวกลูกนะ เหมือนว่าที่ต่างประเทศพวกลูกอายุเท่านี้ก็สามารถจดทะเบียนสมรสได้แล้ว…”

เขาที่จู้จี้กังวลไปเสียทุกรายละเอียด เซิ่งอี่เจ๋ออมยิ้มพลางฟังไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า เซิ่งชิงอี้เป็นห่วงเขาในฐานะพ่อ

ทว่าการประชดเช่นนี้

“ปีนั้นที่ผมอยากไปหาเธอ แล้วพ่อหักขาผมขังไว้ที่สถานพักฟื้น ผมยังไม่ลืมนะ” เซิ่งอี่เจ๋อยิ้มกริ่ม ราวกับเป็นเรื่องปกติในครอบครัว ทว่าเซิ่งชิงอี้กลับถูกทำให้แปลกใจจนเหงื่อตก

เซิ่งอี่เจ๋อในรูปแบบนี้ ทำให้เขาผู้อำมหิตคนนี้เกิดกลัวเล็กน้อย!

“ปีนั้นพ่อหวังดีกับลูกนะ! เพื่อบ้านเราไง!” เซิ่งชิงอี้ทำหน้าขรึม วางมาดพ่อที่น่าเกรงขาม

รอยยิ้มเซิ่งอี่เจ๋อจางหายไปเล็กน้อย กลายเป็นสีหน้าที่เย็นชาดุจน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ

“อ่า…” ร่างกายที่ทรงพลังของเขา เหยียดสันหลังตรง “งั้นหลังจากนี้นำความหวังดีของพ่อที่มีต่อผม ไสหัวไปจากโลกของผมซะ!”

“แกไล่พ่อเหรอ? แกเป็นลูกชายควรพูดแบบนี้เหรอ!” เซิ่งชิงอี้โกรธจัด ตะคอกเสียงดังใส่เซิ่งอี่เจ๋อ ซึ่งเซิ่งอี่เจ๋อก็ไม่ได้แยแส

เขาเพียงมองชั่วครู่ แล้วหันตัวเดินหนีออกไป ไร้ซึ่งอาลัยอาวรณ์

ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

นับวันอาการบาดเจ็บอันซย่าซย่าดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้รับประกาศการแข่งขันเทศกาลดนตรีรอบชิงชนะเลิศ

ตอนนี้เธอยังไม่สะดวกจะไปโรงเรียน ทว่ายังเข้าร่วมการแข่งขันได้อยู่

และได้คุยกับคนที่บ้านมาบ้างแล้ว ป่าป๊าอันและอันอี้เป่ยต่างเห็นด้วย เธอจึงฝึกภายในบ้านได้อย่างสะดวก

รอบชิงชนะเลิศให้เพลงมาสิบเพลง เวลาแข่งขันต้องเข้าจับฉลาก หมายความว่าทุกคนต้องฝึกทั้งสิบเพลง ความกดดันผู้เข้าแข่งขันแค่คิดก็พอรู้แล้ว

จิตใจของอันซย่าซย่ายังดีอยู่ เหมือนว่านำความกังวลหลายวันมานี้มาระบายผ่านดนตรี ทุกครั้งที่ฝึกเล่นเสร็จ ก็จะมีความรู้สึกที่สบายใจอย่างยิ่ง

พริบตาเดียวก็ถึงวันแข่งแล้ว อันอี้เป่ยไปส่งเธอที่สนามแข่งด้วยตัวเอง แล้วให้กำลังใจอย่างเฉยชา “สู้ๆ นะ”

“พี่คะ พี่ช่วยกระตือรือร้นกว่านี้ได้ไหมเนี่ย? แรงๆ หน่อย” อันซย่าซย่าแขวะ

อันอี้เป่ยมองเธอแวบหนึ่ง และยังคงพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบว่า “ว้าว ซย่าซย่าสุดยอด สู้ๆ”

อันซย่าซย่าแทบหลั่งน้ำตา “ช่างเถอะ ไม่ต้องเชียร์ฉันแล้ว”

มุมปากอันอี้เป่ยคว่ำลงเล็กน้อยอย่างสังเกตได้ยาก จากนั้นเธอก็ไปที่ห้องประชุมเพื่อรอดูการแข่งขัน

ที่ห้องประชุม ยังมีแขกสองคนที่ไม่ได้รับเชิญ

หลีฝานซิงและซ่งชิงเฉิ่น

“เซิ่งอี่เจ๋อตกลงจะไปต่างประเทศกับเธอแล้วเหรอ?” หลีฝานซิงตกใจสุดขีด

ซ่งชิงเฉิ่นพยักหน้าหน้าอย่างเขินอาย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่น่ามอง “ใช่แล้ว”

หลีฝานซิงไร้คำพูด ตอนแรกเธอร่วมมือกับซ่งชิงเฉิ่น เพราะคนหนึ่งต้องการเซิ่งอี่เจ๋อ คนหนึ่งอยากได้ฉีเหยียนซี

ตอนนี้ซ่งชิงเฉิ่นสำเร็จไปแล้ว ส่วนเธอยังไม่รู้จะจับต้นชนปลายอย่างไรดี

แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้เสียจริง

“ก่อนจะไป อยากจะให้บทเรียนใครบางคนสักหน่อยน่ะ” ซ่งชิงเฉิ่นควักใบตรวจครรภ์ใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าด้วยท่าทีที่สง่างาม หลังจากถ่ายรูปเอาไว้ก็กดส่งไป

หลีฝานซิงกวาดสายตามอง อย่างที่คาดไว้ ส่งให้อันซย่าซย่า!

ตอนที่ 434 ให้บทเรียนใครบางคนสักหน่อย (2)

ด้านหลังเวที

อันซย่าซย่าโชคดี ที่จับฉลากได้เพลงดาวบนฟ้าจากครั้งก่อน เมื่อก่อนเธอใช้เพลงนี้ซ้อมฝีมืออยู่บ่อยครั้ง ตอนรอบคัดเลือกก็ฝึกอีกนับครั้งไม่ถ้วน เธอจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ รอที่จะขึ้นเวที

โทรศัพท์ส่งเสียงแจ้งเตือนสองครั้ง เธอยังคิดว่าเป็นอันอี้เป่ยที่ส่งข้อความมาหา พอเปิดดู กลับเป็นใบตรวจของโรงพยาบาล

ชื่อ: ซ่งชิงเฉิ่น ประเภทการตรวจ: สูตินรีเวช

เป็นสถานะว่าตั้งครรภ์รึเปล่า ซึ่งหมอได้เขียนผลวินิจฉัยลงบนช่องว่างว่า

‘ยืนยันการตั้งครรภ์ อายุครรภ์2-3สัปดาห์ สุขภาพแข็งแรงดี ให้ระวัง…’

เนื้อหาที่หลังจากนั้น อันซย่าซย่าไม่อ่านต่อ

หน้าซีดถึงขีดสุดทันที เธอกำโทรศัพท์แน่น ผู้เข้าแข่งขันใจดีที่อยู่ข้างๆ ก็ถามขึ้น “เธอ เธอโอเครึเปล่า? ไม่สบายหรอ?”

อันซย่าซย่าตอบกลับ ส่ายศีรษะ “ไม่เป็นไร…”

ราวกับหัวใจโดนกระชากอย่างทารุณ เจ็บจนเธอหายใจแทบไม่ออก

โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เธอมองดูด้วยความมึนงง เป็นข้อความแจ้งเตือน

คุณได้จองเที่ยวบินที่ XS156 ที่จะบินไปประเทศ M สำเร็จแล้ว เวลาบิน: XX……

ประเทศ M เหรอ? ฉันไม่ได้ซื้อตั๋วเครื่องบินนี่…

ไม่ใช่ละ จำได้ว่าครั้งก่อนเซิ่งอี่เจ๋อบอกไว้ว่าจะบินไปเกาหลีคนเดียว เลยต้องจองตั๋วไว้ แบตโทรศัพท์เขาหมด เลยใช้โปรแกรมในโทรศัพท์เธอจองตั๋วแทน

โปรแกรมนั่นผูกบัตรประชาชนของเขาและหมายเลขโทรศัพท์ของเธอเอาไว้ด้วยกัน ตอนนี้เธอได้รับข้อความ คงอธิบายได้ว่ามีคนใช้ชื่อเซิ่งอี่เจ๋อไปซื้อตั๋วที่จะไปประเทศ M

เธอพิมพ์ข้อความไปยังหมายเลขซ่งชิงเฉิ่นนั่นด้วยมือสั่นระริก ‘พวกเธอทั้งสองไม่ใช่จะออกนอกประเทศหรอกนะ?’

ซ่งชิงเฉิ่นที่ได้รับข้อความก็ทำหน้าสงสัย อันซย่าซย่ารู้ได้อย่างไรกัน?

แต่รู้แล้วก็ดี จะได้โจมตีเป็นสองเท่า เธอไม่เชื่อว่าการแข่งครั้งนี้อันซย่าซย่ายังไม่ได้สำแดงฤทธิ์!

ซ่งชิงเฉิ่นยิ้มมุมปากอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น แล้วพิมพ์ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า ‘ใช่จ้ะ’

คำง่ายๆ เพียงสองคำ ทำเอาอันซย่าซย่าหน้าซีดราวกับกระดาษ

กดพิมพ์ก็กดไม่ลง เธอไม่มีแรงจะไปซักไซ้อีกแล้ว รู้สึกแค่เพียงตัวเองเหมือนเป็นเรื่องตลก

พวกเขาจะไปแล้ว เขายังจะส่งดวงดาวมาให้เธอทำไมอีก?

เลว!

ไอ้สารเลว!

“เธอจ๊ะ ถึงตาเธอแล้วนะ” ผู้หญิงที่เพิ่งแสดงสะกิดอันซย่าซย่า อันซย่าซย่าหยิบไวโอลินขึ้นอย่างแข็งทื่อ ก้าวเดินไปถึงกลางเวที ซ่งชิงเฉิ่นที่อยู่ห้องประชุมเห็นสีหน้าเธอซีดเซียว ก็รีบส่งเสียงหัวเราะออกมา

สมน้ำหน้า!

อันซย่าซย่าถือเครื่องสายขึ้น ไม่ได้บรรเลงเสียที ในห้องเริ่มส่งเสียงวุ่นวายกันขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมยังไม่เล่นสักที?”

“คงไม่ใช่ว่าตื่นเวทีหรอกนะ…”

“ไม่สบายรึเปล่า? สีหน้าเธอไม่ค่อยดีเลย เหมือนใกล้จะเป็นลมเลย…”

ขณะที่ผู้คนกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ อันซย่าซย่าหายใจลึก พยักหน้าให้คนที่เล่นดนตรีคลอการแสดงที่ด้านหลัง

นั่นก็คือเพื่อนที่เคียงบ่าเคียงไหล่ของเธอตลอดมา ก็เข้าใจชัดเจนทันที แล้วเริ่มบรรเลงขึ้น

พอสีเครื่องสาย เสียงไวโอลินที่เพราะพริ้งก็ผสมผสานเข้าด้วยกัน คนทั้งห้องที่กระวนกระวายก็เงียบสงบลง

เหล่ากรรมการก็ออกอาการแสดงความชื่นชม มีคนไม่น้อยที่ประทับใจอันซย่าซย่า

หากพูดถึงการแสดงครั้งก่อน ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้เรียกได้ว่า ไร้ที่ติ!

อารมณ์ที่เศร้าโศกที่แทบจะสิ้นหวัง กดดันห้องประชุมจนเงียบกริบ ยามที่บทเพลงเข้าสู่ท่อนสำคัญ ก็ราวกับได้ดึงเปิดความทรงจำขึ้นมา ที่ลอยเข้าสู่หูทุกคน พากันร้องเอะอะ ซึ่งเป็นความเงียบที่หนักอึ้งอีกทั้งยังหนักแน่นละเอียดที่ผ่านเข้าสู่หัวใจ

เมื่อบทเพลงจบลง คนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในห้องล้วนเช็ดที่หน้าแก้ม

พบว่าคนจำนวนมากตกตะลึง จนไม่นึกว่าพวกเขา…จะพากันร้องไห้กันหมด!