บทที่ 73 ข้าชอบผู้ชายเท่านั้น ! (ต้น)
เขาย้ำถึงสามครั้งสามครา !
ทั้งบริเวณกลับสงบนิ่ง !
ราวกับจะรับรู้ถึงความผิดปกติ กู้เฉียนเฉิงย่นหัวคิ้วเล็กน้อย กวาดตามองโดยรอบ “เกิดอะไรขึ้น ?”
ในเวลานี้หลีซิ่วจำต้องผุดลุกขึ้น ก่อนอื่นเขาแสดงคารวะต่อกู้เฉียนเฉิง จากนั้นจึงเอ่ยปากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดโดยหาได้ปิดบังแม้แต่น้อย !
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ความเงียบพลันเข้าครอบคลุมบริเวณลานกว้าง !
บรรดาผู้อาวุโสแห่งสถานศึกษาฉางมู่และรองอาจารย์ใหญ่อีกสองคนหันมาทางหลีซิ่วด้วยท่าทีไม่ชอบใจนัก
ถ้าเวลานี้ไม่มีกู้เฉียนเฉิง คงเกิดเหตุการณ์แตกหักเป็นแน่แท้
กู้เฉียนเฉิงนิ่งฟัง เขาเงียบไปชั่วขณะพลางส่ายหน้าน้อย ๆ “อาจารย์ใหญ่มู่เป็นผู้ตั้งค่ายกลขึ้นมา ด้วยต่อมาข้าเห็นว่าค่ายกลยังมีไม่แข็งแกร่งพอจึงใส่เซียนหุ่นไม้เหล่านั้นเพิ่มเข้าไป ผู้ใดที่สามารถฝ่าทำลายค่ายกลก่อนอายุครบ 20 ขวบปี แม้ว่าจะใช้กลอุบายใด เขาผู้นั้นก็ย่อมต้องมีความกล้าแกร่งอย่างมาก ที่จริงแล้ว ใครก็ตามที่สามารถทำลายค่ายกลได้ คนผู้นั้นยอมไม่ได้ใช้แต่เพียงกลอุบาย หากแต่ต้องมีความแข็งแกร่งด้วย การที่เจ้าบอกว่าเขาไร้ตันเถียน นั่นยิ่งพิสูจน์ได้ว่าเขาจะต้องมีความพิเศษยิ่งนัก ในความเห็นของข้า ข้าคิดว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัวเสียด้วยซ้ำไป คนที่ทำลายค่ายกลทั้งที่ปราศจากตันเถียน เจ้าว่ายังไม่น่ากลัวอีกหรือ ?”
หลังจากที่ฟังชายกลางคนพูดมาดังนั้น หลีซิ่วพลันมีสีหน้าซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับอันหลานซิ่ว ที่ทำให้สีหน้าของเขายิ่งหมองคล้ำหนักขึ้นอีก
“คนของอันหลานซิ่ว ?”
“ผู้ที่เป็นคนโปรดของอัจฉริยะยอดฝีมือเช่นนั้น จะยังเป็นแค่คนธรรมดาสามัญอย่างนั้นหรือ ?”
“ไม่ธรรมดาเลย !”
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลีซิ่วก็ได้แต่แสยะยิ้มอย่างหม่นหมอง เขาก้มคารวะต่อกู้เฉียงเฉิงอีกครา “ข้าไม่ทัน คิดถึงความเป็นยอดฝีมือของเขาเลยขอรับ !”
ชายกลางคนได้แต่สั่นศีรษะ “เจ้าไม่อาจฝืนโชคชะตา”
เขามองไปยังคนที่อยู่รอบด้าน “ข้าออกจากแผ่นดินชิงไปนานหลายร้อยปี ทว่าได้ทิ้งเงาไว้เบื้องหลัง คอยจับดูว่าจะมีใครสามารถทำลายค่ายกลที่ข้าและท่านอาจารย์ใหญ่มู่สร้างขึ้นหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าการณ์จะ กลายเป็นเช่นนี้… เอาเถิด ตอนนี้ข้าหาได้มีตำแหน่งใดที่นี่ จึงไม่ขอแทรกแซงกิจการภายในของสถานศึกษา ฉางมู่ พวกเจ้าจัดการตามที่เห็นควรเถิด”
กล่าวจบเพียงเท่านั้นร่างทั้งร่างพลันเลือนหายไปต่อหน้าทุกคน
เห็นเช่นนั้นทุกคนพร้อมใจกันแสดงคารวะกล่าวอำลา “รักษาสุขภาพ ท่านอาจารย์ใหญ่กู้ !”
ในเวลาไม่นาน เงาแห่งกู้เฉียงเฉิงก็ค่อยเลือนจากสายตาไปจนสิ้น
ผู้รั้งตำแหน่งรองอาจารย์ใหญ่ 2 คน รวมทั้งอาจารย์และผู้เฒ่าคนสำคัญต่างหันมามองหลีซิ่วเป็น ตาเดียว
เขามีสีหน้าเจื่อนด้วยสำนึกผิด “นับจากนี้ข้าจะปลีกตัวไปอยู่ที่ผาสำนึกตน เพื่อใช้เวลาไตร่ตรองความ ประพฤติที่ผิดพลาดของตัวข้าเอง ภายหลังจากท่านอาจารย์ใหญ่ออกจากปฏิบัติกรรมฐานขั้นสันโดษแล้ว ข้า จะรายงานต่อท่านด้วยตนเอง”
พูดเสร็จจึงหันไปทางชายชราผมขาวโพลนซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง “ท่านพี่โม่ซ่ง เรื่องของสถานศึกษาคงต้อง รบกวนท่านช่วยเป็นธุระ !”
โม่ซ่ง หนึ่งในสามรองอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษาฉางมู่!
ชายชราถอนหายใจเฮือก “เวลานี้ เจ้าคงทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป… ถึงจะพูดอะไรตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อันใด… เจ้าจงไปไตร่ตรองความประพฤติผิดของตนเองที่ผาสำนึกตน จนกว่าท่านอาจารย์ใหญ่จะออกจาก ปฏิบัติกรรมฐานพลังขั้นสันโดษ หลังจากนั้น…”
“ช้าก่อน !”
ทันใดนั้น ชายชราในชุดเสื้อคลุมสีดำอีกคนพลันก้าวออกมา
คนผู้นี้มีนามว่ากู๋หมู่ รองอาจารย์ใหญ่อีกคนของสถานศึกษาฉางมู่
ทำให้ทุกคนในที่นั้นหันมองมาทางต้นเสียง
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ชายคนนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ยอดคน หากแต่มันเป็นคนไม่เอาไหน พวกเราหาได้ปรารถนาให้คนเช่นนั้นมาเป็นศิษย์ของที่นี่ ขออภัยหากข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมา เขาหาได้มี คุณค่าพอที่พวกเราจะลงโทษรองอาจารย์ใหญ่เสียด้วยซ้ำ”
ทุกคนเงียบฟัง
เห็นเช่นนั้นกู๋หมู่จึงพูดต่อไปอีก “ถ้าสถานศึกษาฉางมู่จะลงโทษท่านหลีซิ่วเพราะคน ๆ นี้ มันจะกลาย เป็นที่หัวเราะเยาะของคนภายนอกหรือไม่ ? เยี่ยฉวนอาจเก่งกล้าก็จริง แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอ ที่พวกเราจะยอมเสียสละท่านรองอาจารย์ใหญ่ เพียงประกาศออกไปและอ้างเหตุว่าเยี่ยฉวนเป็นพวกเศษเดนที่สถานศึกษาฉางมู่ไม่ต้อนรับเป็นศิษย์ ! พวกเราจะต้องทำให้ภายนอกเห็นว่าต่อให้เป็นยอดอัจฉริยะหรือยอดคน สำหรับสถานศึกษาฉางมู่แล้วเขาเป็นเพียงเศษเหลือเดนเท่านั้น”
ในลานกว้าง พวกผู้เฒ่าและอาจารย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ต่างหันมองหน้ากัน บ้างลังเล ขณะที่บ้าง เห็นด้วย
เสียงของกู๋หมู่เสริมมาอีกว่า “นับตั้งแต่ท่านอาจารย์ใหญ่มารับตำแหน่ง มีหรือที่จะยอมต่อผู้ใด ? สิ่งใดไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนั้นย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นในภายหน้า”
จากนั้นจึงหันกลับมาพลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ “นับจากวันนี้ เหล่าศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่จงจำ เอาไว้ เยี่ยฉวนเข้าเป็นศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางหลานแล้ว ในปีที่จะถึงนี้ข้าต้องการหัวของมันมาแขวนริมทาง เดินขึ้นเขา พวกเราสถานศึกษาฉางมู่จะต้องทำให้โลกภายนอกเห็นว่าการไม่ได้เป็นศิษย์ของฉางมู่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต !”
เพียงเท่านี้บรรดาศิษย์ของฉางมู่ต่างพากันแสดงคารวะเป็นการรับรองคำประกาศนั้นโดยพร้อมเพรียง กัน ทั้งยังกล่าวปฏิญาณตนเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะนำหัวของมันมาแขวนริมทางเดินให้จงได้ !”
ได้ยินเช่นนั้นกู๋หมู่จึงพยักหน้าอย่างพอใจ เช่นเดียวกับพวกผู้เฒ่าที่ต่างพยักหน้ารวมทั้งหลีซิ่วและคนอื่น ๆ
ชั่วเวลาไม่นาน ข่าวเรื่องเยี่ยฉวนได้เข้าเป็นศิษย์ของสถานศึกษาฉางหลานก็ได้แพร่สะพัดออกไปใน เมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
เขาคือคนที่สถานศึกษาฉางมู่เขี่ยทิ้ง ทว่าสถานศึกษาฉางหลานต้องการเก็บไว้ !
ในไม่ช้าชื่อของเยี่ยฉวนพลันกระจายไปทั่วเมืองหลวง ไม่ใช่ในทางที่ดีแต่เป็นเรื่องชวนขบขัน และไม่ เพียงแต่เยี่ยฉวนที่กลายเป็นตัวตลก ทว่าสถานศึกษาฉางหลานเองก็ได้กลายเป็นตัวตลกด้วยเช่นกัน
“สถานะของสถานศึกษาฉางหลานจะยิ่งเสื่อมถอย เหตุใดพวกเขาจึงรับคนที่สถานศึกษาฉางมู่เขี่ยทิ้ง มาเป็นศิษย์… ?”
เรื่องนี้ถูกพูดถึงในวงกว้างระหว่างผู้คนในเมืองหลวง
และด้วยข่าวนี้เอง มันก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงและความนิยมของสถานศึกษาฉางมู่พุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดอีก ครั้ง !
…
ณ ที่แห่งหนึ่งตามเส้นทางเดินขึ้นเขาอีกฟากหนึ่ง ชายหนุ่มเยี่ยฉวนที่แบกเยี่ยหลิงน้องสาวไว้บนหลัง กำลังเดินตามชายชราที่เดินนำหน้าไม่ห่างมากนัก ทุกย่างก้าวของชายแก่เขาจะยกน้ำเต้าบรรจุเหล้าหมักขึ้นจิบตลอดเวลา
“ท่านพี่… ข้ารู้สึกร้อน !”
“เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ ?”
“เจ้าค่ะ !”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี !”
“ท่านพี่… รับปากกับข้า นับจากนี้ไป ท่านอย่าได้คุกเข่าต่อหน้าผู้คนเพราะข้าอีก ได้หรือไม่เจ้าคะ ?”
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบ
เด็กน้อยเห็นดังนั้นจึงเอื้อมมือมากอดคอพี่ชายเสียแน่น “ท่านพี่ ข้ายอมตายเสียดีกว่าจะให้ท่านเที่ยว คุกเข่าขอร้องผู้อื่น”
“ส่วนข้านั้นยอมคุกเข่าขอร้องต่อทุกคนในโลกดีกว่าเห็นเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตา !”
“ท่านพี่… ชาติหน้าข้าก็จะเป็นน้องของท่านอีก ได้ไหมเจ้าคะ ? ไม่เพียงชาติหน้า แต่ชาติอื่น ๆ ทุกชาติ…”
“…”