ตอนที่ 571 กลิ่นหอมเย็นย้อมเสื้อสีเขียว

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินกังขาขึ้นมา ปรากฏการณ์บนฟ้ากับสัตว์ประหลาด น่าจะเป็นการสำเร็จระดับก่อกำเนิด จึงจะทำให้เกิดปรากฏการณ์บนฟ้า ถ้าตู้รั่วไม่ผ่านระดับก่อแก่นปราณ จะเกิดปรากฏการณ์บนฟ้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

แต่มั่วชิงเฉินกังขาได้ไม่นาน สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง

อีกด้านหนึ่งของเทือกเขา พลังข่มขวัญมืดฟ้ามัวดินพุ่งเข้ามา ขณะท้องฟ้าเปลี่ยนสี หนุ่มน้อยคนหนึ่งเหาะมาถึง

หนุ่มน้อยท่าทางสิบสี่สิบห้า ผมยาวปลิวไสว หน้าขาวดุจหยก มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยโลก เขาค่อยๆ เหาะเข้ามาใกล้มั่วชิงเฉิน

มั่วชิงเฉินสะดุ้ง

คนผู้นี้ ในปีนั้น แม้นางเหลือบมองแวบเดียว ก็ยากลืมเลือนชั่วชีวิต

เขาคือเจ้าปีศาจ ลั่วเฟิง!

ความหนาวเหน็บเกิดขึ้นในใจ มั่วชิงเฉินไม่เคยมีความหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน กระทั่งเกิดอาการตื่นตัวชนิดพร้อมวิ่งหนีได้ทุกเมื่อโดยไม่สนใจใดๆ แต่นางกลับเข้าใจ อย่าว่าแต่ตอนนี้ตู้รั่วยังไม่ออกจากการกักตน นางไม่สามารถทิ้งเขาไปได้เลย ต่อให้ไม่มีเรื่องต้องกังวลใจ นางก็ไม่สามารถหลบหนีไปต่อหน้าเจ้าปีศาจอยู่ดี

พอคิดตก มั่วชิงเฉินกลับสงบนิ่งลง แล้วใช้สายตาเย็นชามองดูเจ้าปีศาจที่เหาะเข้ามาใกล้ แล้วหยุดกลางอากาศไม่ห่างจากนางมาก เส้นผมสีเขียวเต็มศีรษะปลิวไสว ท่าทางอหังการไร้เทียมทาน

เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น “หึๆๆ นางหนู ความกล้าของเจ้า มีไม่น้อยเลยจริงๆ”

ขณะมองดูหนุ่มน้อยอายุไม่ถึงสิบสี่สิบห้าปี มั่วชิงเฉินก็ถอนหายใจในใจเบาๆ โชคร้ายชะมัด ทำไมถึงบังเอิญมาเจอกับดาวพิฆาตผู้นี้ได้

“อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโส ผู้น้อยอกสั่นขวัญแขวน”

พลังปราณทั่วร่างปะทุ พริบตาเดียวเจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็มาถึงตรงหน้ามั่วชิงเฉิน ใช้นิ้วมือยาวบีบคางมั่วชิงเฉินไว้ แล้วยิ้มน้อยๆ ข้าไม่เห็นนะ”

“อกสั่นขวัญแขวน? เกิดความรู้สึกอัปยศอดสู มั่วชิงเฉินไม่เคยคิดว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอย่างตน จะมีวันที่ถูกผู้มีท่าทีหยิ่งยโส หยอกล้อเช่นนี้

จึงเม้มปาก บังคับตัวเองให้ใจเย็นเข้าไว้ “ผู้น้อยมิกล้าโป้ปด ผู้อาวุโสยากแท้หยั่งถึง ในโลกของผู้บำเพ็ญ ก็เป็นถึง…”

ยังไม่ทันพูดจบ ก็เกือบจะร้องอุทานออกมา

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงพลันยื่นหน้าเข้ามา แทบพ่นลมหายใจใส่หน้านาง “ข้ากลับคิดไม่ถึงว่า ในหมู่มนุษย์บำเพ็ญเพียรก็มีคนหน้าตาสะสวยเช่นนี้ด้วย กลับน่ามองกว่าจิ้งจอกเก้าหางที่ชิงชิวเสียอีก”

ร่างของมั่วชิงเฉินเกร็งขึ้นทันที

ผู้บำเพ็ญเพียรมากความสามารถ ตามเหตุผลแล้วจะไม่เหยียดหยามผู้บำเพ็ญเพียรหญิง แต่เจ้าปีศาจตรงหน้ากำลังใช้ความคิดและการกระทำแบบปีศาจบำเพ็ญเพียร จึงไม่สามารถใช้มาตรฐานมนุษย์บำเพ็ญเพียรมาวัดได้

ขณะเห็นมั่วชิงเฉินมีสีหน้าซีดขาว เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็หัวเราะเบาๆ ก่อนโน้มตัวเข้ามาดอมดม “อืม ลมปราณบริสุทธิ์มาก”

“ผู้อาวุโส โปรดสำรวมด้วย!” มั่วชิงเฉินถอยหลังไปหลายก้าว พลังปราณก่อกำเนิดล้วนปล่อยออกมาจนหมด

แม้ระดับบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันมาก แต่ศักดิ์ศรีของผู้หญิงและการเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดกลับละทิ้งไม่ได้

หรือก็คือ นี่เป็นสิ่งเดียวที่นางเหลืออยู่ ภายใต้ช่องว่างของพลังที่แท้จริง

คิดไม่ถึงว่าเจ้าปีศาจลั่วเฟิงกลับหัวเราะหึๆ ขึ้นมา ก่อนพูดเสียงดังฟังชัด “มนุษย์เพศหญิงอย่างพวกเจ้าก็น่าเบื่อเช่นนี้แหละ วางใจ ข้าไม่เห็นเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าในสายตาอยู่แล้ว สิ่งที่ข้าสนใจคือคนที่อยู่ข้างในต่างหาก!”

ขณะมองตามทิศทางที่นิ้วของเจ้าปีศาจชี้ มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกเครียด

ทิศทางที่เขาชี้ ก็คือที่ที่ตู้รั่วกักตนอยู่

“ผู้อาวุโสคิดจะทำอะไร” มั่วชิงเฉินรู้ว่าวันนี้ใจดีด้วยไม่ได้แล้ว จึงถามเสียงเย็นชา

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงค่อยๆ เก็บสายตาคืนกลับ หันมองมั่วชิงเฉิน “นางหนู เห็นแก่เจ้าที่ดูแลเขาเป็นอย่างดี ข้าไว้ชีวิตเจ้า รีบไปให้พ้นๆ เสีย”

นึกไม่ถึงจริงๆ จิตที่ปีนั้นถูกมนุษย์บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดหลายคนรวมตัวกันระเบิดพลังก่อกำเนิดจนกระเจิดกระเจิงไปหนึ่งดวง จะเข้าสู่ร่างมนุษย์ กลายเป็นมนุษย์บำเพ็ญเพียรคนหนึ่ง มิน่าเล่า เขาเสาะหามาร้อยปี ก็ไม่พบร่องรอย

เขามีดวงจิตน้อยลงหนึ่งดวง อาการบาดเจ็บในตอนนั้นแม้หายแล้ว แต่ก็สูญเสียพลังไปบางส่วน จิตวิญญาณอ่อนแอลง ถึงได้แต่เก็บตัวเงียบๆ อยู่ร้อยกว่าปี นึกไม่ถึงว่าวันนี้โชคจะหล่นทับ

มั่วชิงเฉินเห็นว่าเจ้าปีศาจลั่วเฟิงอารมณ์แปรปรวนไม่หยุด เดาไม่ออกว่าเหตุใดตู้รั่วถึงได้ดึงดูดความสนใจของเขา แต่ถ้าให้นางหนีไปโดยไม่สนใจศิษย์ ก็ทำไม่ได้อีก จึงทำหน้าให้เป็นปกติ แล้วพูดอย่างนอบน้อม “มิกล้ากีดกันผู้อาวุโส แต่ผู้ที่กำลังกักตนในถ้ำศิลา เป็นศิษย์ของผู้น้อยเอง ไม่ทราบว่าเหตุใดผู้อาวุโสถึงได้ถูกใจลูกศิษย์ผู้นี้ ผู้น้อยหวาดหวั่นจริงๆ”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงเก็บรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนพูดเสียงเย็นชา “นางหนู เห็นแก่ที่ข้ายังเห็นเจ้าอยู่ในสายตา พูดตรงๆ กับเจ้าเสียหน่อย ศิษย์ของเจ้า ข้าจองแล้ว เจ้าจงตายใจ แล้วรีบจากไปเสีย”

“ผู้อาวุโส รากวิญญาณของลูกศิษย์ผู้นี้แม้ดี แต่ถ้าเป็นมนุษย์บำเพ็ญเพียร เกรงว่าจะรับการถ่ายทอดทุก

สิ่งอย่างจากผู้อาวุโสไม่ไหว” มั่วชิงเฉินกัดฟันพูด อดทนกับพลังข่มขวัญคนที่เจ้าปีศาจเปล่งออก“ฮ่าๆๆ…” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา แล้วมองดูดวงตาเปล่งประกายที่แสนงดงามของมั่วชิงเฉิน ก่อนว่า “นางหนู เจ้าคิดว่าข้าจะรับเขาเป็นศิษย์หรือ”

มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปาก ไม่ส่งเสียง

นางย่อมไม่คิดว่าเจ้าปีศาจจะไว้ชีวิตตู้รั่ว ที่เลือกเหตุผลง่ายๆ เช่นนี้ ก็เพราะยังนึกเหตุผลอื่นไม่ออกจริงๆ

แม้คิดจะกลืนกินเลือดเนื้อและปราณวิญญาณของมนุษย์บำเพ็ญเพียร เขาก็ไม่น่าปล่อยผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอย่างตนไป แล้วจับจ้องแต่ตู้รั่ว

เจ้าปีศาจเหลือบตามองมั่วชิงเฉินอย่างเย็นชา “เห็นที เจ้าคงทำใจจากไปไม่ได้”

มั่วชิงเฉินกัดริมฝีปาก ก่อนพูดเน้นทีละคำ “เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งวัน ดั่งบุพการีตลอดชีวิต ในโลกนี้ ไหนเลยจะมีบิดามารดาที่พบเจอภยันตรายแล้วหาเหตุผลทิ้งบุตรไปโดยไม่สนใจ”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหัวร่องอหายจนแก้มย้อย แล้วจึงเดินเข้าใกล้มั่วชิงเฉิน ยกมุมปากขึ้นและหัวเราะอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เป็นอาจารย์เพียงหนึ่งวัน ดั่งบุพการีตลอดชีวิต? หึๆ นางหนู เจ้ากลับมีน้ำใจไมตรี แถมยังกล้าพูดอีก! ทำไม เจ้ายังคิดจะเป็นมารดาข้าอีกหรือ”

มั่วชิงเฉินสะดุ้งโหยง จ้องมองเจ้าปีศาจลั่วเฟิงอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสหมายความว่าอะไร”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหันกายไปยังถ้ำที่ตู้รั่วกักตน พลางว่า “เมื่อเจ้ากับเขาเป็นศิษย์อาจารย์กัน ข้าก็จะบอกความจริงกับเจ้า คนในถ้ำคือจิตดวงหนึ่งของข้ากลับชาติมาเกิด ข้าเสาะหามาร้อยกว่าปี ค่อยนับว่าพบจิตหนึ่งดวงที่หายไปแล้ว ดังนั้นนางหนู เจ้าจงตายใจเสีย ฉวยโอกาสที่เราอารมณ์ดี จากไปโดยเร็วเถอะ”

คำพูดของเจ้าปีศาจ ดุจน้ำเย็นจัดราดใส่ศีรษะ รดจนมั่วชิงเฉินท้อแท้ใจ พูดเสียงขาดๆ หายๆ “เป็นไปไม่ได้!”

แต่ในใจคลับคล้ายเห็นด้วยกับคำพูดของเจ้าปีศาจ

ถ้ามิใช่เช่นนี้ เหตุใดปรากฏการณ์บนฟ้าจากการก่อแก่นปราณของตู้รั่ว ถึงได้ปรากฏร่างเสมือนจริงของบุตรคนที่สามของมังกรเฉาเฟิง

ถ้ามิใช่เช่นนี้ ตอนเหาะเข้าใกล้ที่นี่ เหตุใดตู้รั่วถึงมีความรู้สึกคุ้นเคยเป็นกันเอง

ยิ่งคิด สีหน้ามั่วชิงเฉินก็ยิ่งซีดขาว

ถ้ามิใช่เช่นนี้ ตอนอยู่ริมทะเลที่หมู่บ้านดอกสาลี่ เหตุใดตู้รั่วจึงสามารถลงนามในสัญญาอสูรวิญญาณกับตนได้

ที่แท้นางคิดผิดแล้ว นึกว่าการที่สามารถลงนามในสัญญาไร้สาระนั่นได้ เพราะตนอยู่ในรังไหม อาจเป็นไปได้ว่าสอดคล้องกับสถานะของอสูรปีศาจ จึงลงนามในสัญญาอสูรวิญญาณกับตู้รั่วได้

กลับลืมไปว่า ยังมีสถานการณ์อีกอย่างที่กลับกัน นั่นคือ อสูรปีศาจก็สามารถหามนุษย์มาลงนามใน

สัญญาได้เช่นเดียวกัน!พอเห็นมั่วชิงเฉินมีท่าทางหมดอาลัยตายอยาก เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ยกมุมปากขึ้น กางมือเป็นกรงเล็บ เหาะไปที่ประตูศิลา

ทว่ามั่วชิงเฉินกลับได้สติ ดีดตัวไปกั้นขวางหน้าประตู “ยั้งมือ!”

สีหน้าเจ้าปีศาจลั่วเฟิงเยือกเย็นสุดๆ น้ำเสียงดุจน้ำแข็งเหมันต์ “ทำไม เจ้ายังมีเรื่องรึ”

มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูดเสียงเรียบ “ผู้อาวุโส ไม่ว่าเมื่อก่อนตู้รั่วเป็นอย่างไร ตอนนี้เขาได้กลับชาติมาเกิดเป็นคนแล้ว ขอท่านอโหสิกรรม ปล่อยเขาไปเถิด”

ใช่แล้ว ถ้าตู้รั่วเป็นเพียงจิตดวงหนึ่งของเจ้าปีศาจ แล้วเจ้าปีศาจต้องการเขา ก็ต้องผสานร่างกับเขา แล้วตู้รั่วจะอยู่ที่ไหนเล่า

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงขมวดคิ้ว “นางหนู ทำไมถึงได้โง่งมเช่นนี้ ข้าบอกอย่างชัดแจ้งแล้วมิใช่หรือว่า เดิมทีเขาเป็นส่วนหนึ่งของข้า ข้าปล่อยเขาไปไม่ได้หรอก”

“ผู้น้อยรู้แค่ว่า เขาเป็นศิษย์ของผู้น้อย” มั่วชิงเฉินยืดหลังตรง ก่อนพูดเสียงเย็นชา

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงแสยะยิ้มกระหายโลหิต “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าเราไม่ปรานีก็แล้วกัน”

มั่วชิงเฉินพลันเรียกปทุมหยกอริยะหอมกับไฟสะท้อนหทัยออกมาพร้อมกัน ธนูเขียวซ่อนเร้นกะพริบแสงวิญญาณ ศรแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าหาเจ้าปีศาจ

“ไม่รู้จักประเมินพลังตัวเองเอาเสียเลย!” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงยกแขนเสื้อสีฟ้าเขียวขึ้น พายุหมุนพุ่งออกจากแขนเสื้ออันกว้างใหญ่ ภายใต้พายุที่มีกำลังแรงสุดๆ ปทุมหยกอริยะหอมกับไฟสะท้อนหทัยถูกพัดจนปลิวหล่น ศรเหมันต์ซึ่งเปล่งแสงสีน้ำเงินยังไม่ทันพุ่งตาม เปลวน้ำแข็งเหมันต์ก็ดับแล้ว

มั่วชิงเฉินตระหนักในช่องว่างระหว่างทั้งสองช่างลึกซึ้ง จึงกัดฟันยกมือ เรียกหุ่นเชิดห้าธาตุออกมา

พอหุ่นเชิดห้าธาตุปรากฏก็ขยายใหญ่สู้ลม จนกลายเป็นร่างมนุษย์ที่แตกต่างกันห้าธาตุ ห้อมล้อมเจ้าปีศาจลั่วเฟิงไว้ตรงกลาง

หุ่นเชิดห้าตัวต่างแสดงอิทธิฤทธิ์ของตน เปล่งแสงวิญญาณเจิดจ้าห้าสี เขียว แดง ทอง น้ำเงิน เหลือง ปกคลุมร่างเจ้าปีศาจลั่วเฟิงไว้

มั่วชิงเฉินรู้ว่านี่ไม่สามารถปิดกั้นเจ้าปีศาจหรอก ที่นางเรียกหุ่นเชิดห้าธาตุออกมา เพียงต้องการถ่วงเวลาสักพัก ส่วนท่าไม้ตายจริงๆ ของนาง กลับเป็นเคล็ดวิชากระบี่โบราณซึ่งตนฝึกฝนในสองสามปีที่ผ่านมา!

นางจับกระบี่ชิงมู่ที่เรียบง่ายในมือ ร่ายรำในสายลม คมกระบี่กะพริบแสงวิญญาณหลากสีสัน ก่อนคืนกลับเป็นไร้สี วาดเส้นอย่างเป็นเอกลักษณ์กลางอากาศ

ฟ้าดินรอบบริเวณคล้ายเงียบสงบ มั่วชิงเฉินไม่ได้ยินเสียงคำรามของลม และมองไม่เห็นร่างของเจ้าปีศาจ ทั้งร่างกายและจิตใจของนางเหมือนกลมกลืนไปกับกระบี่ชิงมู่ในมือ

ส่วนกระบี่ชิงมู่ก็นำพานาง ให้กลมกลืนไปกับฟ้าดินที่นี่

ขณะหุ่นเชิดห้าธาตุระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกัน เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ปรากฏตัวในพริบตา

ลมหายใจอันหนักหน่วงยาวนาน ไร้รูปไร้รอยสายหนึ่งพุ่งเข้ามา พร้อมกับเสียงใสๆ ของหญิงสาว “คืนปฐมสะท้านฟ้า!”

เคล็ดวิชากระบี่ที่กระบี่วิญญาณร่ายรำนั้นไม่มีชื่อ มั่วชิงเฉินศึกษามาหลายปี ก็ยังเรียนรู้ศักยภาพได้ไม่กี่อย่างเท่านั้น ซึ่งศักยภาพในครั้งนี้ เป็นเพลงกระบี่ที่ไร้รูปไร้เสียง และมีพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน นางจึงตั้งเป็นชื่อนี้

พอสิ้นเสียงสุดท้าย ทั่วทั้งท้องฟ้าพลันสว่าง คล้ายถูกตัดขาดจากกันจนปรากฏเป็นคลองตามธรรมชาติสายหนึ่ง ส่วนเจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็อยู่กลางรอยแตกนั้น

พอถูกเพลงกระบี่จู่โจมเข้าใส่ ร่างของเจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ซวนเซเล็กน้อย หน้าบูดบึ้งขึ้นวาบหนึ่ง

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดคนหนึ่ง ทำเขาบาดเจ็บจนได้!

แม้ขาดดวงจิตไปหนึ่งดวง แต่เมื่อนำขุมพลังมาหักลบกันแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้นคนหนึ่งไม่น่าจะทำอะไรเขาได้

มุมปากเจ้าปีศาจลั่วเฟิงแสยะยิ้มกระหายโลหิต “ท่าทางข้าดูเบาศัตรูเกินไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ใช้ชีวิตเจ้าชดเชยให้ข้าก็แล้วกัน!”

เส้นผมสีเขียวขยับเองโดยไม่มีลม หอกสีเขียวควบแน่นกลางอากาศ และพุ่งเข้าสู่หัวใจของมั่วชิงเฉิน ด้วยความเร็วที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว

มั่วชิงเฉินเพียงรู้สึกเย็นยะเยียบที่หัวใจ จึงก้มลงดู เห็นหอกสีเขียวครึ่งด้ามโผล่อยู่ตรงอก

“อาจารย์!” เสียงดุจหัวใจถูกทิ่มแทงดังมา

มั่วชิงเฉินหันกลับไปมองอย่างยากลำบาก พลางพูดเสียงอ่อนแรงสุดจะเปรียบ “ตู้รั่ว หนีไปเร็ว!”

ความดำมืดกำลังปะทุไปทั่วท้องฟ้า คลับคล้ายเห็นตู้รั่วพุ่งเข้าใส่เจ้าปีศาจ

ทว่ามั่วชิงเฉินที่นอนอยู่บนพื้นหญ้าอันหนานุ่มกลับไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด และไร้ซึ่งลมหายใจในที่สุด

ดอกท้อถูกลมม้วนขึ้น ปลิวกระจัดกระจายแล้วร่วงหล่นลง ยังไม่ทันไร กลิ่นหอมก็ได้ย้อมลงบนเสื้อสีเขียวที่เย็นยะเยือกไปแต่แรกแล้ว