ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 43 เหตุปะทุ (5)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

เสวียนจีถูกเขาตวาดใส่ก็ตะลึงกับที่ นางจำได้ว่าคำสาปคู่รักคืออะไร ยังมีหน้ากากกึ่งร้องไห้กึ่งหัวเราะนั่นอีก เพียงแต่… “หน้ากากไม่ใช่ถูกทำลายไปแล้วหรือ คำสาปคู่รักไม่ใช่แก้ได้แล้วหรือ” นางหันกลับไปมองราวกับเด็กน้อยทำผิด ถามอย่าลนลาน

 

 

สีหน้าเคร่งเครียดหลิ่วอี้ฮวน เขาคว้าแขนเสื้อนาง ลากนางให้ถอยไปหลายก้าวจึงได้กล่าวว่า “หน้ากากถูกทำลายแล้วก็ไม่เกี่ยวอันใดกับคำสาปคู่รัก! พิษคำสาปนี้รุนแรงมาก จะแผลงฤทธิ์ออกมาออกฤทธิ์ยามที่จิตใจเขาไม่สงบนิ่ง ราวกับโรคเรื้อรัง ยามนี้ดีที่สุดเจ้าอย่าเข้าไป จะได้ไม่ทำให้เขาต้องตายด้วยมือเจ้า!”

 

 

เสวียนจีตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน หลุดร้องออกมาว่า “ข้าจะฆ่าเขาได้อย่างไร!”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนเม้มปากไม่กล่าวอันใด เขาไม่คิดจะตำหนิแม่นางน้อยนี่ นางทนรับแรงกดดันมาไม่น้อยแล้ว

 

 

รองเจ้าตำหนักหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “เจ้าไม่ได้ใช้กระบี่ฆ่าเขา เจ้าใช้ใจฆ่าเขา”

 

 

“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” เสวียนจีไม่เกรงใจเขา ใบหน้ายังเย็นเยียบใส่ราวเคลือบน้ำค้างแข็ง

 

 

รองเจ้าตำหนักกล่าวว่า “ข้าเหลวไหลอะไร เจ้ารู้ไหมว่าสองใจเป็นหนึ่งรื่นรมย์คืออะไร เจ้าไม่รู้หรือว่าคำสาปคู่รักจะออกฤทธิ์ยามที่จิตใจรู้สึกไม่มั่นคงในรักที่ได้มา คนที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นคือผู้ใด คือเจ้ากระมัง ในเมื่อเจ้าไม่รักเขา ไยไม่ตัดใจปล่อยมือเสีย คนที่เอาแต่ดื้อดึงไม่ยอมปล่อยมือไม่ใช่เขา แต่เป็นเจ้า”

 

 

“ข้า…ข้าเปล่า!” เสวียนจีร้อนใจแทบจะร้องไห้ “ข้าจะไม่ชอบเขาได้อย่างไร?! ข้าชอบซือเฟิ่งมาก!” นางไม่อาจสนใจความอาย กล่าวความในใจออกมาต่อหน้าผู้ชายหลายคน

 

 

รองเจ้าตำหนักกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เสวียนจีน้อย ชอบกับรักคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง คนที่เจ้าชอบมีมากมาย ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่สาว น้องสาว ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง…เจ้าชอบคนตั้งมากมาย แต่คนรักไม่เหมือนกัน โลกใบนี้ เจ้ารักได้เพียงคนเดียว”

 

 

เสวียนจีอ้าปากคิดโต้กลับ พลันรู้สึกว่าหาวาจาโต้กลับไม่เจอ

 

 

หลิ่วอี้ฮวนเองก็เคยถามนางเช่นนี้ แท้จริงในใจนางอวี่ซือเฟิ่งคืออะไร เทียบกับคนที่นางชอบพวกนั้นแล้ว แท้จริงผู้ใดสำคัญที่สุด นางไม่เคยเข้าใจว่าคำถามนี้หมายถึงอะไร ผู้ใดก็ล้วนสำคัญ นางไม่คิดสูญเสียไปสักคน

 

 

แต่ตอนนี้ นางเริ่มเข้าใจแล้ว

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเคยกล่าวว่า ขอเพียงมีคนผู้หนึ่งยินยอมไปตายเพื่อเขา ทุกอย่างเทียบกับคนผู้นั้นแล้วล้วนไม่สำคัญ ร่วมเป็นตายกันก็คือเช่นนี้ เจ้าจะเศร้าเสียใจให้กับคนมากมาย ถึงกับแทบอยากจะตายตามไปด้วย แต่มีเพียงคนเดียวที่ทำให้เจ้าไม่ลังเลที่จะตามเขาไป เพียงเพราะคนผู้นั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตนเอง สูญเสียนาง โลกทั้งใบก็เท่ากับตายจากไป

 

 

เช่นนั้นอวี่ซือเฟิ่งในใจนางแท้จริงใช่คนสำคัญเช่นนี้ไหม นางคิดอยู่นาน คิดจนเหงื่อท่วมใบหน้าก็คิดคำตอบไม่ออก แต่ไรมานางไม่เคยสูญเสียเขาไปจริงๆ ในใจนางมีความคิดต่ำช้าอยู่ว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะอยู่เป็นเพื่อนนาง เขาจะไม่จากไปไหนตลอดไป เพียงเขาอยู่ นางก็จะไม่โดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต

 

 

นางไม่เคยคิด เกิดว่าวันหนึ่งเขาจากไปจริง ตนเองจะเป็นเช่นไร เพียงเพราะนางมั่นใจว่าอวี่ซือเฟิ่งจะไม่ไป เพราะนางรู้ว่าเขารัก จึงไม่เกรงกลัวและเอาแต่ใจ

 

 

ท่านพ่อกับท่านแม่จากไป นางก็จะเศร้าเสียใจ หลิงหลงกับหมิ่นเหยียนจากไป นางก็คงปวดใจ แต่ไม่เป็นไร นางยังมีซือเฟิ่ง เขาเป็นแสงสายหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของนาง ไม่มีทางจากไปได้ นางฝังความคิดนี้ไว้ลึกสุด ไม่เปิดเผยแม้แต่กับตนเอง

 

 

นางยอมขึ้นเขาลงกระทะน้ำมันเดือดเพื่อเขา แล่นไปทวงคนจากตำหนักหลีเจ๋อโดยไม่ห่วงชีวิต ในนั้นแท้จริงกี่ส่วนที่เป็นเพราะรักเขา นางไม่รู้ เขาใกล้ชิดกับนางเช่นนี้ กอดนาง จุมพิตนาง ตอนนั้นนางมีความจริงใจอยู่กี่ส่วน นางก็ไม่รู้

 

 

นางเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ทุกสิ่งล้วนเพื่อตนเอง นางไม่อยากตัวคนเดียว นางกลัวโดดเดี่ยวที่สุด ตอนเด็กถูกลงโทษไปอยู่ถ้ำแสงฉาน ราวกับโลกทั้งใบเหลือเพียงนางคนเดียว นางไม่อยากสัมผัสความรู้สึกเช่นนั้นอีก ความอ่อนโยนของอวี่ซือเฟิ่งเป็นดังฟางช่วยชีวิตนางเพียงเส้นเดียวที่นางคว้าได้ นางแม้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ

 

 

นั่นคือความรักหรือ

 

 

นั่นจะเป็นความรักหรือ?!

 

 

สีหน้าเสวียนจีซีดขาว นิ่งอยู่กับที่ ในสมองสับสนไปหมด

 

 

รองเจ้าตำหนักกล่าวอ่อนโยนว่า “จริงๆ แล้วเจ้าไม่ได้รักเขา เช่นนั้นก็อย่าได้ทรมานเขาเลย รีบปล่อยมือ ดีกับเจ้าและเขา”

 

 

“ข้า…ข้า…” เสวียนจีพึมพำ พลันรู้สึกอัดอั้นอย่างที่สุด น้ำตาค่อยๆ ไหลริน

 

 

เสียงอวี่ซือเฟิ่งพลันดังขึ้น เขากำลังเรียกนาง น้ำเสียงอ่อนแรง “เสวียนจี…เสวียนจีหรือ”

 

 

เสวียนจีร้องไห้เจ็บปวด กุมหน้าพลางพยักหน้า สะอื้นไห้กล่าวว่า “ข้าเอง…ซือเฟิ่ง เจ้าสบายดีไหม”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพิงกายอยู่ในอ้อมกอดเจ้าตำหนักใหญ่ ไร้สิ้นเรี่ยวแรง สีหน้าเขาซีดขาว มองไปไกลอย่างไม่รู้ที่ใด เป็นนานก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “ขอโทษ ไม่เคยพูดความจริงกับเจ้า คงทำเจ้าตกใจมาก”

 

 

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เปล่า…ข้าเพียงแค่ตกใจนิดหน่อย…ซือเฟิ่ง ข้าไม่ได้ตั้งใจปล่อยมือเจ้า…เจ้าอย่าโกรธข้านะ”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่ได้โกรธ…ใช่แล้ว พวกท่านพ่อเจ้า ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”

 

 

“เปล่า พวกเขาสบายดี…ซือเฟิ่ง เจ้าจะกลับไปกับพวกเราใช่ไหม คำสาปคู่รักนั่น ข้าต้องหาทางแก้ให้เจ้าเอง เจ้าไม่ต้องกังวล”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเงียบงันไปครู่หนึ่ง พลันกล่าวว่า “เกาะฝูอวี้วุ่นวายกันเช่นนี้ เจ้าออกมาได้อย่างไร เกิดมีเหตุไม่คาดคิดอีกจะทำอย่างไร”

 

 

เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ข้ามาตามเจ้า…เจ้าอย่าเปลี่ยนเรื่อง! ซือเฟิ่ง! แม้เจ้าเป็นปีศาจก็ไม่เป็นไร! ข้าไม่สนใจสักนิด! กลับไปกับพวกเรา! หากพวกท่านพ่อคิดมากเรื่องนี้ อย่างนั้นพวกเราก็จากไปด้วยกัน! โลกกว้างใหญ่ไปที่ไหนก็ได้! ข้าไม่สนใจอะไรเลยจริงๆ นะ!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหันกลับไปมองนางแวบหนึ่ง แววตานิ่งราวสายน้ำนิ่ง เสวียนจีอดผงะถอยไม่ได้ เขากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “จากไปแล้ว จะอยู่กับกับทุกคนตลอดไป หัวเราะเฮฮากันตลอดไปเช่นนี้หรือ เช่นนี้เจ้าก็จะไม่เหงาแล้ว ใช่ไหม”

 

 

เสวียนจีราวกับถูกฟ้าผ่าใส่กลางวันแสกๆ สีหน้าในยามนั้นซีดเผือด น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เจ้า…เหตุใดเจ้า…กล่าวเช่นนี้…”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก จริงๆ แล้วเขาฟื้นนานแล้ว รองเจ้าตำหนักคุยกับเสวียนจี เขาได้ยินชัดเจน และเพราะได้ยินชัด ดังนั้นเขาจึงคาดไว้นานแล้ว เสวียนจีต้องไม่กล่าวคำว่ารักเขาออกมา คำตอบนางเขาเองก็รู้นานแล้ว เพียงแต่แต่ไรมาไม่อยากจะเก็บมาคิดก็เท่านั้น

 

 

เขารู้จักเสวียนจีมากเกินไป นางไม่เข้าใจคำว่ารัก นางเหมือนเด็กน้อยขี้เหงาคนหนึ่ง ลากทุกคนเป็นเพื่อนนาง เช่นนี้นางจึงจะวางใจ แต่ไรเขาเอาแต่หลอกนางและก็หลอกตนเอง ตอนนี้เขาไม่อาจหลอกต่อไปได้แล้ว

 

 

“เสวียนจี ข้าจะไปแล้ว” เขากล่าวน้ำเสียงนิ่งเฉย “ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่อาจเป็นเพื่อนเล่นเจ้าแล้ว วันหน้าเหลือเจ้าคนเดียวแล้ว ต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้ข้าต้องเป็นห่วงเจ้า เข้าใจไหม”

 

 

เสวียนจีตัวสั่นไปทั้งตัว เข่าอ่อนยวบ ฝืนกายไม่ไหวอีกต่อไป นางน้ำเสียงเศร้ากล่าวว่า “เจ้าหลอกข้า! เจ้าเคยกล่าวว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป! เจ้าหลอกข้า!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าหลอกเจ้า ข้าทนไม่ไหวแล้ว เสวียนจี เจ้าควรโตได้แล้ว”

 

 

เสวียนจีอึ้งมองเขา พลันยิ้มงุนงง พึมพำกล่าวว่า “เจ้าหลอกข้า…ซือเฟิ่ง เจ้าจะไม่ไป?”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ไม่ ข้าจะไป”

 

 

“เจ้าโกหก! เจ้าเคยกล่าวชัดๆ ว่า…เจ้าเคยกล่าวว่า…” เขาเคยกล่าวว่าเขามองแต่นางคนเดียว เขายังเคยกล่าวว่า แม้นางนึกเสียใจภายหลัง เขาก็ไม่ไป คำพวกนั้นล้วนเป็นวาจาโกหก?

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้าเคยกล่าวไว้มาก แต่ตอนนี้ข้าทำไม่ได้แล้ว เสวียนจี ข้ารักเจ้า วันหน้าก็จะรักเพียงเจ้า แต่ข้าไม่คิดอยู่กับเจ้าแล้ว”

 

 

เจ้าตำหนักใหญ่หัวเราะยินดีแทบคลั่ง กล่าวน้ำเสียงสั่นว่า “เด็กดี! เด็กดี! พูดได้ดี! กลับตำหนักหลีเจ๋อกับอาจารย์เถอะ! นานไป เจ้าก็จะลืมทุกอย่างได้เอง!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเหนื่อยจนพ่นลมออกมา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อาจารย์…ศิษย์สร้างความลำบากให้ท่านมากมาย…”

 

 

เจ้าตำหนักใหญ่น้ำตาคลอ “ไม่ลำบาก…เพียงแค่เจ้ากลับมา…ในใจข้าก็ดีใจอย่างที่สุดแล้ว!”

 

 

เขาหันหลังเดินจากไป ไม่หันมามองอีก รองเจ้าตำหนักมองเสวียนจีครู่หนึ่งก็ค่อยๆ เดินจากไป เสวียนจีพลันร้องดังขึ้นว่า “ซือเฟิ่ง! ขอร้องเจ้า! อย่าไป! อย่า…อย่าจากข้าไป!”

 

 

เขาราวกับไม่ได้ยิน เขาไม่หันมามองนางอีก เจ้าตำหนักใหญ่ทะยานขึ้นฟ้า กลายเป็นจุดดำกลางท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว มองไม่เห็นอีก รองเจ้าตำหนักยืนอยู่กลางอากาศ ก้มหน้ามองเสวียนจีราวกับสงสารยิ่ง เป็นนานก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเจ้ายังเด็ก วันหน้า พอเข้าใจแล้ว…ใช่ว่าไม่อาจ…”

 

 

เขาพลันส่ายหน้าถอนหายใจ บินทะยานออกไปไกล

 

 

เสวียนจีมองท้องฟ้าว่างเปล่าตาปริบๆ รีบไล่ตามไปหลายก้าว ในใจราวกับผืนฟ้าว่างเปล่า ถูกกวาดจนว่างเปล่า

 

 

“เจ้าหลอกข้า…เจ้าคนขี้โกหก…” นางพึมพำ น้ำตาไหลนองเป็นพวงอาบใบหน้าขาวราวหยกสลักของนาง ไหลรดลงลำคอ นางไม่แม้แต่กะพริบตา ค่อยๆ เดินไปราวกับไร้วิญญาณ

 

 

หลิ่วอี้ฮวนที่อยู่ด้านหลังทนไม่ไหว เข้าไปประคองนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “เสวียนจีน้อย เจ้าอย่าเคร่งเครียดไป เฮ้อ…ทำไมที่นี่จึงมีพวกหัวทื่อสองคน น่าเป็นห่วง…”

 

 

เสวียนจีหันกลับไปมองอย่างไร้วิญญาณ มองเขานิ่งอึ้ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พี่หลิ่ว เขาหลอกข้า…เขาไปแล้ว”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนกล่าวอ่อนโยนว่า “เขาเพียงแค่คิดไม่ตก ไม่นานก็กลับมา”

 

 

เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ ข้ารู้ดี…เขาทนข้าไม่ไหวแล้ว เขาไม่กลับมาอีกแน่”

 

 

หลิ่วอี้ฮวนเห็นท่าทางนางเป็นเช่นนี้ ในใจหวาดกลัวอยู่บ้าง ตบไหล่ปลอบนาง กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “หรือว่าพี่หลิ่วเป็นเพื่อนเจ้าไปแย่งเขากลับมาอีกดี”

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “ครั้งนี้เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ข้าแย่งอย่างไรก็ไม่กลับมาแล้ว…เขาตัดสินใจแล้ว ทอดทิ้งข้า…”

 

 

คำว่าทอดทิ้งคำนี้ ทำเอาในใจนางพลันปวดปลาบ เบื้องหน้าดับวูบ ทนไม่ไหวอีกต่อไป ล้มคะมำลงทันที